บทที่ 237 หนึ่งภูเขายังมีหนึ่งภูเขาที่สูงกว่า โดย ProjectZyphon
ชายป่าเปลี่ยวร้าง คืนเดือนดับลมราตรีพัดกระโชกแรง เหมาะกับการสังหารคนปล้นทรัพย์ แล้วก็เหมาะกับการกำจัดปีศาจปราบมาร แค่ต้องดูที่ว่าธรรมะสูงหนึ่งฉื่อ หรืออธรรมสูงหนึ่งจั้ง
นอกวัดโบราณที่ทรุดโทรมของแคว้นซูสุ่ยมีเสียงหัวเราะคิกคักพลิ้วหวานดังแว่วมา สุดท้ายเป็นเสียงเคาะประตูที่ดังเป็นระลอก ชายฉกรรจ์เคราดกหันมามองเฉินผิงอันแวบหนึ่ง ก่อนมองไปยังจางซานเฟิง เอ่ยสัพยอกว่า “พวกเจ้าสองคนใครจะไปรับแขก? หากข้าไปเปิดประตูคงทำให้ปีศาจเพศเมียพวกนี้ตกใจเป็นแน่ ถึงเวลานั้นอีกฝ่ายไม่พูดพร่ำทำเพลงก็เผ่นหนีไปก่อน จะทำอย่างไร?”
นักพรตจางซานเฟิงตบอกตัวเอง “ข้านักพรตน้อยหน้าตาหล่อเหลากว่าเฉินผิงอันนิดหน่อย…”
หลิ่วชื่อเฉิงสะดุ้งตื่นสะลึมสะลือเพราะเสียงกระดิ่งสดับปีศาจ พอได้ยินว่ามีปีศาจเพศเมียก็นึกถึงปีศาจจิ้งจอกที่งดงามในนิทานเทพเซียนและเรื่องประหลาดทันที ความกล้าพลันบังเกิด รีบลุกขึ้นมาจากผ้าปูรองนอน โหวกเหวกเสียงดังว่า “ข้าไปเองๆ พวกภูตผีปีศาจที่ถูกพูดถึงในตำราชอบบัณฑิตผู้อ่อนแอมากที่สุด พวกเจ้าสามคนถ้าไม่พกดาบก็สะพายกระบี่ ข้านี่แหละเหมาะสมที่สุด แต่บอกไว้ก่อนว่า หากเจอกับปีศาจที่ดี พวกเรามีอะไรก็พูดกันดีๆ หากนางยอมใช้ราตรีวสันต์ร่วมกับข้าหนึ่งเค่อ พวกเจ้าก็อย่าขัดขวาง แต่หากเจอผีร้ายที่กินคน พวกเจ้าก็ต้องช่วยข้าด้วย!”
หลิ่วชื่อเฉิงวิ่งตุปัดตุเป๋ไปเปิดประตู ลมหอบใหญ่พัดกระโชกเข้ามาจนบัณฑิตยากจนลืมตาไม่ขึ้น จากนั้นก็รู้สึกเพียงว่ามีลมหอมๆ พัดผ่าน ข้างกายแว่วเสียงหวานดุจกระดิ่งเงินของคนสองคน และยังมีชายแขนเสื้อที่ทำจากผ้าแพรต่วนอ่อนนุ่มนิ่มละเอียดลูบไล้ผ่านใบหน้าของเขาไป ทำเอาหลิ่วชื่อเฉิงรู้สึกเคลิบเคลิ้ม ก่อนจะรีบปิดประตูลง รอจนลมหยุดพัดแล้ว เขาหันตัวกลับไปเพ่งตามองถึงเห็นหญิงสาวหน้าตางดงามสามคน สองคนในนั้นยิ้มหวานหยาดเยิ้มพุ่งเข้าไปยังกองไฟที่พวกชายฉกรรจ์เคราดกสามคนนั่งอยู่ เรือนกายของพวกนางอวบอิ่ม แค่มองแผ่นหลังก็ทำเอาจิตใจของหลิ่วชื่อเฉิงวูบไหว และยังมีดรุณีน้อยที่อายุอ่อนกว่าอีกคนหนึ่ง นางสวมกระโปรงยาวสีชมพูอ่อน สวมรองเท้าปักลายบุปผา ยืนอยู่ตรงหน้าห่างจากหลิ่วชื่อเฉิงไม่ไกลด้วยท่าทางขลาดเขิน นิ้วมือของนางที่ขยุ้มกระโปรงบิดเกร็ง เมื่อเทียบกับพี่สาวคนงามที่มีนิสัยเปิดกว้างสองคนนั้นแล้ว นางที่อยู่ในสายตาของหลิ่วชื่อเฉิงเป็นดั่งหยกงามในตระกูลเล็ก มองแล้วน่าประทับใจมากกว่า
