ภาค 2 ไร้เทียมทานเย้ยยุทธจักร บทที่ 308 เจ้าหลอกข้า

จอมศาสตราพลิกดารา

คุณค่าของครึ่งขั้นเทวะคนหนึ่ง มีอยู่มากเพียงไหน?

คำถามนี้ สามารถหาคำตอบได้จากหลายๆ ด้าน

แต่สำหรับหลี่มู่แล้ว การที่ได้รับแรงจากหวงเซิ่งอี้ คือโชคดีที่เหมือนบนฟากฟ้ามีขนมแป้งสอดไส้ร่วงลงมา หวงเซิ่งอี้ฝึกพลังแห่งเพลิงสีชาด ในธาตุทั้งห้า ไฟเดิมทีเป็นธาตุแห่งการหล่อหลอมลำดับหนึ่ง และเพลิงสีชาดก็เป็นหนึ่งในเปลวเพลิง อานุภาพเพียงพอจะถูกจัดอยู่ในสิบลำดับแรกของไฟอัศจรรย์ เดิมทีหวงเซิ่งอี้ก็เป็นปรมาจารย์หลอมอาวุธของทุ่งปิดภูผาอยู่แล้ว ในจักรวรรดิฉินตะวันตกนี้ ที่มาของตำแหน่งอันสูงส่งของเขา ครึ่งหนึ่งมาจากพลังยุทธ์ในตัว อีกครึ่งก็คือวิชาหล่อหลอมอาวุธ

ปกติ คนที่ขอให้เขาหลอมอาวุธล้วนเป็นขุนนางใหญ่โตและผู้เยี่ยมยุทธ์ ใครที่ไม่เข้ามาอ้อนวอนเสียงอ่อนหรือส่งของกำนัลขนานใหญ่มา หวงเซิ่งอี้ก็จะมีท่าทีเฉยชา ดูอารมณ์ก่อนว่าจะช่วยหรือไม่ช่วย

แต่ตอนนี้ตกอยู่ในกำมือของหลี่มู่ อย่าว่าแต่จะวางท่าเป็นปรมาจารย์หลอมอาวุธเลย แค่ชักช้าเพียงนิด หรือตอบโต้ช้าเพียงหน่อย หลี่มู่ก็จะยกหมัดประเคนหรือไม่ก็ฟาดฝ่ามือใส่ราวกับเห็นเขาไม่ใช่คนทันที

หวงเซิ่งอี้รู้สึกอดสูยิ่งนัก

แต่เขาก็ไม่กล้าปิดบังหรือโกหกหลี่มู่

เพราะว่าเขาค้นพบอย่างน่าตกตะลึงว่า หลี่มู่แม้จะไม่คุ้นเคยกับระบบของวิชาหลอมอาวุธนัก ทว่ากลับเข้าใจระบบการหลอมอาวุธที่ทำให้เขารู้สึกเหลือเชื่อ เพียงแค่แสดงให้เห็นเล็กน้อย ก็พอที่จะทำให้เขาตกตะลึงได้แล้ว

มีอยู่หลายครั้ง ขณะที่หวงเซิ่งอี้กำลังหลอมอาวุธ จงใจขัดขาไปนิดหน่อย เมื่อหลี่มู่รับคำชี้แนะไปและหลอมอาวุธออกมา ขณะที่นำไปทดลองก็เกิดระเบิดขึ้น

หลังจากนั้น หวงเซิ่งอี้ถูกหลี่มู่ซัดน่วมครึ่งเป็นครึ่งตาย แถมยังคว้าเอาดาบวัฏจักรมาเฉือนไปอีกหลายแผล

