บทที่ 236.3 ดอกไม้เหลืองของบ้านเกิดเป็นสีเหลืองอร่าม โดย ProjectZyphon
ตรอกหนีผิง
ยามดึก เด็กหนุ่มสวมชุดแพรที่ทั่วร่างเต็มไปด้วยกลิ่นอายของความร่ำรวยนั่งเหม่ออยู่ในลานบ้าน
ก่อนหน้าที่ผู้ฝึกลมปราณใหญ่จากสำนักหยินหยางจะถูกซ่งจ่างจิ้งท่านอาของเขาสังหาร อีกฝ่ายเคยมาหาเขาเป็นการส่วนตัว และได้พูดคุยเรื่องที่น่าตะลึงพรึงเพริดร่วมกันครั้งหนึ่ง
ผู้เฒ่าถึงขั้นเปิดเผยแผนการชั่วร้ายใหญ่เทียมฟ้าที่มีต่อฮ่องเต้องค์ปัจจุบันของต้าหลีออกมา การที่เขาบอกให้ฮ่องเต้ฝึกบำเพ็ญตนโดยพลการ ผิดต่อกฎที่อริยะลัทธิขงจื๊อตั้งไว้ ไม่เพียงแต่ใช้สถานะของฮ่องเต้แอบเลื่อนขั้นเป็นห้าขอบเขตกลาง ยังถึงขั้นฝ่าไปถึงขอบเขตสิบได้อย่างราบรื่นดุจผ่าลำไม้ไผ่ด้วย
ฮ่องเต้ทำไปก็เพราะหวังได้เห็นราชวงศ์ต้าหลีฮุบกลืนทั้งทวีป ส่วนผู้ฝึกตนใหญ่ลัทธิหยินหยางทำไปก็เพื่อหวังว่าจะชักใยฮ่องเต้ต้าหลี หรือก็คือบิดาของซ่งจี๋ซินให้เป็นหุ่นเชิดตัวหนึ่ง เพราะเมื่อใดที่ฮ่องเต้ต้าหลีปิดด่านเพื่อข้ามธรณีประตูของห้าขอบเขตบนอย่างเป็นทางการ ก็คือช่วงเวลาที่เขาจะเสียสติและตกเป็นหุ่นเชิดอย่างสิ้นเชิง
การมาถึงของอาเหลียง การที่เขาทำลายสะพานแห่งความเป็นอมตะของฮ่องเต้ต้าหลีให้แหลกสลายก็อาจเป็นเพราะมองเห็นเบาะแสบางอย่าง และก็มีความเป็นไปได้มากว่ากลไกรวมไปถึงปมเงื่อนต่างๆ ที่ถูกผูกซ่อนเอาไว้ในสะพานแห่งนั้นได้ถูกเปิดเผยออกมาจนหมดสิ้นแล้ว แม้ตอนนั้นฮ่องเต้ที่อยู่บนลานกว้างหน้าหอป๋ายอวี้จะปิดบังอำพรางได้อย่างดีเยี่ยม แต่ฮ่องเต้กลับคิดไม่ถึงเลยว่า ผู้ฝึกลมปราณสำนักหยินหยางก็ได้หันมาเล่นตุกติกกับร่างของซ่งจี๋ซินเช่นกัน
แต่ไม่ว่าจะอย่างไร หมัดนั้นของอาเหลียงก็สร้างความปั่นป่วนให้กับแผนการอันยาวไกลหลายสิบปีที่รวบรวมทุกวิถีทางซึ่งจะทำให้แผนการสำเร็จของสำนักหยินหยางสายของเขาได้อย่างสิ้นเชิง
เพียงแต่ว่าทุกอย่างนี้ยังอยู่ไกลเกินกว่าจะสิ้นสุดมากนัก
ซ่งจี๋ซินในเวลานี้ย้อนนึกถึงคำพูดเหล่านั้นก็ให้หนักใจอย่างถึงที่สุด
สาวใช้จื้อกุยสวมเสื้อคลุมเดินออกมา ถามว่า “คุณชาย มีเรื่องในใจหรือ?”
ซ่งจี๋ซินหันมายิ้มให้ “ก็แค่นอนไม่หลับเท่านั้น”
จื้อกุยร้องอ้อหนึ่งที แล้วไปยกม้านั่งตัวเล็กมานั่งข้างซ่งจี๋ซิน
จู่ๆ ซ่งจี๋ซินก็เสนอความเห็นขึ้นมาว่า “แสงจันทร์บางเบา ทิวทัศน์งดงาม ไม่อย่างนั้นพวกเราไปเดินเล่นกันดีไหม?”
