ในเขตที่ว่าการอำเภอเก่า
ใจที่แขวนอยู่บนเส้นด้ายของซ่างกวนอวี่ถิง ในที่สุดก็วางลงได้เสียที ก่อนหน้านี้นางเคยคิดเอาไว้ว่าหากหลี่มู่สู้ไม่ได้ ต่อให้นางต้องสู้จนร่างกายแหลกละเอียดก็ต้องปกป้องเข้าเอาไว้ และตอนนี้สุดท้ายก็วางใจได้แล้ว
สำหรับนาง การผงาดขึ้นของอำเภอขาวพิสุทธิ์หรือการเลื่อนตำแหน่งอะไรพวกนั้นล้วนไม่สำคัญ นางก็เหมือนกับสตรีทั้งหลายในโลกที่ตกหลุมรักชายผู้หนึ่ง ความหวังเพียงสิ่งเดียวในใจคือให้เขาคนนั้นปลอดภัย
ปลอดภัย ดีกว่าอะไรทั้งสิ้น
สวีหว่านเอ๋อร์ ซินเอ๋อร์ และสาวงามคนอื่นๆ ต่างดีใจจนโห่ร้องขึ้นมา
พวกนางอยู่ในอำเภอขาวพิสุทธิ์หลายวันมานี้ นับว่ากลับสู่สภาพการดำรงชีวิตที่ไร้ทุกข์ไร้กังวลเหมือนดั่งวันวาน ผู้คนเคารพ มีอิสระเสรี ไม่ต้องหวาดหวั่นวิตก ทั้งหมดนี้ล้วนเป็นสิ่งที่หลี่มู่มอบให้ ดังนั้นพวกนางจึงเป็นห่วงหลี่มู่ ความรู้สึกอาจจะไม่ลึกซึ้งเท่าซ่างกวนอวี่ถิง แต่ก็จริงใจเช่นกัน
เด็กรับใช้บัณฑิตน้อยถอนหายใจยาวอย่างโล่งอก
แต่ในดวงตาของเขากลับฉายแววสงสัย
คุณชายแข็งแกร่งขึ้นเรื่อยๆ นี่เป็นเรื่องที่ดี แต่แข็งแกร่งจนค่อนข้างผิดปกติ แก่กล้าจนค่อนข้างแปลกตา นี่เป็นคุณชายคนเดิมคนนั้นจริงๆ หรือ?
เขาถูจมูก
ตอนนี้เอง หลี่มู่ลาก ‘เทพมารเพลิง’ หวงเซิ่งอี้ที่ยังสลบอยู่เข้ามา เมื่อเห็นท่าทางของสตรีทั้งหลาย ในใจก็ซาบซึ้ง
แต่ว่าเขายุ่งจริงๆ นะ
เขาชี้ไปยังกระเรียนขาวที่เดินตามอยู่ข้างหลัง พูดกับเหล่าสาวงามด้วยประโยคที่เต็มไปด้วยความหมายว่า “นกยักษ์ตัวนี้ข้าให้พวกเจ้ายืมเล่นก่อนแล้วกัน…ข้าไปทำธุระก่อนล่ะ”
เขาลากหวงเซิ่งอี้เข้าไปในห้องฝึกยุทธ์
ห้องฝึกยุทธ์ของหลี่มู่ปกติแล้วผู้ไม่เกี่ยวข้องห้ามเข้า
หวงเซิ่งอี้เป็นผู้แข็งแกร่งครึ่งขั้นเทวะ พลังน่าครั่นคร้าม ไพ่ตายและกลวิชาต่างๆ มีนับไม่ถ้วน ดังนั้นหลี่มู่จึงไม่กล้าประมาท เพื่อป้องกันเจ้านี่ตื่นขึ้นมาแล้วหนี เขาจึงพยายามคิดหาวิธี