“ถ้ายังหลอกกันหรือมีลูกไม้อีก เจ้าเชื่อไหมว่าข้าฟันเจ้าทิ้งได้ทันที” จอมมารหลี่พูดขึ้นอย่างเดือดดาล “เจ้าคิดจริงๆ หรือว่าหากไม่มีเจ้า แล้วข้าจะหลอมดาบไม่ได้? ข้าแค่ให้โอกาสเจ้าชดเชยบาปเท่านั้น ไม่ได้ขอร้อง…เจ้าเข้าใจให้ดีๆ อย่ามายั่วโมโหข้า ข้ามันคนบ้า ตอนที่บ้าขึ้นมา ตัวข้าเองยังกลัวเลย”

หวงเซิ่งอี้ทั้งตัวเต็มไปด้วยเลือด จมูกเขียวหน้าบวม ตัวสั่นงันงก

ท้ายสุด เขาก็ยอมศิโรราบ ไม่กล้ามีลูกไม้ใดๆ อีก

ยังดีที่ร่างกายของครึ่งขั้นเทวะ ต่อให้ไม่มีพลังฟ้าดิน พลังฝึกโดนสะกดเอาไว้ แต่คุณสมบัติของร่างกายก็ยังสูงกว่าร่างธรรมดาทั่วไป พลังฟื้นฟูยังคงน่าตกใจอยู่ บาดแผลหายได้รวดเร็วมาก

เขาชี้แนะหลี่มู่อย่างตรงไปตรงมา

นอกจากใส่ทฤษฎีความรู้แล้ว เขายังต้องกระตุ้นปราณแท้ในร่างกาย ปากพ่นเพลิงสีชาดเข้าใส่ค่ายกล เหมือนกับตัวไหมที่ต้องคอยพ่นใยออกมา เพิ่มพลังธาตุไฟให้กับ ‘ตราประทับห้าธาตุพลิกนภา’ …กว่าสิบครั้ง เขาถูกบังคับให้พ่นไฟจนหน้ามืดตาลาย เหนื่อยจนแทบจะอาเจียน…

แค่คำเดียว…

อนาถจริงๆ

หลังจากที่เหตุการณ์เช่นนี้ติดต่อกันไปห้าวัน ดาบวัฏจักรในที่สุดก็หลอมขั้นที่สองสำเร็จตามที่หลี่มู่คิดเอาไว้

สิ่งเจือปนอื่นๆ ในตัวดาบถูกขจัดทิ้งไปจนหมด

ดาบยาวถูกกำไว้ในมือ ราวกับน้ำสารทฤดูไหวระยิบระยับ เดี๋ยวเลือนเดี๋ยวชัดไม่หยุดนิ่ง ค่ายกลด้านในหมุนโคจร คุณสมบัติสื่อนำปราณแท้อยู่ในระดับที่เกือบเข้าขั้นไร้วัตถุ หลี่มู่เพียงตวัดเบาๆ ก็สามารถมองเห็นอากาศถูกตัดแบ่งเป็นสองซีกเสมือนหั่นเนย

ส่วนเรื่องความคม…

“เดี๋ยวๆๆ เจ้าจะทำอะไร? อย่านะ…แขนขาเหี่ยวๆ ของข้าทนแค่ดาบเดียวก็ไม่ไหวแล้ว นี่เป็นอาวุธระดับสมบัติเวทเล่มหนึ่งเชียวนะ” เมื่อเห็นหลี่มู่จับดาบ จ้องมองมาที่เขา ‘เทพมารเพลิง’ หวงเซิ่งอี้ร้องเสียงแหลมขึ้นด้วยความตกใจ ด้วยกลัวว่าหลี่มู่จะเอาตัวเขามาลองดาบ

ดาบเล่มนี้เป็นสิ่งที่เขาช่วยหลอมมันออกมา ถึงแม้หลี่มู่จะเป็นตัวหลักการหลอม ลงค่ายกลเอาไว้ในกลุ่มดาบเล็กทั้งยี่สิบสี่เล่ม ในทุกๆ เล่มเขามองไม่ออกทั้งหมด แต่เขาก็ยังดูออกว่าเป็นคุณภาพชั้นยอด เป็นอาวุธที่เกินระดับสมบัติวิญญาณไปแล้ว ถ้าฟันมันลงมา ร่างครึ่งเทวะที่ถูกปิดผนึกพลังฝึกเอาไว้ของเขาไม่มีทางจะรับไหวแน่

