ส่วนที่ 1 ตอนที่ 25 งานชุมนุมปักบุปผา (6)

ปลดผนึกหัวใจหวนรัก Love and Redemption

หลังเสียงกลองดัง ทุกคนพากันตะโกนคำขวัญให้กำลังใจสำนักตนเองต้องชนะ พลันในสนามประลองก็เสียงดังกระหึ่มก้อง กล่าวอันใดก็ไม่อาจหยุดยั้งให้เงียบลงได้

ฉู่เหล่ยเดินขึ้นเวทีช้าๆ มือขวาโบกขึ้น เพียงท่าทางนี้ เสียงในสนามประลองก็พลันเงียบลงทันที เงียบจนแม้แต่เสียงเข็มตกลงพื้นก็ยังได้ยินกระจ่างได้

เสวียนจีรู้ว่าเขากำลังจะกล่าววาจาเป็นทางการอะไรพวกนั้น พวกผู้ใหญ่ไม่ว่าก่อนทำอันใดก็มักชอบกล่าววาจาทางการกัน

นางไม่ชอบฟังเรื่องพวกนี้ จึงหันไปดึงหลิงหลงมารอฟังนางเล่าข่าวซุบซิบมากยิ่งขึ้น

“ได้ยินว่าเจ้าหุบเขาหรงแห่งหุบเขาเตี่ยนจิง ตอนหนุ่มเป็นลูกหลานคหบดีใหญ่ แต่งภรรยาใหญ่น้อยหลายนาง! ปรากฎเขาพอถึงวัยกลางคนพลันคิดบำเพ็ญวิถีเซียน จึงได้ทอดทิ้งภรรยาและลูกมายังหุบเขาเตี่ยนจิง ภรรยาใหญ่น้อยหลายนางของเขาพาลูกไล่ตามมา ผลปรากฎเขาถึงกับใจร้ายไม่ยอมพบหน้า ผู้ชายน่ะ…ผุยๆ”

หลิงหลงพูดไปก็เริ่มส่ายหน้าออกท่าออกทาง ราวกับนางเห็นกับตาเอง

เสวียนจีอดถามไม่ได้ “เช่นนั้นต่อมาเล่า อย่างไรเขาก็ไม่พบพวกนางหรือ”

ตู้หมิ่นหังหูหนึ่งฟังวาจาอาจารย์กล่าว อีกหูหนึ่งฟังพวกนางเล่าข่าวซุบซิบ ฟังถึงตรงนี้ เขาก็กระซิบว่า “สุดท้ายเขายอมพบ ต่อมาในบรรดาภรรยาเขานั้นมีสองนางถูกเขากล่อม ยอมอยู่หุบเขาเตี่ยนจิงร่วมบำเพ็ญเพื่อสำเร็จผลเป็นเซียน ที่เหลือนั้น…ย่อมนำพาลูกๆ กลับบ้าน ได้ยินว่าไม่ถึงปีก็ป่วยตาย”

เสวียนจีอดเงียบไม่ได้

หลิงหลงยิ้มเยียบเย็นกล่าวว่า “ผู้ชายล้วนเห็นแก่ตัวเช่นนี้ ทอดทิ้งภรรยาและลูก ถึงกับคิดสำเร็จผลเป็นเซียน ไม่รู้ตอนเขาสำเร็จผลเป็นเซียน ภรรยาที่ตายไปผู้นั้นจะกลับมาหาเขาหรือไม่!”

ตู้หมิ่นหังขมวดคิ้ว “หลิงหลง เจ้าพูดเบาหน่อย! เรื่องของผู้อาวุโส เจ้ากระจ่างเท่าไรกัน”

หลิงหลงถูกเขาเสียงดังใส่ สองตากลมโตคิดอาละวาด แต่พอคิดได้ว่าตอนนี้ไม่ใช่เวลาปกติ ได้แต่เก็บความโมโหกลับคืนไป เบ้ปากไม่พูดอันใดอีก