ชายฉกรรจ์กำลังนั่งขัดสมาธิดื่มเหล้า ตรงหน้าอกของหญิงสาวสองคนที่สวมอาภรณ์อย่าง ‘ใจกว้าง’ เผยภาพทิวทัศน์โค้งนูนขาวละลานตา นักพรตหนุ่มที่หน้าบางมองเห็นแล้วก็หน้าแดงก่ำ ส่วนเฉินผิงอันกำลังโยนกิ่งไม้แห้งเข้าไปในกองไฟ เสียงกิ่งไม้ปริแตกลั่นดังเปรี๊ยะๆ อย่างต่อเนื่อง
สาวงามที่ ‘หน้าอกมีร่องลึก’ สองคนนี้มีริ้วน้ำวูบผ่านนัยน์ตา เพียงไม่นานก็เลือกคนที่ถูกใจตัวเองได้ คนหนึ่งนั่งลงข้างกายนักพรตหนุ่ม อีกคนหนึ่งนั่งลงข้างกายเฉินผิงอัน เดิมทีชายฉกรรจ์กางแขนสองข้างออกกว้างแล้ว ผลกลับกลายเป็นว่าต้องแข็งค้างอยู่ในท่านั้น อึ้งไปครู่หนึ่งก็ได้แต่หยิบเหล้าขึ้นมาดื่มบดบังสภาพอันน่ากระอักกระอ่วนของตัวเอง
หญิงสาวงามหยาดเยิ้มที่นั่งอยู่ข้างกายจางซานเฟิงใช้มือหนึ่งวางทาบลงบนตำแหน่งคอเสื้อ มองดูคล้ายต้องการปกปิดทิวทัศน์งดงามอย่างคนสำรวมกิริยา แต่แท้จริงแล้วกลับออกแรงกดคอเสื้อลงเบื้องล่าง กลายเป็นว่าอาทิตย์ขึ้นตะวันออกฝนตกตะวันตก สาบเสื้อยิ่งรัดรึงอวดส่วนโค้งนูน แค่นางหายใจ สิ่งที่อยู่ด้านใต้ก็อาจจะปริทะลุเสื้อออกมา นางใช้ไหล่ของตัวเองถูไหล่นักพรตหนุ่มเบาๆ พลางถามด้วยน้ำเสียงหวานหยด “โอ้โห นักพรตน้อย สะพายกระบี่ไม้ด้วยหรือนี่ ใช่กระบี่ไม้ท้อในตำนานหรือไม่? ไม่สู้ชักกระบี่ออกจากฝัก ให้พี่สาวดูหน่อยว่าสั้นหรือยาว?”
นักพรตจางซานเฟิงหัวหูแดงก่ำ ไม่กล้าต่อปากต่อคำ
หญิงสาวที่นั่งแพะพิงเฉินผิงอันมีใบหน้ารูปผลแตง คิ้วตาเปล่งประกายสดใส มือทั้งคู่เรียวบางเหมือนต้นหอมฤดูใบไม้ผลิ น้ำเสียงนุ่มนวล “คุณชายท่านนี้ ข้าน้อยกับเหล่าพี่น้องออกเดินทางคืนนี้ลมภูเขาพัดแรงยิ่งนัก ทำเอามือน้อยๆ ของข้าเย็นเฉียบไปหมด ไม่เชื่อคุณชายลองจับดูสิ”
เฉินผิงอันชี้ไปที่กองไฟ เอ่ยยิ้มๆ ว่า “แม่นางมือเย็นก็อังไฟ อีกเดี๋ยวมือก็จะอุ่นขึ้นได้เอง”
เด็กสาวชุดกระโปรงชมพูรองเท้าปักลายดอกไม้ผู้นั้นไม่ได้เข้ามาร่วมวงด้วย นางนั่งอยู่อีกฝั่งหนึ่งของกองไฟเพียงลำพัง ก้มหน้ายื่นมือออกไป หลิ่วชื่อเฉิงนั่งลงข้างกายนาง เป็นฝ่ายชวนคุยด้วยรอยยิ้มก่อน “แม่นางน้อย พวกเจ้าใช่คนของแคว้นซูสุ่ยหรือไม่?”