หลี่มู่เห็นหวงเซิ่งอี้หวาดกลัวขนาดนั้น จึงล้มเลิกความคิดไป

จริงๆ แล้วในใจเขาก็คิดๆ ว่าชายแก่หัวล้านคนนี้ นอกจากบุกเข้ามาอย่างเดือดดาลเพื่อล้างแค้นให้กับหลานชายของตนเองแล้ว ก็ไม่ได้มีความแค้นอะไรต่ออำเภอขาวพิสุทธิ์ ถ้าฟันเขาทิ้งเสียเลยก็ดูโหดร้ายเกินไปหน่อย เมื่อคิดได้ จึงลงคำสาปวิชาเต๋าหลายชนิดรวมถึงยันต์เป็นตายไปในตัวเขา จากนั้นฟาดเขาจนสลบ แล้วโยนเข้าไปคุมขังไว้ในคุกก่อนชั่วคราว

ส่วนเรื่องที่ว่าจะจัดการอย่างไร หลี่มู่ยังคิดไม่ออก

ค่อยว่ากันใหม่เถอะ ถึงอย่างไรครึ่งเทวะก็ยังมีประโยชน์อยู่มาก เก็บเอาไว้ก่อนค่อยว่ากัน

ราชาปีศาจหลี่คิดทบทวนอยู่อีก ตนเองทำแบบนี้ไม่ค่อยจะดีนักกระมัง แค่แกะห่อพัสดุด่วนยังพอว่า แต่ยังจะมากักตัวคนส่งพัสดุเอาไว้อีก…แต่ว่าถ้าไม่กักไว้ ก็รู้สึกไม่ค่อยดีกับตัวเองเท่าไร

หลังกลับมาที่ห้องฝึกยุทธ์ของตนเอง หลี่มู่เริ่มฝึกวิชาดาบอีกครั้ง

ท้ายที่สุด เขากระตุ้นค่ายกล บนตัวดาบวัฏจักรที่สว่างราวน้ำสารทฤดูมีค่ายกลเปล่งประกาย ขยายตัวขึ้นอย่างฉับพลัน กลายเป็นคมดาบหกเหลี่ยมขนาดใหญ่ ด้านหลังดาบกว้างราวสองฉื่อ เพียงพอที่จะเหยียบขึ้นไปและใช้วิชาดาบเหินหาว จากนั้นเมื่อกระตุ้นค่ายกลย้อนกลับ คมดาบก็หดเล็กลง กลายเป็นขนาดราวฝ่ามือลอยวนอยู่รอบกายหลี่มู่

“มีดบินลี้คิ้มฮวง ไม่มีวันพลาดเป้า”

หลี่มู่นึกถึงประโยคที่เคยทำให้สาวกกำลังภายในมากมายคึกคักเลือดพล่าน

เขาเองก็สกุลหลี่ (ลี้) นี่นะ

หลี่มู่กระตุ้นในใจ ขึ้นขี่ดาบเหินหาวพุ่งออกมาจากห้อง ทะยานสู่ท้องฟ้า ราวกับลำแสงเส้นหนึ่ง แหวกผ่านแผ่นฟ้ายามค่ำคืน บินถลาด้วยความเร็วสูงอยู่ระหว่างเทือกเขาขาวพิสุทธิ์ดุจสายฟ้า

ดาบวัฏจักรก่อนหน้าสามารถบินได้ด้วยระดับเหนือเสียงแล้ว

แต่ตอนนี้ยกระดับขึ้นจากสมบัติวิญญาณมาเป็นสมบัติเวท ความเร็วจึงมากขึ้นกว่าเดิม ภายใต้การกระตุ้นสุดแรงของหลี่มู่ มันขึ้นไปอยู่ในระดับเดียวกับความเร็วแสงเลยทีเดียว ความเร็วแทบไปถึงระดับที่ไม่น่าเชื่อ ภาพที่หลี่มู่มองเห็นไม่อาจตามความเร็วของดาบได้ทัน ต้องใช้เนตรสวรรค์ถึงจะแยกแยะภาพทิวทัศน์โดยรอบได้