“ศิษย์พี่ใหญ่…” เสวียนจีปลอบเขา

ตู้หมิ่นหังส่ายหน้า “ไม่ว่าสิ่งที่เจ้าหุบเขาหรงทำนั้นเหมาะหรือไม่เหมาะ ล้วนเป็นเรื่องส่วนตัวเขา คนนอกไม่มีสิทธิ์กล่าวอันใด นับประสาอันใดกับตอนนี้เขาประสบผลสำเร็จแล้ว นับเป็นบุคคลคุณธรรมสูงส่งในบรรดายอดฝีมือแต่ละสำนัก ชีวิตคนเรายากหลบเลี่ยงทางแยกแห่งชีวิต อย่างน้อยต่อมาเขาก็ยังเดินเส้นทางถูกต้อง พวกเราเป็นอนุชนรุ่นหลัง จะลืมตนวิพากษ์วิจารณ์ได้อย่างไร”

เสวียนจีรู้จักศิษย์พี่ใหญ่ผู้นี้ หนึ่งไม่พูด หากพูดก็พูดยาว พอคิดว่าเขาจะถกปัญหานี้กับตนอีกหหลายชั่วยาม นางก็รู้สึกหนังหัวชายิบ รีบขัดขึ้นว่า “อา…นั่น ศิษย์พี่ใหญ่ ท่านดูสิ! ท่านพ่อเหมือนพูดจบแล้ว!”

วาจามารยาทของฉู่เหล่ยกล่าวจบแล้ว ตามมาด้วยเสียงตีกลองหนังขุยดัง เจ้าหุบเขาหรงแห่งหุบเขาเตี่ยนจิงดึงเอากล่องเล็กสี่เหลี่ยมออกมากล่าวเสียงดังว่า “เริ่มจับเลข!”

เพราะเมื่อครู่ได้ฟังที่หลิงหลงพูด เสวียนจีอดมองเขาให้มากอีกหน่อยไม่ได้ เพียงแค่รู้สึกว่าผมเขาสีเงินขาว สวมชุดยาวผ้าต่วนสีน้ำตาลลายดอกไม้ปักประณีต ยามแสดงท่าทางยกมือกล่าววาจาก็ย่อมมีกระแสสูงส่งบางอย่างที่ไม่เหมือนผู้ใด และใบหน้ายังอ่อนเยาว์หล่อเหลา เรียกได้ว่าเส้นผมขาวสะอาดราวขนกระเรียน ใบหน้าแดงระเรื่อราวเด็กน้อย

ก็ไม่รู้ภรรยาทั้งสองที่ติดตามเขาบำเพ็ญเซียนยังอยู่ไหม

เสวียนจีมองไปรอบบริเวณสนาม สนามด้านในสุดมีวางเก้าอี้บุนุ่มๆ ตั้งวางไว้วงหนึ่ง เตรียมไว้ให้อาวุโสแต่ละสำนัก เจ้าหอทั้งหกที่เหลือของสำนักเส้าหยางก็อยู่ที่นั่น คนเหล่านี้จะทำหน้าที่ตัดสินแพ้ชนะในแต่ละเวทีแยก มีอำนาจตัดสินเป็นตายตั้งแต่การประลองรอบที่หนึ่งถึงรอบที่สาม

นางมองเป็นนานก็ไม่เห็นสตรีที่นึกภาพเอาไว้ ได้แต่ปล่อยไป

ทุกคนในสนามล้วนไปจับเลขกันที่กล่อง คำว่าจับเลขก็คือแผ่นกระดาษที่พับแล้วใช้ครั่งร้อนปิดทับ ทุกคนจับไปแล้วแกะออก จดจำตัวเลขไว้ แล้วไปหาเจ้าสำนักเซวียนหยวนเพื่อระบุเลขกับชื่อตน

ศิษย์อายุน้อยหกสิบคนที่เข้าร่วมได้รับเลขกันในเวลาไม่นาน จากนั้นก็รีบตามพวกอาวุโสที่จับเลขได้ไปเลือกเวทีรับผิดชอบตัดสิน

พอจับเลขเสร็จ พลันมีคนยกแผ่นไม้กลมสีดำลงตารางการประลองที่เตรียมไว้ก่อนหน้าขึ้นมา

ตงฟางชิงฉีค่อยเปิดออก กวาดตามองรวดเร็ว เสียงดังกังวานกล่าวรายงานดังขึ้นว่า “เลขหนึ่งหนึ่งและเลขสองสอง สองท่านไปยังเวทีอักษรแดง เลขสามสามและเลขสี่สี่ สองท่านไปยังเวทีอักษรเขียว…”