จื้อกุยกล่าวอย่างเกียจคร้าน “ได้สิ เอาตามที่คุณชายต้องการเลย”
ยังคงเป็นนายบ่าวสองคนที่เดินผ่านตรอกซอกซอยต่างๆ ของเมืองเล็กไปด้วยกัน เมื่อเดินไปถึงโรงเรียนเดิมทีฉีจิ้งชุนเคยสอนหนังสือ ผ่านโต๊ะหินในเรือนหลังที่เคยนั่งเล่นหมากล้อม ซ่งจี๋ซินก็ยื่นมือไปลูบผิวโต๊ะที่เยียบเย็น ทุกครั้งเขาจะนั่งอยู่ทางทิศเหนือ จ้าวเหยานั่งอยู่ทางทิศใต้ ตอนนั้นไม่รู้ว่าทำไมอาจารย์ฉีถึงทำเช่นนั้น ตอนนี้เมื่อน้ำลดหินผุด ถึงได้รู้ว่าที่แท้ก็เป็นอย่างนี้นี่เอง ซ่งจี๋ซินเอ่ยยิ้มๆ ว่า “ไม่รู้ว่าจ้าวเหยามีชีวิตเป็นอย่างไรบ้าง”
มาถึงที่นี่ จื้อกุยพูดน้อยลงกว่าเดิม
หลังจากนั้นคนทั้งสองก็สาวเท้าเดินเล่นไปอย่างไร้จุดหมาย เดินไปตามที่ใจปรารถนา
บ่อโซ่เหล็ก โซ่เหล็กถูกบุรุษต่างถิ่นผู้หนึ่งเอาออกไปแล้ว นี่ก็คือโควาสนาของตระกูลเซียน
แมวดำตัวนั้นของตรอกซิ่งฮวา ดูเหมือนว่าจะออกจากเมืองเล็กไปพร้อมกับหม่าขู่เสวียนคนโง่ที่เงียบขรึมดุจน้ำเต้าตัน
สะพานหินโค้งที่กลับคืนสู่สภาพเดิมเพราะสะพานแบบคานถูกรื้อถอนทิ้งไป กระบี่โบราณใต้สะพานหายไปอย่างไร้ร่องรอย
ได้ยินว่าอีกไม่นานอริยะหร่วนฉงจะตั้งพรรคเปิดสำนักที่ภูเขาใหญ่บางลูก ถึงเวลานั้นย่อมต้องเป็นเรื่องที่ได้รับความสำคัญมากอย่างแน่นอน กรมพิธีการของต้าหลีมองเรื่องนี้เป็นเรื่องใหญ่อันดับหนึ่งที่ต้องตั้งใจจัดการให้ดีของปีนี้
ร้านยาสุ้ยกับร้านฉ่าวโถวที่อยู่ติดกันในตรอกฉีหลงต่างก็เปลี่ยนเป็นของคนแซ่เฉิน นี่เป็นเรื่องที่ค่อนข้างหาได้ยาก เพราะคนแซ่เฉินในเมืองเล็กแทบจะกลายเป็นบ่าวของสี่แซ่สิบตระกูลหมดแล้ว
สองศาลบุ๋นบู๊ที่สร้างขึ้นใหม่ในสุสานเทพเซียนกับภูเขากระเบื้องเคลือบเริ่มทำการก่อสร้างแล้ว แต่ละศาลแยกเป็นสถานที่ตั้งบูชาบรรพบุรุษของตระกูลหยวนและเฉาที่ในอดีตเคยเป็นหยกคู่แห่งราชสำนักต้าหลี ตอนนี้จึงถือว่าพวกเขาคือใบไม้ที่ร่วงกลับสู่ราก
กลอนคู่ที่มาจากลายมือของบุคคลผู้มีชื่อเสียงหลายแผ่น แม้แต่คนในวงการวรรณกรรมที่มีชื่อเสียงของแคว้นหนันเจี้ยนก็ยังส่งกลอนคู่ที่เขียนด้วยลายมือตัวเองมาให้ ลายมือที่เขียนมีทั้งแข็งแกร่งและนุ่มนวล เปี่ยมไปด้วยท่วงทำนองอันมีชีวิตชีวา