เขาวนรอบเทือกเขาขาวพิสุทธิ์ได้หนึ่งรอบในการหายใจสิบครั้ง เท่ากับว่าในการหายใจสิบครั้ง สามารถบินได้ถึงพันลี้ ความเร็วระดับนี้พิสดารไปแล้ว ต่อให้เป็นขั้นเทวะก็ยังทำไม่ได้

“ฮี่ๆ คราวหลังเวลาหนี ก็จะไม่มีใครตามข้าทันอีก”

ในใจหลี่มู่ลิงโลดยินดี

นี่ก็คือวิธีรักษาชีวิตเอาตัวรอดนั่นละ

สู้ไม่ได้ก็หนีเสีย

ซินแสเฒ่าเคยบอกมาไม่รู้กี่ครั้งต่อกี่ครั้ง

ทว่าหากดูจากความเร็ว ดาบวัฏจักรนับว่าเป็นอาวุธระดับสมบัติเต๋าได้แล้ว นี่ก็เพราะค่ายกลวิชาเต๋ามากมายที่ซินแสเฒ่าถ่ายทอดให้ แม้แต่ครึ่งเทวะอย่าง ‘เทพมารเพลิง’ หวงเซิ่งอี้ยังไม่เข้าใจความลี้ลับมหัศจรรย์ของมัน หลี่มู่ไม่รู้ว่า ค่ายกลเต๋าประเภทนี้ล้วนเป็นวิชาลึกลับที่สุดในดาราสมุทรแห่งนี้

หนึ่งดาบเปลี่ยนเป็นยี่สิบสี่ ดาบถลาลมเต็มท้องฟ้าร่วงกราวลงมาราวสายฝน

ดาบวัฏจักรที่หลอมใหม่มีพลังทำลายเพิ่มขึ้นหลายเท่า ค่ายกลที่สลักบนดาบเล็กทุกเล่มก็ล้วนแตกต่างกัน รวมเป็นกลุ่มด้วยจำนวนที่ต่างกัน และเป็นค่ายกลดาบบินที่ไม่เหมือนกัน พลังทำลายล้างไร้จำกัด

หลี่มู่ลอยอยู่บนอากาศ สำแดงเคล็ดต่อสู้วิชาดาบ ดื่มด่ำอยู่กับมันโดยสมบูรณ์

ประเดี๋ยวกลายเป็นดาบยี่สิบสี่เล่มกระจายทั่วท้องฟ้า ประเดี๋ยวรวมกลับมาเป็นหนึ่ง หกดาบวายุเมฆาสะท้านฟ้าดิน แสงดาบไหลดุจสายน้ำ ราวกับงูสีเงินร่ายรำ วิชาดาบเหินหาวของหลี่มู่ค่อยๆ คุ้นชินมากขึ้นแล้ว

ในที่สุด ขณะที่แสงแรกแห่งวันเริ่มสาดส่อง เขาเก็บดาบด้วยจิตใจที่เบิกบาน

‘น่าเสียดาย เราไม่สามารถนึกนิมิตมองเห็นลักษณะพิเศษของปราณแท้ได้ มิเช่นนั้นค่ายกลวิชาดาบ หกดาบวายุเมฆา พลังทำลายจะเพิ่มขึ้นอีกมาก การใช้งานค่ายกลวิชาดาบมากมายของดาบวัฏจักรให้บังเกิดผล จะต้องใช้ควบคู่ไปกับพลังแห่งธาตุทั้งห้าด้วย จึงจะได้ประสิทธิภาพดีที่สุด’

