“เสวียนจี!”
มีคนเรียกนาง น้ำเสียงหวีดดังเจ็บปวดใจ
นางได้สติ คิดหันกลับไปมองที่มาของเสียง พลันหน้ามืดตาลาย ขาถึงกับไร้แรงกำลัง เข่าอ่อนทรุดคุกเข่าลงนั่งกับพื้น บนศีรษะมีของร้อนๆ ไหลลงมา ทำเอาภาพในตากลายเป็นสีแดงไปหมด
นี่มันเกิดเหตุใดขึ้น แปลกมาก…
ร่างกายนางพลันถูกคนใช้แรงลาก ใบหน้าร้อนใจของตู้หมิ่นหังปรากฎขึ้นตรงหน้า มีสีแดงสดบังไว้ชั้นหนึ่ง ใบหน้าเขามองไม่ชัดอยู่สักหน่อย
“เลือดออกแล้ว! หลิงหลง เร็ว เอายามา!” เสียงเขาฟังแล้วอู้อี้ ราวกับมีฝ้ายสิบกว่าชั้นขวางกั้น
ตามมาด้วยศีรษะนางพลันมีคนแหวกผมนางออก มีของบางอย่างเย็นๆ ทาลงไป ต่อมามีคนพันแผลให้นาง ใช้ผ้าเปียกเช็ดหน้าให้นาง
“นี่! เจ้าพูดสิ! เป็นอย่างไรบ้าง อย่าทำให้ตกใจ!”
จงหมิ่นเหยียนตบแก้มนางเบาๆ ตกใจจนหน้าซีด
เสวียนจีกะพริบตาปริบ ในตายังมีสีแดงสดบางๆ อยู่ นางยกมือลูบศีรษะที่ผ้าผันผ้าไว้เรียบร้อยแล้ว งุนงงยิ่ง
“ข้า…ทำไมหรือ?” นางกระซิบถาม
“เจ้าถูกสายฟ้าฟาด…ตอนนี้ยังไหวไหม” หลิงหลงร้องไห้สะอื้นไม่อาจกล่าว คว้ามือนางไว้ไม่ยอมปล่อย
“แต่…ไม่เจ็บแม้แต่น้อย…” นางลองขยับดูพลางผุดขึ้นนั่งต่อหน้าสายตาทุกคน นางขยับไหล่และแขนไปมา “เพียงแต่เมื่อครู่รู้สึกมึนงงมาก ตอนนี้ดีขึ้นแล้ว”
ทุกคนตาค้างมองนางลุกขึ้นยืนอย่างไม่เป็นอันใดแม้แต่น้อย นอกจากศีรษะพันแผลวงใหญ่แล้ว ก็ไม่ต่างกันอะไรกับปกติ
ตู้หมิ่นหังเป็นกังวลอันใดสักอย่าง ประคองนางไว้กล่าวเบาๆ ว่า “ไม่เป็นไรจริงหรือ หากมีอันใดไม่สบาย ต้องพูดนะ”
ถูกฟ้าผ่าใส่ทีหนึ่งถึงกับยังกระโดดโลดเต้นได้ คิดแล้วหากไม่ใช่ว่านางดวงดี ก็คงเพราะมนต์คาถาอูถงไม่ได้ความเท่าไร อานุภาพสังหารไม่ร้ายแรง
เสวียนจีลูบบาดแผลบนศีรษะตน ตรงนั้นรู้สึกชาๆ ลูบแล้วไร้ความรู้สึก แม้ว่าเลือดออก แต่ไม่เจ็บแม้แต่น้อย
นางแบมือออกเห็นไข่มุกกระจ่างเม็ดหนึ่ง “อาจเพราะฟาดใส่เครื่องประดับ ดังนั้นเลยไม่เป็นไรกระมัง…”
ตู้หมิ่นหังส่ายหน้ากำลังจะกล่าว พลันได้ยินเสียงเอะอะดังบนเวทีประลองอักษรสีน้ำตาล หลายคนหันกลับไปมอง เห็นศิษย์พี่ตวนผิงนอนอยู่กับพื้น เสื้อผ้าทั้งร่างล้วนราวกับถูกเผาไหม้ ทั้งดำทั้งขาด ดีที่ไม่ได้บาดเจ็บสาหัส ตอนนี้เพียงแค่หมดสติไป
บรรดาหมอในสนามประลองเข้ามาจับชีพจรเขา บรรดาศิษย์อายุน้อยบ้างก็ตกใจ บ้างก็ด่าทอ บ้างก็อุทาน มีพวกที่อารมณ์ร้อน กระชากตัวอูถงข้างๆ มาคิดลงมือ
อูถงผู้นั้นถูกรั้งไว้ ถึงกับหัวเราะร่า ไม่สนใจ ตามองไปยังหมัดที่กำลังกระทบใบหน้าเขา ผู้อาวุโสหวนหยางด้านล่างเวทีพลันตวาดดัง “หยุด! ถอยลงจากเวที! อย่าได้เสียมารยาท!”