ซ่งจี๋ซินยืนอยู่นอกศาลที่ตั้งบูชาอริยะ กระตุกมุมปากขึ้นสูง “เฮอะ ท่วงทำนองอันมีชีวิตชีวา”
สุดท้ายเชื้อพระวงศ์สูงศักดิ์ที่เกิดในตระกูลซ่งต้าหลีก็หันไปมองทางภูเขาใหญ่ทิศตะวันตกที่อยู่ห่างไปไกล ดูเหมือนจะเป็นทิศที่ตั้งของภูเขาลั่วพั่ว
ที่นั่นมีศาลเทพภูเขาที่ควันธูปน้อยนิดอย่างถึงที่สุดอยู่แห่งหนึ่ง
เด็กหนุ่มที่มองไกลไปยังภูเขาลั่วพั่วสีหน้าหม่นหมอง และเขาเองก็อกสั่นขวัญผวาเช่นกัน (อกสั่นขวัญผวาคือแปลจากภาษาจีนว่าซือหุนลั่วพั่ว ลั่วพั่วซึ่งเป็นคำเดียวกันกับชื่อภูเขาลั่วพั่ว)
……
หากไม่กล่าวถึง ‘ศาลใหญ่’ ที่เป็นของทวยเทพขุนเขาเหนือบนภูเขาพีอวิ๋น ในภูเขาใหญ่ทางทิศตะวันตกยังมีศาลเทพภูเขาทั่วไปอยู่อีกหลายแห่ง ศาลที่ควันธูปรุ่งเรืองมากที่สุดก็คือภูเขาเฟิงเหลียง (ลมเย็น) ที่อยู่ทางทิศเหนือสุด เพราะว่าอยู่ใกล้กับเขตการปกครองหลงเฉวียนมากที่สุด ถนนหนทางถูกบุกเบิกได้อย่างกว้างขวางราบเรียบ ขึ้นเขาสะดวก ระหว่างทางมีร้านน้ำชาและร้านอาหาร รวามไปถึงโรงเตี๊ยมขนาดเล็กใหญ่ที่มีไว้ให้ชายหญิงผู้มีจิตศรัทธาหยุดพักค้างแรมระหว่างทางผุดขึ้นเป็นหน่อไม้ฤดูใบไม้ผลิหลังฝน
ตรงตีนเขามีตลาดอยู่แห่งหนึ่งที่ขายของสารพัดอย่างไม่ว่าจะเป็นชา สุรา บะหมี่ ดอกไม้ นก ปลาหรือแม้แต่แมลง เป็นเหตุให้เด็กๆ ของเมืองเล็กที่พอได้ยินว่าพ่อแม่จะไปจุดธูปไหว้พระที่นั่นก็ดีใจกันสุดๆ แทบไม่ต่างจากเวลาฉลองวันปีใหม่ เพราะว่าที่นั่นมีแผ่นแป้งเนื้อย่างที่เพิ่งออกจากเตาใหม่ๆ ส่งกลิ่นหอมยั่วน้ำลายวางขาย และยังมีผู้เฒ่าปั้นน้ำตาล เด็กหลายคนที่พอได้เงินอั่งเปามาตอนวันปีใหม่ก็มักจะแอบจับกลุ่มกันไปเล่นสนุกที่นั่น ผลกลับกลายเป็นว่าพอกลับไปถึงบ้าน เด็กส่วนใหญ่ล้วนถูกพ่อแม่จัดการซะอ่วม
เด็กหนุ่มที่ชื่อว่าต่งสุ่ยจิ่งก็วางแผงขายเกี๊ยวน้ำอยู่ที่นั่น
ไส้กุ้ง หน่อไม้ เต้าหู้ ล้วนมีรสชาติเป็นเอกลักษณ์ สุดท้ายโรยต้นหอมซอยลงไปหนึ่งกำมือ กินคู่กับน้ำพริกจานเล็กๆ ที่เด็กหนุ่มทำเอง รสชาตินั้นเรียกได้ว่าล้ำเลิศ