เด็กสาวพยักหน้ารับเบาๆ เงยหน้าขึ้น ขนตาขยับกระพือเล็กน้อย ทำท่าจะพูดแต่ก็ไม่พูด
ชายฉกรรจ์เคราดกชำเลืองตามองไปยังริมขอบรองเท้าปักลายของเด็กสาว จากนั้นก็มองไปยังหญิงสาวรูปร่างอวบอิ่มงดงามทั้งสอง พูดยิ้มๆ ว่า “นอกจากแม่นางน้อยคนนี้ที่รองเท้าเปื้อนดินโคลน เหตุใดพี่สาวสองคนนี้เดินทางมาตั้งไกล แต่รองเท้ากลับสะอาดเอี่ยมไม่มีฝุ่นเกาะสักเม็ด? คงไม่ใช่ภูตผีที่ถือกำเนิดขึ้นมาในภูเขาหรอกนะ? ถ้าอย่างนั้นพวกเราสี่คนก็ซวยแล้ว ถึงเวลานั้นคงต้องขอร้องพี่สาวทั้งสองให้ช่วยจัดการพวกเราโดยเร็ว ตายเป็นผีอยู่ใต้ดอกโบตั๋นก็นับเป็นวาสนา หึหึ ไม่ทราบว่าพี่สาวทั้งหลายมีความเห็นอย่างไร?”
หลิ่วชื่อเฉิงหัวเราะร่า “พี่สาวสองคนนี้หน้าตางามล้ำที่สุดในแผ่นดินขนาดนี้ จะเป็นภูตผีปีศาจไปได้อย่างไร หน้าตาสะท้อนมาจากจิตใจ เป็นไปไม่ได้ๆ ถอยไปพูดหนึ่งหมื่นก้าว ต่อให้เป็นภูตผีปีศาจจริงๆ ถ้าอย่างนั้นก็ต้องเป็นผีดีที่มือสะอาด คืนนี้พวกเราดื่มสุรามองบุปผา แม้ว่าจะอยู่กันคนละโลก แต่ในเมื่อผีกับคนได้พบกันก็สามารถดื่มเหล้าเคล้าลมวสันต์ร่วมกันสักจอก นั่นต่างหากถึงจะเป็นเรื่องสง่างามอย่างแท้จริง พี่สาวทั้งหลายว่าถูกไหม? อีกเดี๋ยวอย่าได้ดื่มเหล้าจนเมามายเด็ดขาด ถ้าไม่ระวังเผยร่างผีที่น่ากลัวออกมา คงไม่สวยแน่ๆ”
สตรีงดงามสองคนหันมามองหน้าและยิ้มให้กัน สร้างหายนะให้ผู้คนอยู่ที่นี่มาร้อยกว่าปี นี่เป็นครั้งแรกที่เจอคนที่ไม่ยี่หระกับสิ่งใดได้ถึงขนาดนี้ พวกเขาเป็นยอดฝีมือถนัดศาสตร์และศิลป์ที่ใจกล้า หรือเป็นลูกนกที่เพิ่งออกจากรัง ถึงได้ไม่รู้ความร้ายกาจของภูตผีในภูเขาและแม่น้ำ? พวกนางคนหนึ่งปิดปากหัวเราะคิกคัก อีกคนหนึ่งถึงกับกุมท้องหัวเราะก๊าก เดี๋ยวโน้มร่างไปข้างหน้าเดี๋ยวเอนหงายไปข้างหลัง หน้าอกขาวผ่องกระเพื่อมระรัวจนหลิ่วชื่อเฉิงที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามกลืนน้ำลาย
เด็กสาวคนนั้นพลันเงยหน้าขึ้นมา เผยให้เห็นสีหน้าซีดขาว กรีดร้องเสียงแหลม “พวกเจ้ารีบหนีไปเร็ว! พวกนางคือ…”