ศิษย์สำนักเส้าหยางทุกคนย่อมไม่ยินยอม แต่ไม่กล้าขัดคำสั่ง ได้แต่ปล่อยตัวเขาอย่างแค้นใจ ลงจากเวทีไปด้วยท่าทางฮึดฮัด
ผู้อาวุโสหวนหยางสีหน้านิ่งเรียบ นั่งยองลงไปตรวจดูศิษย์รักตนก่อน มั่นใจว่าเขาไม่เป็นอะไร จึงได้เงยหน้าขึ้น สายตาราวสายฟ้ามองกวาดไปที่ใบหน้าอูถง
“เจ้าถึงกับใช้มหาห้าอสุนีบาตเป็น หุบเขาเตี่ยนจิงช่างราวมังกรซ่อนตัวพยัคฆ์เร้นกายเสียจริง” เขากล่าวเยียบเย็น “การประลองนี้ เส้าหยางแพ้ เตี่ยนจิงชนะ!”
อูถงยิ้มเล็กน้อยอย่างไม่สนใจนัก ประสานมือคำนับ กำลังเดินลงจากเวทีท่ามกลางเสียงโห่ร้องยินดีของบรรดาศิษย์หุบเขาเตี่ยนจิงอาวุโสหวนหยางด้านหลังกล่าวน้ำเสียงเข้มว่า “เดี๋ยวก่อน!”
เขาหันกลับไปเผยรอยยิ้มบางกล่าวว่า “ท่านผู้เฒ่ายังมีอันใดชี้แนะ ข้าน้อยรอรับฟัง”
ในสถานการณ์ระดับทางการนี้ ตามมารยาท เขาควรเรียกผู้อาวุโสหวนหยาง วาจาที่ว่าท่านผู้เฒ่า เห็นชัดว่าไร้ความเคารพ ไม่เพียงแต่ฉู่เหล่ยที่อยู่ด้านล่างเวทีสีหน้าแปรเปลี่ยน แม้แต่เจ้าหุบเขาหรงแห่งหุบเขาเตี่ยนจิงสีหน้าก็ย่ำแย่ ส่ายหน้าน้อยๆ
ผู้อาวุโสหวนหยางจิตใจยากหยั่ง ถึงกับสีหน้าไม่แปรเปลี่ยน จ้องมองเขาครู่หนึ่งจึงกล่าวว่า “หนุ่มสาวอายุน้อยมีความเก่งกล้าเช่นนี้นับเป็นเรื่องน่ายินดีจริง เพียงแต่ว่ามหาห้าอสุนีบาตเป็นกระบวนท่าสังหาร โหดเ**้ยมบีบคั้น ใช้ในการประลองเช่นนี้เกรงว่าเกินไปสักหน่อย ดีที่เจ้ายังรู้จักระงับพลัง ไม่เช่นนั้นทำร้ายคนรอบนอกสนามประลอง จะทำเช่นไร”
อูถงหัวเราะหึ “ที่นี่ล้วนเป็นผู้บำเพ็ญเซียน ย่อมหลบได้ หากมีคนโดนบาดเจ็บ ก็ได้แต่โทษที่เขาเรียนวิชาไม่ดี ไม่ใช่ความผิดของข้า”
หวนหยางกล่าวเยียบเย็นว่า “เจตนารมณ์เดิมของงานชุมนุมปักบุปผาไม่ใช่ให้ศิษย์รุ่นอายุน้อยมาสังหารกัน แต่เพื่อหยุดเมื่อต้องตัว ขอให้วันหน้าเจ้าใช้มหาห้าอสุนีบาตอย่างรอบคอบ”
อูถงไหวไหล่ ทำเหมือนไม่ยี่หระ โดดลงจากเวทีไปทันที
“นี่เสวียนจี…” หลิงหลงกอดนาง แอบคุยกับนางเบาๆ อย่างเจ็บแค้น “เขาอ้อมไปอ้อมมาด่าเจ้าฝึกวิชาไม่ดี เดี๋ยวไว้ข้าต้องจัดการเขาสักตั้งหนึ่งให้ได้!”