เดิมทีเด็กหนุ่มเรียนหนังสืออยู่ในโรงเรียนแห่งใหม่ที่สกุลเฉินแห่งลำธารหลงเหว่ยสร้างขึ้นใหม่ แต่ไม่รู้ว่าทำไม ต่อให้ไม่จำเป็นต้องจ่ายเงิน เด็กหนุ่มก็ยังออกมาจากโรงเรียน เขาขายบ้านเก่าในเมืองเล็กหนึ่งหลังจากที่มีอยู่สองหลัง ซื้อบ้านหลังใหม่เอี่ยมที่เขตการปกครองแห่งใหม่ อยู่ห่างจากภูเขาเฟิงเหลียงไปแค่สิบกว่าลี้เท่านั้น
ร้านเกี๊ยวน้ำเปิดตั้งแต่เช้าตรู่จนถึงยามสนธยา ไม่มีเวลาที่แน่นอน ขอแค่ยังมีลูกค้า ต่อให้ฟ้าจะมืดแค่ไหน เด็กหนุ่มก็จะรอจนกว่าลูกค้าจะค่อยๆ กินเสร็จ ถึงจะเก็บร้าน แล้วเข็นรถกลับบ้านไป ตอนนี้เขตการปกครองยังไม่มีเวลาห้ามออกจากเคหะสถานยามวิกาล ทั่วทุกหนแห่งล้วนมีแต่ภาพบรรยากาศของความคึกคักที่ฝุ่นตลบอบอวลไปทั่ว หากยืนมองภาพบรรยากาศของเมืองยามค่ำคืนมาจากศาลเทพภูเขาบนยอดเขาเฟิงเหลียง จะเห็นเป็นเหมือนโคมไฟดวงใหญ่ดวงหนึ่งที่ถูกวางไว้บนพื้นดิน
ม่านรัตติกาลของคืนนี้เยื้องกรายมาถึง ต่งสุ่ยจิ่งเด็กหนุ่มร่างสูงใหญ่เริ่มเก็บร้านเกี๊ยวน้ำ เตรียมกลับบ้านของตัวเอง
คิดไม่ถึงว่าจะมีบุรุษท่าทางประหลาดคนหนึ่งเดินมาแต่ไกล เขาทั้งไม่ห้อยกระบี่แล้วก็ไม่สะพายกระบี่ แต่วางพาดเป็นแนวขวางไว้ด้านหลังตัวเอง พอเดินมาถึงข้างแผงก็ถามยิ้มๆ ว่า “พ่อค้า ยังขายเกี๊ยวน้ำอยู่ไหม?”
ต่งสุ่ยจิ่งยิ้มกว้าง “ขายสิ! ทำไมจะไม่ขายล่ะ! แค่ต้องต้มน้ำ ลูกค้าโปรดรอสักครู่”
บุรุษคลี่ยิ้มทรุดตัวนั่งลงข้างโต๊ะที่ถูกเช็ดจนสะอาดเอี่ยม ไม่มีคราบมันหรือคราบสกปรกแม้แต่น้อย บนโต๊ะวางกระบอกไม้ไผ่ที่ทำขึ้นเอง ด้านในเสียบตะเกียบไม้ไผ่สีเขียวเรียวยาวไว้จนเต็มแน่น เถ้าแก่น้อยคนนี้ช่างประดิษฐ์ประดอยไม่เบา
บุรุษรอจนได้รับเกี๊ยวน้ำชามโตที่ไอร้อนลอยกรุ่น หอมซอยที่ลอยอยู่เหนือน้ำต้มสีแดงเข้มข้นมองดูน่ารับประทาน ต่งสุ่ยจิ่งถามเขาว่ากินเผ็ดได้หรือไม่ บุรุษบอกว่ายิ่งเผ็ดก็ยิ่งดี เด็กหนุ่มจึงส่งน้ำพริกหนึ่งจานเต็มไปให้เขา บุรุษหยิบตะเกียบขึ้นมาคู่หนึ่ง ไม่รีบร้อนกิน เขาก้มหน้าลง หลับตาลงดมกลิ่นหอม แล้วจุ๊ปากชื่นชม “กลิ่นนี้ ถูกใจ!”
บุรุษถามชวนคุย “รู้จักสำนักโม่หรือไม่?”