ขานรายชื่อทีละคนในสนามประลองแรกทั้งเจ็ดเช่นนี้ต่อเนื่อง

เสวียนจีเห็นคนที่ขึ้นไปไม่รู้จักสักคนก็รู้สึกเบื่อ คิดกลับไปนอน แต่กลัวศิษย์พี่ใหญ่ว่า นับประสาอันใดกับการประลองกำลังจะเริ่ม คนรอบๆ เบียดกันแน่นเต็มไปหมด นางไม่รู้ว่าจะเบียดตัวออกไปได้ตอนไหน

นางจึงได้แต่พิงรั้วไป ก้มหน้ากินของกินเล่นที่หลิงหลงพกมาด้วย

กำลังยัดเนื้อวัวเข้าปาก พลันได้ยินเสียงเป่าเขาสัญญาณดังแว่วมา คิดว่าการประลองอย่างเป็นทางการน่าจะเริ่มต้นแล้ว

พวกจงหมิ่นเหยียนมองดูกันอย่างตื่นเต้นยิ่ง พักหนึ่งก็โห่ร้อง พักหนึ่งก็ส่งเสียงเสียดาย หลิงหลงก็ร้องตะโกนไปกับพวกเขาด้วย ก้มหน้าลงมองเห็นน้องสาวตนเองกำลังเอาแต่กินและกิน ไม่เงยหน้าขึ้นเลย อดไม่ได้ทั้งโมโหทั้งขำ จิ้มใบหน้านางกล่าวว่า “อย่างไรเจ้าก็ควรดูสักหน่อยนะ! ในนั้นมีศิษย์พี่เรานะ!”

“อ้อ คนไหนล่ะ” เสวียนจีกินจนปากเปื้อนน้ำมันสีแดง แก้มตุ่ย หันกลับไปมองอย่างอยากรู้อยากเห็น

จงหมิ่นเหยียนเคาะศีรษะนางทีหนึ่ง สบถกล่าวว่า “เจ้านี่สุกรจริง รู้แต่กิน กิน กิน นอน นอน นอน! ดูเวทีอักษรสีน้ำตาล! ศิษย์พี่ตวนผิงอยู่บนนั้น!”

ศิษย์รุ่นอักษรตวนห่างกับนางมาก นางจะไปรู้จักได้อย่างไร รุ่นอักษรหมิ่นนางยังไม่คุ้นทุกคนเลย!

เสวียนจีรู้สึกเบื่อหน่ายไม่รู้ทำอันใด ได้แต่ทำหน้าตาแบบว่า ‘ข้ารับไหว’ เงยหน้าขึ้นมองไปอย่างเกียจคร้าน

ศิษย์สำนักเส้าหยางที่มาร่วมงานแม้ว่าการแต่งกายมิได้เหมือนกันเป็นหนึ่ง แต่ชายเสื้อก็จะปักลายบุปผาวิหคเทพที่มีแค่ที่เส้าหยาง คิดแล้วชายที่มีรอยกระทั่วใบหน้าร่างสูงผู้นั้นก็คือศิษย์พี่ตวนผิง อาวุธเขาก็คือกระบี่สั้นคู่

กระบี่สั้นเป็นอาวุธที่อาจารย์อาหวนหยางแห่งหอซวี่หยางเชี่ยวชาญ ศิษย์พี่ตวนผิงผู้นี้น่าจะเป็นศิษย์คนโปรดอาจารย์อาหวนหยาง กระบี่คู่คล่องมือจริง บัดเดี๋ยวตวัดขึ้น บัดเดี๋ยวตวัดลง บัดเดี๋ยวราวกับมังกรน้ำซ่อนคม พลันก็กระพือปีกหงส์หยกขึ้นคมปลาบไม่อาจต้าน

หนุ่มชุดดำที่ประลองกับเขาราวกับรับกระบวนท่าไม่อยู่ เอาแต่ถอยไปอยู่ริมเวทีไม่หยุด หากไม่ใช่ว่ามีเชือกล้อมเวทีอยู่ เกรงแต่ว่าเขาคงร่วงลงไปนานแล้ว