สาวงามฝั่งตรงข้ามที่ปิดปากหัวเราะสีหน้าตึงเครียดขึ้นมาในบัดดล ชายแขนเสื้อยาวข้างหนึ่งพุ่งออกไป โจมตีเข้าที่หน้าผากของเด็กสาวจนเด็กสาวผงะหงายล้มผลึ่งไปด้านหลัง กลางหว่างคิ้วปูดบวมแดงเป็นแถบ
หลิ่วชื่อเฉิงที่นั่งอยู่ข้างกายเด็กสาวตกใจสะดุ้งโหยง
แทบจะเวลาเดียวกันนั้น นักพรตจางซานเฟิงก็ประกบสองนิ้วเข้าด้วยกันแล้วทำมุทราคาถากระบี่ กระบี่ไม้ท้อที่อยู่ด้านหลังพุ่งพรวดออกมา ตวัดเป็นเส้นโค้งเส้นหนึ่งอยู่กลางอากาศอย่างรวดเร็ว แล้วพุ่งเข้าแทงแผ่นหลังของหญิงสาวที่ลงมือโดยตรง หญิงสาวถูกกระบี่ไม้แทงทะลุร่างจึงล้มฟุบหน้าคว่ำลงไปบนพื้น ไม่มีภาพที่เลือดสดพุ่งทะลัก กระบี่ไม้ที่ประกายแสงวิเศษไหลเวียนวนเหมือนปักตรึงเข้าไปในอาภรณ์ที่ว่างเปล่าชิ้นหนึ่งเท่านั้น
ใบหน้าและเรือนกายของหญิงสาวบิดเบือนรุนแรง เห็นได้ชัดว่านางไม่ใช่ปีศาจที่ฝึกตนจนจำแลงร่างกลายเป็นคนได้ แต่เป็นพวกภูตผีที่ไม่มีร่างแท้จริงให้สิงสู่ เห็นเพียงว่าทั้งร่างของผีสาวกลายเป็นควันดำซัดตลบอบอวล ดิ้นรนอย่างต่อเนื่อง พยายามจะหนีไปให้ห่างกองไฟ แต่กลับไม่สามารถสลัดหลุดพ้นพันธนาการของกระบี่ไม้ท้อที่ปักเอียงอยู่บนพื้นดิน เหมือนสัตว์ป่าตัวหนึ่งที่ถูกโซ่ตรวนพันไว้อย่างแน่นหนา
นักพรตจางซานเฟิงท่องคาถากระบี่ ประกายแสงศักดิ์สิทธิ์บนตัวกระบี่ไม้ท้อยิ่งเจิดจ้า จนผีสาวไม่อาจรักษาร่างคนเอาไว้ได้อีก
พายุดาบระเบิดขึ้นมาในฉับพลัน ที่แท้ชายฉกรรจ์เคราดกก็ชักดาบออกมาอย่างรวดเร็ว ดาบยาวเล่มนั้นลากให้เกิดประกายเปลวเพลิง ประหนึ่งอาวุธเทพที่ถูกเซียนชุบหลอม เปลวเพลิงจึงขยายลามออกไปอย่างต่อเนื่องเหมือนมีมังกรเพลิงขดตัวอยู่บนตัวดาบ จากนั้นก็ถูกสวีหย่วนเสียฟันฉับลงมา ผีสาวที่ถูกกระบี่ไม้ท้อปักตรึงวิญญาณถูกหนึ่งดาบฟาดฟันควันดำทั้งหมดจนแหลกเละ ควันดำที่เมื่อเจอกับอาวุธเทพที่อบอวลไปด้วยประกายแสงศักดิ์สิทธิ์และพายุลมกรดก็แหลกสลายไปในทันที เสียงโหยหวนดังบาดแก้วหูของผีสาวดังก้องไปทั่วทั้งวัดโบราณ
สวีหย่วนเสียหันหน้าไปมอง เหงื่อก็แตกออกเล็กน้อยด้วยความละอายใจ