ต่งสุ่ยจิงที่นั่งห่างไปไม่ไกลพยักหน้ารับ “แน่นอน เมื่อก่อนอาจารย์เคยบอกว่าสำนักโม่เคยเป็นหนึ่งในสี่สำนักแห่งความรู้ที่มีชื่อเสียงโด่งดัง ความรู้ที่พวกเขาสรรเสริญนั้นร้ายกาจอย่างมาก เป็นความรู้ประเภทที่รู้หลักการได้ง่าย แต่ลงมือปฏิบัติจริงกลับยากมาก ชอบทดสอบจิตใจของลูกศิษย์ในพรรค นอกจากนี้คือค่อนข้างจะเคร่งครัดตายตัว อาจารย์บอกว่าค่อนข้างจะ…น่ารัก”
กล่าวมาถึงตรงนี้ ต่งสุ่ยจิ่งก็ยกมือเกาหัว ยิ้มซื่อๆ “อาจารย์ของข้าเป็นคนพูด”
บุรุษเคี้ยวเกี๊ยวชิ้นหนึ่งพลางพยักหน้ารับแรงๆ “พูดได้ดีจริงๆ”
เขาถามอีกว่า “ถ้าอย่างนั้นเจ้าเคยได้ยินชื่อคนเชื่อดาบในบรรดาจอมยุทธ์พเนจรของสำนักโม่หรือไม่? เชื่อจากเชื่อหนี้ ดาบก็คือดาบที่เป็นอาวุธ”
ต่งสุ่ยจิ่งส่ายหน้าเบาๆ ด้วยสีหน้าฉงนสนเท่ห์
เรื่องนี้อาจารย์ฉีไม่เคยพูดถึงมาก่อนจริงๆ
บุรุษวางตะเกียบลง ตบหน้าท้อง ถอนหายใจหนักๆ หนึ่งทีอย่างพึงพอใจ จากนั้นก็กล่าวด้วยรอยยิ้ม “ถ้าอย่างนั้นเจ้าอยากเป็นคนเชื่อดาบหรือไม่?”
สีหน้าของต่งสุ่ยจิ่งนิ่งขรึม แต่เพียงไม่นานก็กลับมาเป็นปกติ ส่ายหน้าพูดยิ้มๆ ว่า “ขายเกี๊ยวน้ำก็ดีมากแล้ว ได้เงินแถมยังมีชีวิตที่สงบสุขด้วย”
ตอนแรกเขา หลี่เป่าผิง หลินโส่วอี หลี่ไหว สือชุนเจีย นักเรียนห้าคนในโรงเรียนช่วยกันหลอกสารถีซึ่งตัวตนที่แท้จริงคือนักรบเดนตายของต้าหลีจนหัวหมุน แม้ว่าคนที่วางแผนและคอยแก้ไขช่องโหว่คือหลี่เป่าผิงกับหลินโส่วอี แต่ในความเป็นจริงแล้วไม่ว่าใครก็ตามที่ขอแค่เผยพิรุธออกมา ทุกสิ่งที่ทำลงไปก่อนหน้านี้ก็จะสูญเปล่า ดังนั้นสุดท้ายแล้วเด็กห้าคนที่ได้เป็นลูกศิษย์ผู้สืบทอดของฉีจิ้งชุนอย่างเป็นทางการ ล้วนไม่มีใครที่เป็นตะเกียงประหยัดน้ำมัน
ก็เหมือนต่งสุ่ยจิ่ง อายุเพียงแค่นี้ก็รู้จักไปหาแม่นางหร่วนซิ่ว ให้นางช่วยขายบ้านเก่าในเมืองเล็กราคาสูงเทียมฟ้าให้ จากนั้นก็ไปซื้อบ้านหลังใหญ่ที่เขตการปกครองอย่างรวดเร็ว แถมไม่ได้ซื้อแค่หลังเดียว แต่ซื้อทั้งถนน!
เงินก้อนใหญ่ที่หล่นลงมาจากท้องฟ้าก็มีวิธีใช้เงินของมัน เงินสามารถต่อเงินได้
เงินเล็กๆ น้อยๆ ที่พอให้ประทังชีวิตก็ควรจะมีวิธีหามา ไม่ใช้เงินก็เท่ากับกำลังหาเงิน สองอย่างนี้ไม่ขัดแย้งกันเอง
“ไม่ต้องรีบร้อนตอบข้า”
บุรุษโบกมือ ยิ้มบางๆ กล่าวว่า “ส่วนข้อที่ว่าทำไมถึงเลือกเจ้า ต่งสุ่ยจิ่ง ข้าสังเกตเจ้ามานานมากแล้ว ทุกด้านของเจ้า อาจพูดไม่ได้ว่าล้วนดีที่สุด แต่ที่แน่นอนเลยก็คือไม่มีปัญหาสักด้าน แค่นี้ก็เพียงพอแล้ว”
ต่งสุ่ยจิ่งกล่าวอย่างจนใจ “เจ้าคือ?”