“ไม่ ไม่ต้อง…” เสวียนจีรู้ แต่ไรมานางมักชอบก่อเรื่อง “ข้าฝึกวิชามาไม่ดีจริง หลบสายฟ้าไม่พ้น…ไม่โทษเขา”
“ไม่อาจกล่าววาจาเช่นนี้” ตู้หมิ่นหังทีแต่ไรก็เป็นคนดีมาตลอด แต่ครั้งนี้โมโหเช่นกันแล้ว คิ้วขมวดแน่น “งานชุมนุมปักบุปผาเป็นการประลองมิตรภาพ หยุดเมื่อต้องตัว เขากลับใช้กระบวนท่าสังหารชิงชัย ชนะโดยไม่ประลอง ยังทำให้คนด้านล่างเวทีที่บริสุทธิ์ไม่เกี่ยวข้องบาดเจ็บ เช่นนี้ย่อมไม่ใช่วิสัยเมตตาแห่งผู้บำเพ็ญเซียน!”
หลิงหลงกล่าวอย่างคับแค้นใจว่า “ใช่! และยังทำร้ายน้องสาวข้าบาดเจ็บ ข้าต้องสับเขาให้ได้!”
จงหมิ่นเหยียนเห็นนางคิดเคลื่นไหวมุทะลุ พลันรีบดึงไว้ กระซิบว่า “เจ้าทำอันใดได้ ไหนเลยสู้เขาได้! เรื่องนี้ย่อมให้พวกอาจารย์จัดการ พวกเราไม่อาจสอดแทรก!”
หลิงหลงกระทืบเท้ากล่าวอย่างร้อนใจว่า “เจ้าหกก็กล่าวเป็นแต่วาจาทำลายกำลังใจ! หรือว่าใต้หล้ามีเขาคนเดียวที่ร่ายมนตร์คาถาเป็น! เชอะ ข้าก็เป็น! ดูสิว่ายันต์คาถาใครมากกว่า!”
“แม้ ประลองมนต์คาถา เจ้าเอง ก็ไม่ชนะเขา”
เสียงอวี่ซือเฟิ่งพลันดังมาจากด้านข้าง เสวียนจีรีบหันไปทันที เห็นเขายืนอยู่ไม่ไกล สีหน้าซีดขาว แววตาอ่อนโยน มองศีรษะนางที่พันผ้าพันแผลไว้ด้วยแววตาสงสาร
“อา ซือเฟิ่ง…” นางส่งเสียงเรียก พลันนึกถึงตอนที่ตนถูกสายฟ้าฟาด มีคนเรียกนางเสียงหนึ่ง ตอนนี้คิดแล้ว น่าจะเป็นเขา
“ข้า ข้าไม่เป็นไร” นางกล่าวติดอ่าง “ไม่เจ็บ ไม่คัน ไม่มึนหัวด้วย มีแต่เลือดออกนิดหน่อย…พลังสายฟ้าผู้นั้นไม่แรงมาก…”
อวี่ซือเฟิ่งส่ายหน้า เดินเข้าไปดูอาการบาดเจ็บของนาง สายตาเย็นชา กระซิบว่า “เขาถึงกับทำร้ายเจ้า”
ข้าไม่เป็นไร…เสวียนจียังคิดอธิบาย ไม่รู้ทำไม พอเห็นเขาสายตาราวกับเกล็ดน้ำแข็งหนาวเหน็บ ในเวลากระชั้นชิดกล่าวอันใดไม่ออก
“เมื่อครู่ที่เจ้ากล่าวมานั้นหมายความอย่างไร!” หลิงหลงชี้หน้าเขาคำรามดัง “ข้าไม่ชนะเขา เจ้าชนะงั้นสิ?!”
อวี่ซือเฟิ่งไม่มองนาง เอาแต่ลูบศีรษะเสวียนจีเบาๆ กล่าวว่า “ข้าเอง ก็ไม่ชนะ พวกเราทั้งหมด ล้วนไม่ชนะ นับประสาอันใดกับ ไปมีเรื่องกัน นอกลานประลอง บิดาเจ้า ก็วางตัว ลำบาก”
หลิงหลงได้ยินเขาเอ่ยถึงฉู่เหล่ย ไฟปะทุภายในท้องก็มลายหายไปครึ่งหนึ่งทันที หากยังไม่ยินยอม “หากเจ้าใส่ใจเสวียนจีจริง พวกเราก็ต้องร่วมกันจัดการเขา ไม่เชื่อว่าไม่ชนะ!”