เฉินผิงอันกำลังอยู่ในท่าคว้าจับคอคน มือข้างหนึ่งออกหมัดต่อยรัวลงบนหัวใจของผีสาวเร็วดั่งพายุฝนกระหน่ำ ตอนนี้ควันดำถูกเขาต่อยจนบางเบาแทบไม่เหลืออยู่แล้ว
ต่อยให้ควันดำของผีสาวแหลกสลายไปเหมือนกัน แต่เฉินผิงอันกลับลงมืออย่างเงียบเชียบ ทำลายบุปผางามอย่างโหดร้ายก็เป็นเช่นนี้เอง
หลิ่วชื่อเฉิงไม่ใช่คนโง่ เขาไม่มีเวลามารักหยกถนอมบุปผาอะไรอีกแล้ว รีบตะเกียกตะกายวิ่งหนีออกห่างจากเด็กสาวที่นอนกองอยู่กับพื้น อ้อมกองไฟไปอยู่ด้านหลังคนทั้งสาม
เด็กสาวดิ้นรนลุกขึ้นมานั่ง พูดเสียงสะอื้น “พวกเจ้ารีบหนีไปเถอะ หมัวมัวของพวกเราใกล้จะมาถึงแล้ว…”
ยังไม่ทันพูดจบ กระดิ่งสดับปีศาจก็สั่นสะเทือนอย่างรุนแรง ประตูใหญ่ถูกลมกระโชกขุมหนึ่งกระแทกให้เปิดออกโดยตรง ลมภูเขาเย็นเยือกจู่โจมเข้าที่สันหลังของเด็กสาว เด็กสาวกระอักเลือดคำใหญ่ ร่างเล็กๆ ถูกลมพัดจนปลิวข้ามกองไฟ กระเด็นเข้าหานักพรตหนุ่มและชายฉกรรจ์เคราดก สวีหย่วนเสียรีบเก็บดาบยาวในมือเพื่อหลีกเลี่ยงไม่ให้ทำร้ายผู้บริสุทธิ์ ทว่าวินาทีนั้นเอง เด็กสาวพลันคลี่ยิ้มเจ้าเล่ห์ มือทั้งคู่ยื่นออกมาแตะที่หน้าอกของสวีหย่วนเสียและจางซานเฟิงหลายที แล้วร่างของนางก็ดีดกลับไปด้านหลัง ไปยืนนิ่งอยู่ท่ามกลางกองไฟ ใช้รองเท้าปักลายบุปผาดันท่อนฟืนที่ติดไฟโหมแรงออกเล็กน้อย ท่อนฟืนร้อนลวกและเปลวเพลิงลุกโชนไม่อาจทำร้ายนางได้แม้แต่ปลายเล็บ
นางไม่สนใจชายฉกรรจ์เคราดกและนักพรตหนุ่มที่ขยับเขยื้อนไม่ได้อีก เพียงแค่เตะกระบี่ไม้ท้อเล่มนั้นกระเด็นไปไกล ตอนที่ปลายรองเท้าปักลายบุปผาสัมผัสเข้ากับกระบี่ รองเท้าก็ไหม้เกรียมเล็กน้อย นางก้มหน้าลงมองเด็กหนุ่มสะพายกระบี่ซึ่งเป็นคนเดียวที่ยังเหลือพลังการต่อสู้ พูดด้วยรอยยิ้มมีเลศนัย “หากเจ้าคิดจะหนี ข้าก็เต็มใจปล่อยเจ้าไปสักครั้ง”
ตรงประตูใหญ่มีลมเย็นเยือกพัดกระโชก ครั้นแล้วชายหญิงที่ในมือถือธงสีดำ ทั่วร่างอบอวลไปด้วยกลิ่นอายผีหลายตนก็ปรากฎตัวขึ้นมา สายตาที่พวกเขามองมายังเด็กสาวในวัดร้างเป็นประกายร้อนแรง แต่ละตนพากันตะโกนเสียงดัง “หมัวมัวฝีมือเลิศล้ำไร้ทัดทาน อายุยืนยาวหมื่นปี!”
เฉินผิงอันลุกขึ้นยืน เอ่ยถาม “เจ้าเป็นคนหรือเป็นผี?”