ดีที่ภายในเขตที่ว่าการเก่า พลังวิญญาณฟ้าดินทุกสายทุกกลุ่มล้วนอยู่ในการควบคุม เป็นจุดที่ค่ายกลฮวงจุ้ย ‘จุดรวมมังกร’ ทั้งเทือกเขาขาวพิสุทธิ์แข็งแกร่งที่สุด หลี่มู่เหนี่ยวนำพลังค่ายกล พันธนาการวิชาเวทค่ายกลและคาถาต่างๆ หลายสิบชนิดเอาไว้ในร่างกาย เมื่อรับประกันว่าไม่มีปัญหาแล้วถึงได้วางใจ
ครั้นกวาดค้นทรัพย์สินและอุปกรณ์ทุกอย่างในร่างของครึ่งเทพผู้นี้เก็บไว้อีกด้านหนึ่งแล้ว หลี่มู่ก็เข้าไปในห้องหลอมอาวุธอย่างเร่งร้อน ไปดูกระบวนการหล่อหลอมดาบวัฏจักร
ในห้องหลอมอาวุธ เปลวไฟร้อนแรง
‘ตราประทับห้าธาตุพลิกนภา’ ลอยอยู่กลางห้อง ส่วนของธาตุไฟเปล่งแสงเพลิงออกมา ล้อมรอบดาบวัฏจักรพร้อมทั้งอาวุธต่างๆ หลายสิบชนิดและโลหะล้ำค่า หล่อหลอมเอาไว้ข้างในไม่หยุด
ตอนนี้อาวุธส่วนมากถูกหลอมจนสูญเสียรูปทรงเดิมไปแล้ว คลื่นพลังวิญญาณข้างในก็ถูกดาบวัฏจักรดูดซับไปแล้วเช่นกัน แก่นสำคัญไหลเข้าไปในดาบ วัตถุดิบชั้นเลิศเหล่านั้นก็เช่นกัน
“ยังทัน”
หลี่มู่แค่มอง ในใจก็คิดได้
เขาประสานปางมือส่งพลังเข้าไปใน ‘ตราประทับห้าธาตุพลิกนภา’ หลายสิบท่า แสงเพลิงส่วนธาตุไฟยิ่งพร่างพราย ระดับความร้อนรุนแรง ไม่เกินหนึ่งชั่วยาม พลังในอาวุธและวัตถุดิบต่างๆ ไหลเข้าไปในดาบวัฏจักร แก่นสำคัญโลหะที่หลอมออกมา สุดท้ายก็ถูกหลี่มู่หลอมเข้าไปในดาบ
ดาบวัฏจักรเกิดการเปลี่ยนแปลงเล็กน้อย
ตัวดาบหน้าดาบหนากว่าตอนแรก อีกทั้งใหญ่ขึ้น หนักขึ้น
นี่เป็นเรื่องปกติ
ในเมื่อในดาบวัฏจักรมีของใหม่ใส่เพิ่มเข้าไปมากขนาดนั้น
หลี่มู่โยนเศษวัสดุที่ไม่มีแก่นสำคัญเหลือแล้วไว้ด้านหนึ่ง จากนั้นก็รวบรวมสมาธิ หลอมสร้างดาบวัฏจักร
ในดาบวัฏจักรมีค่ายกลวิชาเต๋ามากมาย ล้วนเป็นผลงานรังสรรค์ของเขา