หลี่มู่ถอนใจอย่างเสียดาย

ตอนที่เขากลับมาถึงเมืองอำเภอขาวพิสุทธิ์ ท้องฟ้าเริ่มสว่าง ดวงตะวันยังไม่โผล่ขึ้นมา

บนถนนในเหมันต์ฤดู ปรากฏเงาคนเพียงน้อยนิด

หลี่มู่มาถึงหน้าประตูใหญ่ศาลาที่ว่าการ มองเห็นแผ่นป้ายด้านบน ในใจก็ฉุกคิดบางอย่างได้

ในเมื่อที่ว่าการอำเภอมีที่อยู่ใหม่ไปแล้ว ที่เก่าตรงนี้จะใช้คำว่าศาลาที่ว่าการต่อไปคงไม่เหมาะ เปลี่ยนชื่อเสียใหม่จะดีกว่า

เขาควบคุมดาบวัฏจักรให้กลายเป็นแสงเส้นหนึ่งพุ่งออกไป ลบคำว่าที่ว่าการอำเภอบนป้ายหยกหน้าประตูทิ้ง จากนั้นใช้ดาบแทนพู่กัน ตวัดวาดลวดลายไปมา ท่ามกลางสะเก็ดหินที่ปลิวว่อน ตัวหนังสืออีกสองตัวเข้ามาแทนที่…

เรือนดาบ!

จากนี้ไป ที่ว่าการอำเภอเก่านี้จะกลายเป็นสถานที่ฝึกดาบของหลี่มู่ ชื่อว่าเรือนดาบ

เมื่อกลับมาถึงห้องฝึกยุทธ์ หลี่มู่คิดไปมา จากนั้นจึงปลุกหวงเซิ่งอี้ที่สลบไปให้ตื่นขึ้น แล้วสอบถามถึงเรื่องการนึกนิมิตคุณลักษณะของปราณแท้ ไม่แน่ว่าครึ่งเทวะคนนี้อาจจะมีความลับพิเศษเฉพาะบางอย่างที่ยังไม่ได้ถ่ายทอด

หลี่มู่ยังไม่ล้มเลิกเรื่องนี้

หากฝึกฝนคุณสมบัติของปราณแท้ไม่ได้ ก็เหมือนกับได้แฟนเป็นหญิงงามล่มเมืองแต่ไม่อาจกอดจูบลูบคลำได้ ดังนั้นหลี่มู่คิดกลับไปมา สุดท้ายจึงตัดสินใจว่าไม่ว่าอย่างไรก็ต้องหาวิธีแตกฉานด้านคุณสมบัติของปราณแท้ให้จงได้

ก่อนหน้านี้ ปราณแท้เพลิงชาดของหวงเซิ่งอี้ทำให้หลี่มู่ประทับใจฝังลึกมาก

หวงเซิ่งอี้ลูบซาลาเปาปูดโนที่หลังหัว ฟื้นขึ้นมาจากอาการสลบไสล ใบหน้าเหี้ยมเกรียมเดือดดาล แต่เมื่อเห็นหลี่มู่กำดาบวัฏจักรไว้ เขาจึงผ่อนอาการลงทันที เอ่ยขึ้นด้วยรอยยิ้มว่า “ใต้เท้าหลี่มีอะไรจะกำชับอีกหรือ?”

หลี่มู่เล่าปัญหาที่ยากจะแก้ไขของตนไปรอบหนึ่ง

“ข้ามีวิชานึกนิมิตส่วนหนึ่ง อาจจะมีประโยชน์” หวงเซิ่งอี้กลอกตาพลางกล่าว อธิบายถึงวิชานึกนิมิตที่ฟังดูไม่เลวมากวิชาหนึ่ง

หลี่มู่ซัดเขาเข้าไปหนึ่งหมัด จนตากลายเป็นหมีแพนด้าอีกครั้ง และเอ่ยต่อว่า “ส่งวิชานึกนิมิตปราณแท้เพลิงสีชาดมาให้ข้า”