‘หมัวมัว’ (คำเรียกหญิงที่มีอายุ หรือป้า) ที่อยู่ในรูปลักษณ์ของเด็กสาวหัวเราะเสียงแปร่งหู “ใจคนดั่งผีร้าย ใจคนอยู่ข้างหน้า ผีร้ายอยู่ข้างหลัง แสดงให้เห็นว่าใจคนของพวกเจ้าน่ากลัวยิ่งกว่า ข้าผู้เป็นเซียนอยู่ในแคว้นซูสุ่ยมาสองร้อยปีแล้ว มีฝีมือทำอาหารจานหนึ่งเป็นเลิศ อาหารจานนั้นชื่อว่าผัดหัวใจไฟแดง จำเป็นต้องใช้หัวใจที่ควักออกมาสดๆ ใหม่ๆ ใส่เครื่องปรุงรสเผ็ดลงไปมากๆ ไม่อย่างนั้นกลิ่นคาวจะฉุนจมูกเกินไปจนคนกินไม่ลง แต่ก็มีข้อยกเว้น เมื่อหลายปีก่อนมีนักพรตเฒ่าคนหนึ่งเดินทางผ่านที่แห่งนี้มา ตบะไม่อ่อนด้อย สังหารสาวใช้ที่ว่าง่ายของข้าผู้เป็นเซียนไปหลายคน ทว่านักพรตคนนั้นกลับมีหัวใจชั้นเยี่ยม รสชาติอร่อยลิ้นอย่างหาได้ยาก เพียงแต่ไม่รู้ว่าคนต่างถิ่นอย่างพวกเจ้าสี่คนที่มีฝีมือไม่ธรรมดานี้ จะมีหัวใจรสชาติเป็นอย่างไร? คิดดูแล้วก็ไม่น่าจะเลวร้ายสักเท่าไหร่ ถึงอย่างไรร่างกายและจิตวิญญาณของคนที่ฝึกตนก็มักจะดีกว่าชาวบ้านธรรมดาทั่วไป…”
ทันใดนั้นกลับมีเสียงแก่ชราที่อยู่ห่างไกลจากนอกวัด แต่กลับชัดเจนอย่างถึงที่สุดดังขึ้น “เหมาะแก่การเรียกกระบี่”
เด็กสาวหน้าเปลี่ยนสีอย่างรุนแรง
แสงกระบี่ผุดสว่างขึ้นมารอบทิศหน้าประตูใหญ่ ศีรษะของผีร้ายที่เป็นวัตถุหยินหลายตนกลิ้งหลุนๆ อีกทั้งเมื่ออยู่ภายใต้แสงกระบี่นี้พวกมันก็อ่อนแอไม่ต่างจากคนมีชีวิต หลังถูกตัดหัวแล้วก็ไม่มีทางที่จะโชคดีรอดชีวิตเด็ดขาด
เพียงไม่นานผู้เฒ่าชุดดำที่สีหน้าเฉยชาคนหนึ่งก็ก้าวยาวๆ ข้ามธรณีประตูเข้ามา ตรงเอวของเขาห้อยฝักกระบี่ ข้างกายมีกระบี่เล่มยาวที่ออกจากฝักตามติด ตัวกระบี่สีทองสัมฤทธิ์เต็มไปด้วยรอยร้าว อีกทั้งยังไม่มีปราณกระบี่หรือแสงวิเศษไหลเวียนวน ทว่ากระบี่ยาวเขรอะไปด้วยสนิมที่ลอยตัวอยู่ข้างกายผู้เฒ่าอย่างนิ่งสงบกลับมีพลังสยบอย่างหนึ่งที่ไม่อาจบรรยายเป็นคำพูดได้
ปราณกระบี่บริสุทธิ์ เต็มไปด้วยปณิธานกระบี่และเวทกระบี่ที่เฉียบคม
เมื่อท่องอยู่ในยุทธภพ ภูเขาลูกหนึ่งมักจะสูงกว่าภูเขาลูกหนึ่งเสมอ
เห็นได้ชัดว่าเด็กสาวรู้ตัวตนของคนผู้นี้ เล็บมือทั้งสิบของนางยาวเหมือนตะขอเงินสิบชิ้น สันหลังคดงอลง จ้องผู้เฒ่าชุดดำเขม็ง แสร้งพูดข่มขู่ดั่งคนแข็งนอกอ่อนใน “ซ่งอวี่เซา เจ้าเป็นคนในยุทธภพ คิดจะเป็นศัตรูกับสี่พิฆาตซูสุ่ยอย่างพวกเรางั้นหรือ? เชื่อหรือไม่ว่าพวกเราจะร่วมมือกันถอนรากถอนโคนหมู่บ้านวารีกระบี่ของพวกเจ้าให้ราบคาบ?!”
ผู้เฒ่าสีหน้าเรียบเฉย มองยักษ์ใหญ่แห่งวิถีมารของแคว้นซูสุ่ยซึ่งมีชื่อเสียงฉาวโฉ่เลื่องระบือผู้นี้แล้วเอ่ยเนิบช้า “เจ้าโง่หรือไง?”
—–