ชายหนุ่มข้างกายหนังตากระตุก ชะงักค้างไปเล็กน้อย แต่ก็ไม่ได้พูดอะไร ควบม้า วิ่งนำทัพกลับค่ายบัญชาการชั่วคราวไป
ณ ค่ายทหารชั่วคราวขององค์ชาย
เหล่าทหารกลับกอง ยึดครองสนามฝึกทั้งด้านหน้าด้านหลัง คนลาดตระเวนก็ลาดตระเวนไป คนที่ฝึกทหารก็ฝึกทหารไป
ซย่าโหวซื่อถิงและซือเหยาอันติดตามด้วยผู้ตรวจการเหลียง ฝึกทหารอยู่ที่สนามฝึกอยู่พักหนึ่ง กลับเข้าห้องโถงหลักในค่ายบัญชาการ ก็เป็นเวลาพระอาทิตย์ตกดินแล้ว
ผู้ตรวจการเหลียงลังเลอยู่ครู่หนึ่ง แล้วก็ก้าวเข้าโถงหลักไปเช่นกัน
ในห้องโถง
ฉินอ๋องนั่งอยู่หัวโต๊ะ คนรับใช้ในค่ายบัญชาการยกชาร้อนมาให้ ชายหนุ่มมือกุมฝาแก้ว กำลังครุ่นคิดกับเรื่องในวันนี้ เห็นว่าผู้ตรวจการเหลียงเข้ามา ก็ยกตาขึ้นมอง
ผู้ตรวจการเหลียงเข้ามาคำนับ แล้วกล่าว “องค์ชาย์สาม เรื่องการเจรจาแลกเปลี่ยนในวันนี้ พิสูจน์ได้ว่ากลุ่มผ้าเหลืองนั้นใจใหญ่คับฟ้า วันนี้กล้าใช้ตัวประกันมาต่อรองเอาเสบียง พรุ่งนี้ก็คงจะกล้าบุกค่ายบัญชาการ ตอนนี้ไฟแทบลนคิ้วอยู่แล้ว ขอให้องค์ชายสามทรงใช้กำลังทหารเข้ารุก ฉวยโอกาสตอนที่มีกำลังทหารเหนือกว่าเก็บพวกหลี่ว์ปาเสียเถิด! หากรอให้พวกมันยิ่งใหญ่ขึ้นมา พวกเราจะอยู่ในสถานะที่เป็นรองนะพะยะค่ะ…”
ไม่รู้ว่าฉินอ๋องนี่กำลังคิดอะไรอยู่ ให้เขาโยกย้ายกำลังทหารตั้งแต่ครั้งแรกที่มาถึงค่ายบัญชาการเขาก็ไม่เห็นด้วย วันนี้หลี่ว์ปานั่นกระโดดมาใต้จมูกแล้ว คงทำได้แล้วกระมัง!
ผู้ตรวจการเหลียงกำลังพล่ามบ่นไม่หยุดหย่อนเหมือนทุกครั้ง จู่ๆ แก้วในมือซย่าโหวซื่อถิงก็ชะงักกลางอากาศ แล้วโยนลงพื้นอย่างแรง ปรากฏเป็นเศษแผ่นเครื่องดินเผา กระจายไปสี่ทิศ ทำเอาผู้ตรวจการเหลียงตกใจไป ได้ยินเพียงชายหนุ่มบนเก้าอี้กล่าวอย่างเยือกเย็น “หากมิใช่เจ้าทำโดยพลการ ทำการก่อนแล้วค่อยรายงาน จับครอบครัวของพวกเขากลับมา สถานการณ์ในเมืองเยี่ยนหยางในตอนนี้ จะมาถึงขั้นนี้ได้อย่างไร! ใช้กำลังทหารหรือ รบหนึ่งเดือน พักสามปี ถึงเวลานั้น ประชาชนเมืองเยี่ยนหยางเดือดร้อนไปทุกหย่อมหญ้า ให้เจ้ามาตามเช็ดตามล้างดีหรือไม่ เจ้ายินยอมจะบริจาคทรัพย์สินทั้งหมดของเจ้าเพื่อฟื้นฟูความเป็นอยู่ของประชาชนหรือไม่”
บ่าวรับใช้รีบนำแก้วใบใหม่มาให้ แล้วเติมชาร้อนให้อีก
ผู้ตรวจการเหลียงกล้ามเนื้อหน้ากระตุก ไม่มีอะไรจะพูดอีก ถึงจะเถียงได้แต่ก็ไม่กล้า หากนับจากตำแหน่ง ตนใหญ่กว่าเขา แต่ใครใช้ให้พื้นเพเขาใหญ่กว่าตนเล่า ถ้านับเช่นนี้ อย่างน้อยในเมืองเยี่ยนหยางนี้ เขาทั้งสองก็นับว่าตำแหน่งเท่าเทียมกัน
ผู้ตรวจการเหลียงกัดฟัน “เช่นนั้นก็ต้องสั่งสอนพวกกลุ่มผ้าเหลืองเสียบ้าง!” พูดไป ก็โบกมือ “ทหาร!”