ที่แท้ก็จะมาควักเอาทุนเดิมของเขาไป

หวงเซิ่งอี้ในใจไม่ยินยอม แต่เมื่อเห็นหลี่มู่ควักเอาดาบวัฏจักรออกมาอีกครั้ง สีหน้าก็เปลี่ยนทันที รีบร้อนบอกว่า “ได้ๆๆ ข้าก็เตรียมจะพูดอยู่นี่แล้วไง” เมื่ออยู่ใต้ชายคาเขา ก็ต้องจำใจก้มหัวไป

ทว่า หวงเซิ่งอี้ก็ยังกอดความคิดหนึ่งเอาไว้ ถึงอย่างไรตัวหลี่มู่เองก็บอกมาแล้วว่าไม่สามารถนึกนิมิตคุณสมบัติของปราณแท้ได้ วิชานึกนิมิตของปราณแท้เพลิงชาดจำเป็นต้องมีร่างกายพิเศษเฉพาะ ถึงจะสามารถฝึกฝนได้ ต่อให้ส่งให้กับเขาไปก็ไม่มีประโยชน์อันใด

เขาบอกวิชานึกนิมิตน้ำพุเหลืองเพลิงชาดซึ่งเป็นวิชาก้นหีบของตนเองกับหลี่มู่ไป

และบอกไปโดยไม่ได้วางแผนอะไรไว้ ด้วยกลัวว่าถ้าหลี่มู่รู้เข้าจะโดนเล่นงานน่วมอีก

หลี่มู่ผงกศีรษะ หลังจากพยายามขัดเกลาอยู่นิดหน่อย ก็นึกนิมิตออกมา

เพียงไม่นาน ใบหน้าของเขาปรากฏสีหน้าแปลกประหลาดขึ้น

ส่วนหวงเซิ่งอี้ที่อยู่อีกด้าน เมื่อได้เห็นก็รีบตะโกนขึ้นว่า “ใต้เท้า ข้าพูดเรื่องจริง ไม่ได้โกหกท่านเลย วิชานึกนิมิตน้ำพุเพลิงเพลิงชาดนี้ต้องการร่างกายที่เหมาะสม จำเป็นต้องมีร่างที่ทนไฟจึงจะสามารถฝึกฝนได้ ขั้นฟ้าประทานนั้นยังยากเย็นจนเกินไป ถ้าฝึกไม่สำเร็จก็โทษข้าไม่ได้นะ ข้าไม่ได้ปิดบังเลยแม้แต่น้อย…”

พูดไปพูดมา จู่ๆ เขาก็หยุดลง จ้องมองตาค้างไปที่หลี่มู่

เพราะว่าหลี่มู่ยื่นมือออกแล้วดีดนิ้ว

จากนั้นเปลวเพลิงสีชาดลูกหนึ่งลอยออกมาจากปลายนิ้วของเขา

แสงไฟเต้นไปมาประหนึ่งดวงวิญญาณ สีไฟบริสุทธิ์ สว่างไสวขึ้นอย่างเต็มที่

นี่…นี่เป็นเปลวเพลิงสีชาดที่บริสุทธิ์ที่สุดชัดๆ

เขาฝึกสำเร็จแล้วหรือ?

ภายในเวลาสั้นๆ เพียงแค่นี้?

แค่สิบกว่าอึดใจเนี่ยนะ?

หวงเซิ่งอี้ตกใจอย่างยากจะเชื่อได้ จากนั้นโมโหขึ้นมาทันที

“เจ้าหลอกข้า?”

เขามองไปที่หลี่มู่ เอ่ยขึ้นอย่างอดสูและโมโหระคนเศร้า เขารู้สึกว่าตนเองติดกับเสียแล้ว ถูกหลี่มู่หลอกเอา ‘วิชานึกนิมิตน้ำพุเหลืองเพลิงชาด’ ไปเรียบร้อย