“ชนะแน่แล้ว!” จงหมิ่นเหยียนตื่นเต้นเหงื่อผุดเต็มหน้าผาก ราวกับคนที่ขึ้นไปเป็นเขาเอง

เสวียนจีกำลังมองอย่างเบื่อหน่าย ปิดปากแอบหาว พลันเห็นชายชุดดำสะบัดข้อมือ ในแขนเสื้อมีของทั้งดำและยาวพุ่งเลียดมากับพื้น พร้อมฝุ่นตลบ

อ้อ เขาใช้แส้! เสวียนจีเริ่มสนใจ เห็นเพียงคนผู้นั้นถูกบีบให้เข้ามุม พลันบิดเอวในมุมประหลาดหนึ่งกลับเผยช่องว่างหนึ่ง แส้ในมือราวกับมีตามอง มุ่งตรงสะบัดไปที่ศิษย์พี่ตวนผิง

ทุกคนส่งเสียงตกใจพร้อมกัน ตวนผิงกลับไม่ร้อนไม่รน กระบี่สั้นในมือประสานไขว้กัน หนึ่งเกี่ยว หนึ่งหนีบ เสียงฉับดัง ถึงกับตัดแส้นั้นเป็นสองท่อน!

กระบวนนี้จัดการได้รวดเร็วฉับไว อาวุโสหวนหยางที่ชมการต่อสู้พยักหน้าไม่หยุด ภาคภูมิใจอย่างยิ่ง

“คนที่ใช้แส้นั่น เป็นคนจากสำนักไหนกัน” เสวียนจีกระซิบถามหลิงหลง

“เขาเป็นศิษย์นักพรตเจียงแห่งหุบเขาเตี่ยนจิง ชื่ออูถง เพราะอักษรอูแปลว่าดำ ดังนั้นอันใดล้วนใช้สีดำ นับว่าเป็นผู้มีชื่อตั้งแต่อายุยังน้อย” ตู้หมิ่นหังเล่าให้นางฟังอย่างใจดี “น่าเสียดาย แส้เขาต้องมาเจอกับดาวข่มเช่นกระบี่สั้นนี่ การประลองรอบนี้เกรงแต่ว่าแพ้อนาถแล้ว”

เสวียนจีรู้สึกเพียงแค่อูถงผู้นี้ แม้ว่ามองแล้วล้มลุกคลุกคคลาน กำลังจะล้มแล้ว แต่กลับไม่ล้ม

เขามีวิธีหลบที่น่าแปลกมาก ราวกับไส้เดือนลื่นไหลไป ไม่ว่าอย่างไรก็จับเขาไม่ได้

มองเห็นกระบี่ในมือตวนผิงกำลังจะแทงลำคอเขา คอเขาหงายไปด้านหลัง ถึงกับตีลังกากลับหลังไป พอยืนนิ่ง ก็พลันควักกระดาษสีดำมันปลาบหนึ่งออกจากแขนเสื้อหลายแผ่น

“นั่นคือสิ่งใด” หลิงหลงตะโกนขึ้น

ตู้หมิ่นหังพลันขมวดคิ้วแน่น นั่น…เหมือนว่า…

“เป็นยันต์คาถา ยันต์คาถา!” จงหมิ่นเหยียนตะโกนดัง “เขาถึงกับใช้ยันต์คาถา?!”

นี่มันวิชาเซียนขั้นสูง ศิษย์ฝึกบำเพ็ญรุ่นเยาว์ใช้กันน้อยมาก เพียงเพราะว่าทันทีที่ร่ายคาถาผิดคำหนึ่ง มนต์คาถาก็มักจะหวนกลับทำร้ายตนเอง และพลังมนต์คาถายังยากควบคุม หากผิดพลาด ผลที่ตามมาไม่อาจคาดเดา

ทุกคนเห็นอูถงควักยันต์คาถาออกมา พลันโยนขึ้นฟ้า กระดาษเหล่านั้นก็ราวกับมีชีวิต เรียงตัวกันรอบทิศห้ามุม เขาร่ายคาถา พลันเห็นยันต์คาถาหลายใบยิ่งลอยสูง ราวกับพริบตา ท้องฟ้าที่กระจ่างใสพลันมืดมิดลง เมฆดำลอยมาจากทุกสารทิศ ภาพการณ์แปลกประหลาดยิ่ง

หลิงหลงเห็นคนใช้ยันต์คาถาเป็นครั้งแรก อดกลัวไม่ได้ หลบเข้าหลังจงหมิ่นเหยียน เหลือเพียงสองตาแอบเหลือบมอง

“มหาห้าอสุนีบาต! เป็นมหาห้าอสุนีบาต! รีบหลบเร็ว!”