เสวียนจีรับดึงมือนางไว้ ร้อนใจกล่าวว่า “พี่สาวแสนดี ข้าไม่เป็นไร พี่อย่าได้ก่อเรื่องเลย เกิดท่านพ่อโมโห พวกเราถูกส่งไปขังในถ้ำแสงฉานแน่! ข้าไม่อยากกลับที่นั่นอีก”
หลิงหลงถูกนางขอร้องเสียงอ่อน ได้แต่ปล่อยเรื่องนี้ไป
พอดีมองไปเห็นอูถงผู้นั้นลงจากเวที ไม่เข้าไปยืนในลานด้านใน กลับโดดออกมาด้านนอก คิดว่าคงไม่คิดอยากดูการประลองอื่นอีกแล้ว คิดจะกลับไปพักผ่อน ช่างยโสยิ่งนัก
หลิงหลงพอเห็นใบหน้าแสร้งยิ้มที่เต็มไปด้วยเล่ห์เหลี่ยมของเขาก็พลันโมโหอีก เห็นเขาเดินเข้ามา ก็รีบใช้สายตาตวัดจ้องมองคิดหยุดเขาไว้
น่าจะเป็นสายตานางที่ดุดันมาก อูถงจึงได้รู้ตัวอย่างรวดเร็วว่ามีคนจ้องมองตน หันกลับไปก็พอดีปะทะเข้ากับสายตาราวเปลวไฟปะทุของหลิงหลง เขาตะลึงไปเล็กน้อย ราวกับไม่รู้ว่าเหตุใดเด็กสาวราวตุ๊กตาน้อยหน้าตางดงามจึงได้มองตนเช่นนี้ กวาดสายตามองแวบหนึ่ง พอดีมองไปยังเสวียนจีที่นั่งข้างๆ บนศีรษะนางพันผ้าพันแผลไว้ ใบหน้ายังมีคราบโลหิตเปื้อน คิดว่าเมื่อครู่น่าจะถูกมหาห้าอสุนีบาตของตนทำบาดเจ็บเข้า
เขาเข้าใจได้ในทันที
มองไปที่ท่าทางโมโหเป็นฟืนเป็นไฟของหลิงหลง เขายิ้มเย้าแรง ใช้นิ้วมือปาดบนใบหน้าทีหนึ่ง ส่งสัญญาณแสดงเห็นว่าพวกเขาบำเพ็ญเพียรไม่พอ ขายหน้า
“ข้าทนไม่ไหวแล้ว!” หลิงหลงกดเสียงคำรามเบาๆ “จะไปจัดการเขาให้ตายตอนนี้เลย!”
นางกำกระบี่ต้วนจินที่เอวแน่น อยากจะใช้กระบี่ฟันแทงเขาพันหมื่นทีให้เป็นรูราวรังผึ้งไปเลย
เสวียนจีคว้าแขนเสื้อนางไว้แน่น ไม่ยอมให้นางขยับ นางเงยหน้า พลันเห็นอูถงยิ้มมองนางอย่างดูแคลน หันกายเดินจากไปไกล นางถึงกับเดาได้ว่าปากเขาเขายามนั้นพึมพำอันใดอยู่ เช่นสำนักเส้าหยางก็แค่นี้ บุตรสาวเจ้าสำนักอ่อนด้อยเพียงนี้ วาจาอะไรพวกนี้
นางกัดริมฝีปาก ยังคงไม่ขยับ
“ข้ามีวิธี จัดการเขา” อวี่ซือเฟิ่งพลันเอ่ยขึ้นเบาๆ
พอกล่าวออกมา เด็กทั้งหมดก็หันมามองทางเขาพร้อมกัน
“อย่างไร งานชุมนุมปักบุปผา ยังมี อีกหลายวัน ผู้ใด ก็ไม่รู้ อีกหลายวัน จะเกิดอันใด” เขายิ้มสดใส “บางที เขากินของผิด ท้องเสียอ่อนแรง ไม่ก็ ไม่ระวัง อาจจะ ถูกพิษงู กัดเอา ไม่อาจขยับ หรือบางทีเขา มาครั้งแรก ไม่คุ้นเคย พื้นที่ เส้าหยาง วิ่งหนี ล้มขาหัก…”
ทุกคนล้วนกะพริบตารอเขาสรุป
“สรุป ทุกอย่าง ล้วน เป็นได้” เขาแค่นยิ้มเยียบเย็น ราวกับมารร้ายตัวน้อย