ในขั้นตอนการหลอม หลี่มู่แบ่งจิตใจใช้สองส่วน ส่วนหนึ่งควบคุมพลังส่วนธาตุไฟของ ‘ตราประทับห้าธาตุพลิกนภา’ เพื่อหลอมตัวดาบไม่หยุด อีกด้านหนึ่งก็ประสานปางมือวิชาเต๋าต่างๆ เข้าไปอย่างต่อเนื่อง เพิ่มความแข็งแกร่งให้กับค่ายกลในตัวดาบ ดาบวัฏจักรประเดี๋ยวรวมเป็นหนึ่ง ประเดี๋ยวก็แยกเป็นดาบบินยี่สิบสี่เล่มอีกครั้ง
ผ่านไปอีกสามชั่วยาม
กลางวันในฤดูหนาวแสนสั้น ฟ้าค่อยๆ มืดลง
หลี่มู่เลิกงาน
ดาบวัฏจักรลอยอยู่กลางค่ายกลนิ่งๆ
หลังจากผ่านการหลอมไปสามชั่วยาม สิ่งปลอมปนบางอย่างในดาบวัฏจักรถูกสกัดออกไป วัสดุยิ่งหลอมรวม เป็นทรงเหลี่ยมอย่างหนึ่งที่ยากบรรยาย ตัวดาบกลับเล็กประณีตกว่าก่อนหลอมเล็กน้อย กว้างประมาณห้านิ้วมือ ยาวประมาณห้าฉื่อครึ่ง หน้าดาบวาววับราวสายน้ำยามฤดูใบไม้ร่วง บางราวกระดาษแต่แข็งเป็นอย่างมาก
เมื่อหลี่มู่ตวัดมือ ดาบวัฏจักรก็กลายเป็นลำแสงพุ่งมาอยู่ในมือของเขา
ตัวดาบสั่นสะท้านเล็กน้อย เหมือนมีประกายไหวระลอก เสียงคำรามดังแว่วมา และยังมีจิตอันเป็นมิตรอยู่รางๆ
“เสียงดาบคำรามดุจมังกร จิตสื่อสัมพันธ์…นี่เป็นสัญลักษณ์ของอาวุธระดับสมบัติวิญญาณ”
หลี่มู่ลิงโลด
นี่เป็นอาวุธที่เขาหลอมออกมาเอง ก็เหมือนกับลูกของตัวเอง ยิ่งมองก็ยิ่งรัก
พลังจิตวิญญาณของเขาหลั่งไหลเข้าไปในตัวดาบ และรับรู้อย่างละเอียด
การสื่อนำพลังจิตวิญญาณและปราณแท้ล้วนเยี่ยมยอด
ปลายนิ้วเขาแตะไปบนคมดาบเบาๆ เลือดก็ไหลออกมา
“คมมาก”
หลี่มู่ตกใจ
กายเนื้อของเขาแข็งแกร่งราวเหล็ก ศาสตราวุธต่างๆ ยากจะสร้างรอยขีดข่วนให้เขา ตอนนี้แค่ดาบวัฏจักรแตะไปเบาๆ ก็เกิดบาดแผลเลือดไหลแล้ว จะเห็นได้ถึงความคมของมัน
ไม่รู้ว่ากายเนื้อของขั้นเทวะจะต้านทานความคมของมันได้หรือไม่
พอความคิดนี้ผุดขึ้นมา ในใจของหลี่มู่ก็คันยิบนัก
“เอ๋? มีวิธีแล้ว ที่นี่มีตัวทดลองสำเร็จรูปอยู่คนหนึ่งไม่ใช่หรือไง?”