มีคนจำมนต์คาถานี้ได้ รีบส่งเสียงร้องดัง พวกเสวียนจียังงุนงงไม่รู้เรื่องรู้ราว แต่ก็รู้ความร้ายกาจ รีบวิ่งออกไปรอบนอกรวมตัวกันเป็นกลุ่มก้อนก่อนแล้ว

มหาห้าอสุนีบาตก็คือการเรียกเทพอสุนีบาตจากทุกสารทิศ เปล่งพลังสายฟ้าหมื่นสาย เป็นวิชาไล่มารปีศาจที่ลึกล้ำ ชั้นสูงและร้ายกาจยิ่งนัก ผู้ใดก็ไม่คิดว่าจะมีคนใช้มันในงานชุมนุมปักบุปผา เมื่อก่อนงานชุมนุมมีคนใช้ยันต์คาถา แต่ก็แค่เพียงเล็กน้อย มหาห้าอสุนีบาตทันทีที่สัมฤทธิ์ผล ก็จะทำลายบริเวณโดยรอบเสียหาย รสชาติแห่งการถูกสายฟ้าฟาดใส่ ย่อมเจ็บปวดไม่อาจทนรับไหว!

เสวียนจีเห็นคนมากมายวิ่งออกไปเบียดกันด้านนอก กำลังจะถาม แขนพลันถูกตู้หมิ่นหังคว้าไว้ เขาจับนางไว้ นางก็จับมือจงหมิ่นเหยียนร้อนใจกล่าวว่า “รีบไปจากตรงนี้! อันตราย!”

เสวียนจีถูกเขาลากไป วิ่งไปได้สองก้าว ก็ได้ยินอาวุโสหวนหยางด้านล่างเวทีเสียงดังขึ้น ไม่รู้ว่าเกิดอันใดขึ้น เบื้องหน้าพลันเกิดประกายแสงหมื่นสายฟาดลงมา แสบตายิ่ง

นางปิดตาด้วยสัญชาตญาณ ข้างหูได้ยินเสียงเสียดแหลมดังตูมอยู่หลายเสียง พื้นดินเริ่มแยกออก นางโซเซเกือบจะล้มลง ข้างหูพลันได้ยินเสียงท่านแม่หวีดร้องดัง เสียงตะโกนร้อนใจของท่านพ่อ ช่างวุ่นวายเลอะเลือนไปหมด

กำลังจะเงยหน้าดูว่าเกิดอันใดขึ้น พลันรู้สึกเหมือนบนศีรษะสะเทือน ราวกับถูกสิ่งใดสักอย่างฟาดใส่ ไม่เจ็บไม่คัน เพียงแต่ชาๆ สักหน่อย นางอดนิ่งอึ้งไม่ได้ ใช้มือลูบไป รู้สึกว่าบนศีรษะมีเศษๆ อะไรสักอย่าง ไข่มุกประดับตกใส่ฝ่ามือนาง เปลี่ยนเป็นสีดำไหม้หงิกงอ ควันลอยคลุ้ง

นี่คืออะไรกัน นางปล่อยมือลง มองไปรอบๆ อย่างงุนงง

พลันเห็นบนพื้นไม่รู้ว่ามีรูดำๆ มากมายขึ้นตอนไหน เหมือนกับไข่มุกประดับศีรษะนาง ควันลอยคลุ้ง

หลายคนกุมศีรษะล้มนอนหมอบลงกับพื้น พวกหลิงหลงเองก็นอนหมอบลงกับพื้น มีเพียงนางคนเดียวที่ยืนอยู่พร้อมกับเครื่องประดับไข่มุกบนศีรษะที่ถูกฟ้าผ่าจนไหม้เกรียม นางไม่รู้ทำจะอย่างไรดี