บุรุษกล่าวตามตรงอย่างไม่มีปิดบัง “ข้าชื่อสวี่รั่ว ลูกศิษย์สำนักโม่ มาจากทวีปแดนเทพแผ่นดินกลาง แน่นอนว่าข้าไม่ใช่คนเชื่อดาบ แต่ข้ามีเพื่อนรักอยู่คนหนึ่ง ก่อนตายเขาขอให้ข้ารับปากว่าจะช่วยเขาหาลูกศิษย์ที่เหมาะสมซึ่งจะมาเป็นผู้สืบทอดของเขา เขาคืออาจารย์ปู่ของคนเชื่อดาบรุ่นก่อนของสำนักโม่ เป็นคนที่ร้ายกาจมากคนหนึ่ง เคยดื่มเหล้ากับอาเหลียงมาหลายครั้ง เขาล้วนเป็นคนออกเงินค่าเหล้า ตอนที่อาเหลียงเดินทางท่องเที่ยวหาประสบการณ์ในทวีปแดนเทพแผ่นดินกลางได้ติดหนี้คนเขาไปทั่ว และเขาก็เป็นคนจ่ายหนี้ให้ทั้งหมด”
“แล้วอาเหลียงคือใคร?”
“บุตรชายของศัตรูคู่แค้นของอาจารย์ของอาจารย์เจ้า”
“อะไรนะ?!”
ต่งสุ่ยจิ่งมึนงงไปหมดแล้ว คืออะไรของใครของใครนะ?
บุรุษลุกขึ้นยืน “ครั้งหน้าข้าจะมาใหม่ เจ้าใคร่ครวญดูให้ดี”
ต่งสุ่ยจิ่งพลันตะโกนเรียก “รอเดี๋ยว!”
บุรุษยิ้มบางๆ “เงินค่าเกี๊ยวน้ำชามนี้ติดไว้ก่อน ไม่แน่ว่าวันหน้าเจ้ารับปากจะเป็นคนเชื่อดาบ…”
ต่งสุ่ยจิ่งยืนกราน “แบบนี้ได้ที่ไหน ขอแค่ทำการค้า ต่อให้เป็นพี่น้องแท้ๆ ก็ต้องคิดบัญชีกันให้ชัดเจน”
บุรุษพยักหน้า ควักเหรียญทองแดงสองสามเหรียญออกมา “ฮ่าๆ มีมาดเหมือนคนเชื่อดาบจริงๆ”
ภายใต้แสงสนธยา สวี่รั่วจากไปอย่างสง่างาม
ต่งสุ่ยจิ่งนั่งอยู่ที่เดิม มองส่งจอมยุทธ์พเนจรสำนักโม่จากไป ยกมือขึ้นเช็ดเหงื่อบนหน้าผาก
การที่เขาปลุกความกล้าทวงเงินเหรียญทองแดงไม่กี่เหรียญนั้น ไม่ใช่เพราะเขาต่งสุ่ยจิ่งดื้อด้านหัวแข็ง เป็นคนซื่อบื้อที่ไม่รู้ฟ้าสูงแผ่นดินต่ำ แต่เป็นเพราะเขาอยากจะลองใจคนด้วยวิธีบ้านๆ
ต่งสุ่ยจิ่งนั่งเหม่อเงียบๆ อยู่ข้างโต๊ะ ไม่มีอารมณ์ปิติยินดีอย่างบ้าคลั่งที่มีขนมเปี๊ยะชิ้นโตหล่นลงมาจากฟ้า กลับกันคือค่อนข้างจะมึนงงด้วยซ้ำ
อันที่จริงเด็กหนุ่มไม่ชอบความรู้สึกแบบนี้
เพราะแท้จริงแล้วเขาไม่มีใจทะเยอทะยานเท่าไหร่นัก แค่คิดว่าวันหน้าจะทำงานหาเงิน มีอยู่มีกินไม่เดือดร้อน ขอแค่บ้านที่เขาพักอาศัยอยู่ตอนนี้มีบ่อน้ำบ่อหนึ่งที่มีน้ำให้ตัก ข้างบ่อน้ำปลูกต้นหลิ่ว (หรือต้นหลิว) ไว้หนึ่งต้น ฤดูใบไม้ผลิของทุกๆ ปีมียอดอ่อนแตกหน่อขึ้นมา เมื่อลมโชยผ่าน กิ่งหลิ่วก็ส่ายไหวไปตามสายลม น่ารัก…อย่างมาก
—–