หลี่มู่ดวงตาเป็นประกาย
เขาถือดาบวัฏจักรเดินออกจากห้องหลอมอาวุธไปหาหวงเซิ่งอี้ที่อยู่ในอาการสลบไสล หมายลองดูว่ากายเนื้อของครึ่งขั้นเทวะจะรับความคมของดาบวัฏจักรที่บรรจุปราณแท้เข้าไปได้หรือไม่
……
“อ๊าก…”
หวงเซิ่งอี้ตื่นจากอาการหมดสติ รู้สึกแค่ปวดหัวเหมือนหัวจะแตกเป็นเสี่ยงๆ
เขาไม่ได้สัมผัสกับความรู้สึกแบบนี้มานานหลายปีแล้ว
หลังจากความทรงจำระยะสั้นว่างเปล่า เขานึกย้อนถึงทุกสิ่งที่เกิดขึ้นในวันนี้ เพียงชั่วพริบตา ความโกรธแค้นของเขาก็ลุกโชนราวเปลวเพลิง ความอัปยศในวันนี้คือฝันร้ายชัดๆ
“หลี่มู่ ข้ากับเจ้าอยู่ร่วมโลกกันไม่ได้ ข้าจะฆ่าเจ้า”
เขาแทบจะกัดฟันพูดประโยคนี้ออกมา
เมื่อสำรวจสภาพภายในของตัวเอง หวงเซิ่งอี้ก็รู้ว่าตัวเองถูกจับเป็นเชลย
เหลวไหลจริงๆ จับเป็นเชลยคำนี้ไม่เคยปรากฏในพจนานุกรมของเขา ทว่าตอนนี้กลับเป็นจริงเกิดขึ้นอย่างโหดร้าย
‘หึ ไม่ฆ่าข้า แต่กลับขังข้าเอาไว้ที่นี่ เป็นคำตอบที่เจ้าเลือกได้โง่เง่ามากที่สุด รอข้าออกไปได้ก่อนเถอะ ข้าจะฆ่าคนข้างกายเจ้าให้หมด…’ หวงเซิ่งอี้แค่นเสียงเย็นสาบานในใจ
จากนั้นเขาก็เริ่มลองโคจรวิชาลับบางอย่างทำลายพันธนาการในกาย
แต่ตอนนี้เอง ประตูก็เปิดออก
หลี่มู่เดินเข้ามา
หวงเซิ่งอี้แค่นเสียงขึ้นจมูก มองมายังหลี่มู่ ความโกรธแค้นในดวงตาแทบกลายเป็นเปลวเพลิงยิงพุ่งออกมาได้ “ทางที่ดีเจ้ารีบปล่อยข้าไปเสียจะดีกว่า มิฉะนั้น…เอ๋? นี่ๆๆ? เจ้าจะทำอะไร? เจ้า…หยุดนะ! รีบหยุดเดี๋ยวนี้เชียว!”
คำข่มขู่ของเขายังพูดไม่ทันจบ ก็กลายเป็นเสียงร้องอย่างแตกตื่นลนลาน
เพราะหลี่มู่ถือดาบยาวส่องแสงวาววับ ไม่พูดพร่ำทำเพลงฟันฉับมาที่ขาของเขาทันที
เลือดไหลทะลักออกมา
“อ๊าก…” หวงเซิ่งอี้ร้องออกมาโดยไม่รู้ตัว
เขาไม่ได้สัมผัสกับสิ่งที่เรียกว่า ‘ความเจ็บปวด’ เช่นนี้มาสี่ห้าสิบปีแล้ว เขาไม่กลัวบาดเจ็บ แต่ปัญหาคือท่าทางไม่พูดอะไรก็เงื้อดาบฟันลงมาเลยของหลี่มู่มันช่างน่ากลัวจริงๆ
“เอ๋? ฟันเข้าด้วยแฮะ…” หลี่มู่พอใจมาก
เขามองหวงเซิ่งอี้ด้วยใบหน้าขอโทษขอโพย ก่อนจะเอ่ยว่า “ขอโทษที ข้าลองดาบน่ะ เพิ่งจะหลอมเสร็จพลังยังควบคุมได้ไม่ดี เจ้าอย่าถือสาเลย…”
หวงเซิ่งอี้หัวเสีย
หลี่มู่เงื้อมือขึ้นอีก แล้วฟันฉับลงไปอีกหลายดาบ
ร่างของครึ่งขั้นเทวะมีรอยดาบปรากฏขึ้นอีกหลายรอย เฉือนเนื้อทะลุหนัง เลือดสดทะลักออกมาเป็นสายๆ
“เจ้า…” หวงเซิ่งอี้ใจหนาวเหน็บขึ้นมาอย่างอดไม่ได้ “เจ้าจะทำอะไร?”
หลี่มู่พูดกับตัวเอง “อืม ท่าทางกายเนื้อของครึ่งขั้นเทวะจะต้านทานดาบนี้ไม่ได้ แม้จะไม่ได้หลอมปราณแท้เข้าไปก็ตาม ไม่รู้ว่ากายเนื้อของขั้นเทวะจะต้านทานได้หรือไม่…จะว่าไป กระดูกของครึ่งเทวะก็น่าจะแข็งพอๆ กับกายเนื้อของเทวะล่ะมั้ง?”
เขาเงื้อดาบขึ้น เล็งไปที่กระดูกขาของหวงเซิ่งอี้
หวงเซิ่งอี้ลนลานในทันที
ขั้นเทวะก็กลัวตายเหมือนกันนะ
เขารู้สึกว่าหลี่มู่คนนี้เป็นคนบ้าคลั่งชัดๆ
หลังจากการประมือก่อนหน้า ตอนนี้…จะใช้เขาลองดาบอย่างนั้นหรือ?
ขณะเขากำลังคิดอยู่ หลี่มู่ก็ฟันฉับลงมาอีกดาบแล้ว เสียงกร๊อบดังขึ้น ดาบวัฏจักรสับไปถึงกระดูก ฝังลงไปในนั้น…
“โอ้ กระดูกของครึ่งขั้นเทวะแข็งจริงๆ” หลี่มู่อุทานอย่างแปลกใจ
จากนั้นเขาถอนดาบ เตรียมฟันลงไปอีกครั้ง
คราวนี้หวงเซิ่งอี้สติแตกแล้ว
ต่อให้เป็นทัณฑ์ทรมานเขาก็ไม่กลัว แต่มีเรื่องแบบนี้ที่ไหนกัน ไม่ถามอะไรสักคำก็ฟันลงมาหลายดาบ หากลองดาบแบบนี้ต่อไป น่ากลัวว่าพอหลี่มู่ลองเสร็จ ตัวเขาก็ถูกสับเละเป็นเนื้อสับแล้วกระมัง?
“หยุด หยุดๆๆ หลี่มู่ เทวะจะหยามไม่ได้ เจ้าอย่าทำให้มันเกินไปนัก” หวงเซิ่งอี้โวยวายลั่น “อีกทั้งข้าเป็นตัวแทนของทุ่งปิดภูผา ข้า…”
ฉัวะ!
หลี่มือเงื้อดาบฟันลงไปอีกครั้ง
ในที่สุดกระดูกท่อนหนึ่งก็ถูกฟันขาด
หลี่มู่ย่อตัวลง มองบาดแผลคล้ายครุ่นคิดอะไร “ท่าทางต้องใช้อย่างน้อยสามดาบถึงจะตัดกระดูกของครึ่งขั้นเทวะขาด แต่หากหลอมปราณแท้ลงไปด้วยแล้วละก็…” ตัวดาบที่วาววับเย็นเยือกราวสายน้ำยามฤดูใบไม้ร่วงของดาบวัฏจักรส่องประกายพร่างพรายตามคำพูดของเขา นี่เป็นผลที่มองเห็นได้เมื่อพลังเพิ่มขึ้นหลังจากเสริมปราณแท้
หวงเซิ่งอี้เย็นวาบตามสันหลังทันที
ตกอยู่ในมือคนบ้าแบบนี้ นี่เป็นฝันร้ายชัดๆ
“หยุด เจ้าหยุดก่อน ข้าฝึกฝนพลังแห่งไฟ ดังนั้นจึงเชี่ยวชาญการหลอม ไม่ใช่ว่าเจ้าอยากหลอมดาบหรอกหรือ? ข้าบอกเจ้าก็ได้แล้ว…ข้ารู้วิธีหลอม ‘โลหะต้นกำเนิดสรรพสิ่ง’ ” หวงเซิ่งอี้ตะโกนลั่น
เขาปวดสมอง ปวดหัวใจ ปวดปอด ปวดตับ ปวดไต…
เขากลัวแล้ว กลัวแล้วจริงๆ ดังนั้นจึงเริ่มเสนอเงื่อนไข นับว่าเป็นแนวโน้มว่าจะก้มหัวให้แล้ว
“หา?” หลี่มู่มองเขาอย่างตกใจ “พลังนักกิน (ชื่อฮั้ว)? การกินก็หลอมอาวุธได้หรือ?”
“ข้าหมายถึงเพลิง (ชื่อหั่ว) เปลวเพลิง ควบคุมเปลวเพลิง” หวงเซิ่งอี้ประสาทกินไปแล้วเรียบร้อย
“อ้อ” ในที่สุดหลี่มู่ก็ลดดาบวัฏจักรที่เงื้อสูงลงมาช้าๆ แล้วพูดด้วยสีหน้าลังเล “เจ้ารู้วิชาหลอม ‘โลหะต้นกำเนิดสรรพสิ่ง’? จริงหรือหลอก? ข้าเรียนมาน้อย เจ้าอย่าหลอกข้านะ”
“จริงๆ ข้าคือปรมาจารย์หลอมอาวุธอันดับหนึ่งของทุ่งปิดภูผา มีอะไรค่อยๆ พูดค่อยๆ จากัน เจ้าอยากหลอมดาบอะไรข้าช่วยเจ้าได้…” หวงเซิ่งอี้พูดอย่างจริงใจ
นี่คือเรื่องบ้าบออะไรกันนี่
หวงเซิ่งอี้แม้แต่ฝันก็คิดไม่ถึงว่าตัวเองจะมีวันที่ตกต่ำถึงขั้นนี้
“ก็ได้ ในเมื่อเจ้าวิงวอนร้องขอ เช่นนั้นข้าจะเมตตาให้โอกาสเจ้าสักครั้งหนึ่ง” หลี่มู่เก็บดาบวัฏจักรในที่สุด จากนั้นมองขาที่เต็มไปด้วยแผลดาบ เอ่ยขอโทษอย่างไม่รู้สึกเสียใจแม้แต่นิดเดียว “ดูเจ้าสิ อายุก็ปูนนี้เข้าไปแล้ว ทำไมถึงไม่รู้เรื่องรู้ราวแบบนี้ เจ้าพูดให้มันเร็วกว่านี้สิ หากพูดเร็วกว่านี้ข้าก็ไม่ใช้เจ้าลองดาบแล้ว ต้องโทษเจ้านั่นแหละ…ช่างเถอะ ทำแผลถูๆ ไถๆ ให้เจ้าก่อนแล้วกัน”
หวงเซิ่งอี้อยากจะร่ำไห้
เขาไม่เคยน่าอดสูแบบนี้มาก่อน
ครู่หนึ่ง ขาซ้ายของหวงเซิ่งอี้ก็ถูกพันด้วยฝีมือพันแผลที่ย่ำแย่จนเหมือนบะจ่างสีขาว
หลายวันต่อมา เรื่องราวก็สนุกขึ้นมาก
หลี่มู่พาหวงเซิ่งอี้ที่ถูกควบคุมพลังมายังห้องหลอมอาวุธ ปรับแก้ หารือ และปรับปรุงแผนต่างๆ ทั้งวันทั้งคืน เพื่อหลอมดาบวัฏจักรใหม่อีกครั้ง
เป็นถึงครึ่งขั้นเทวะ แต่กลับตกต่ำมาใช้แรงงานอย่างน่าอดสู
ใจของหลี่มู่แอบมีความสุข
ครึ่งเทวะคนหนึ่ง มุมมองประสบการณ์ความคิดอ่านและความรู้ที่กุมเอาไว้จะมากมายเพียงใด?
การลองดาบครึ่งหนึ่งคือเรื่องจริง อีกครึ่งหนึ่งนั้นโกหก สิ่งที่สำคัญที่สุดคือ จะต้องดึงคุณค่าของครึ่งขั้นเทวะคนนี้ให้ถึงขีดสุด เค้นประโยชน์ทั้งหมดของเขาเอามาใช้เอง นี่ถึงจะเป็นเป้าหมายที่แท้จริงของหลี่มู่