ผู้ใต้บังคับบัญชาของผู้ตรวจการเหลียงอยู่หน้าประตู ได้รับคำสั่งของผู้บังคับบัญชาก่อนแต่แรก พาชายหนุ่มหญิงสาวเด็กเล็กคนชราท่าทางเหมือนชาวบ้านเจ็ดแปดคนเข้ามา
คนกลุ่มนี้เป็นคนในครอบครัวของพวกชาวบ้านที่ก่อการจลาจลที่ผู้ตรวจการเหลียงจับตัวเอาไว้ด้วยความโมโหในตอนนั้น ตั้งแต่ถูกจับกลับมาก็ถูกขังไว้ในห้องของเรือนหลังในค่ายบัญชาการ
ทั้งเด็กเล็กและผู้ใหญ่เหล่านั้นพอถูกกุมตัวเข้ามาก็คุกเข่าลง “ท่านขุนนาง พวกข้าไม่เกี่ยวข้องอะไรกับพวกก่อจลาจลนี่! ถึงแม้จะเป็นญาติกัน แต่ไม่ได้ไปมาหาสู่กันมาตั้งนานแล้ว!”
“นั่นสิ นั่นสิ เจ้าหมอนั่นถึงจะเป็นน้องชายข้า แต่พวกข้าแยกบ้านกันอยู่ตั้งนานแล้ว วันนี้เขาต่อต้านราชสำนัก ข้าก็ไม่นับญาติกับน้องชายคนนี้แล้ว ตายไปก็ไม่เกี่ยวข้องกับข้า! ท่านขุนนาง ปล่อยข้าไปเถิด!”
ผู้ตรวจการเหลียงกล่าวอย่างดุร้าย “หุบปาก! ทหาร จับออกมาหนึ่งคน ตัดหัวมัน แล้วโยนไปในถิ่นของกลุ่มผ้าเหลืองนั่น!”
“ไว้ชีวิตด้วย! ท่านขุนนาง…” เสียงร่ำไห้ด้วยความตกใจดังขึ้นไม่สม่ำเสมอกัน
ซือเหยาอันหัวเราะเยาะ “ผู้ตรวจการเหลียง ฉินอ๋องยังอยู่ ท่านออกคำสั่งนี้ออกมาอย่างตาไม่กะพริบเชียวนะ!”
ผู้ตรวจการเหลียงตะลึงไป รีบกล่าว “ข้าก็แค่อยากสยบพวกกลุ่มผ้าเหลืองพวกนั้นเสียหน่อย! พวกชาวบ้านจะได้ไม่นึกว่าพวกเขากล้าข่มขู่พวกเราแล้ว พวกเราทำได้แค่อดทนยอมรับแรงบีบคั้นเท่านั้น”
“เจ้าวางใจได้! วันนี้ให้หัวชาวบ้านที่ก่อจลาจลไปห้าสิบหัวกับพวกเขา ชาวบ้านรู้ถึงความสามารถของทหารขุนนางแล้ว จะสังหารเพิ่มโยนไปให้พวกเขาอีก นอกจากจะไม่มีผลอะไรแล้ว ยังทำให้ชาวบ้านว่าพวกเราโหดร้ายอีก” ซือเหยาอันสองมือกอดอก
ผู้ตรวจการเหลียงกลืนน้ำลาย ไม่กล้าพูดอะไรอีก
เวลานี้ พวกคนในครอบครัวชาวบ้านผู้ก่อจลาจลก็ดูออกแล้วว่า คนที่มีสิทธิ์ในการตัดสินใจคือคนที่นั่งอยู่ท่านนั้น ต่างก็โขกหัวคำนับ “ขอบคุณท่านขุนนาง! ขอบคุณท่านขุนนาง!”
ซย่าโหวซื่อถิงกวาดสายตาไปยังหน้าตาของชาวบ้านทุกคนหนึ่งรอบ “ใจของพวกเจ้า จงรักภักดีต่อราชสำนักจริงหรือ”
คนเหล่านั้นตั้งแต่โดนจับมา ก็ถูกทำให้ตกใจกลัวจนใจเสาะหมดแล้ว การต่อต้านราชสำนัก ไม่ใช่เรื่องที่คนธรรมดาจะสามารถทำได้ ใครกันเล่าที่ไม่อยากมีชีวิตที่สงบสุข ต่างก็พยักหน้ากัน “พวกข้าเป็นคนดีกันทุกรุ่นทุกชั่วคน ถึงแม้ในบ้านจะมีพวกเด็กหัวรั้นหัวขบถ แต่พวกข้าเป็นพลเมืองดีจริงๆ นะขอรับ! ขอท่านขุนนางปล่อยพวกข้าด้วย! พวกข้าจะไม่เข้าร่วมกับพวกกลุ่มผ้าเหลืองไร้ประโยชน์พวกนั้นเป็นเด็ดขาด จะไม่เป็นพวกเดียวกับพวกเขาด้วย พวกข้ายังอยากจะใช้ชีวิตอย่างสงบสุขนะขอรับ!”
ซย่าโหวซื่อถิงกล่าว “ปล่อยพวกเจ้าไป เป็นไปไม่ได้หรอก อยู่ที่ค่ายบัญชาการไปก่อนเถิด ช่วยทำงานปัดกวาดเช็ดถู ผ่านเรื่องนี้ไปค่อยว่ากัน”
ไม่ถูกทางการลงโทษข้อหาสมรู้ร่วมคิดกับโจร ก็ถือว่าโชคดีพอแล้ว คนเหล่านั้นทำได้เพียงโขกหัวขอบคุณ กำลังจะออกไป กลับได้ยินชายหนุ่มบนเก้าอี้สงสัย “ใครเป็นญาติของหลี่ว์ปา”
หลี่ว์ปาเป็นหัวหน้ากลุ่มผ้าเหลือง หรือว่าญาติของเขาจะต้องถูกตัดสินแยกกัน
ผู้ตรวจการเหลียงตาเป็นประกาย “ลากน้องสาวของหลี่ว์ปาออกมา!”
องครักษ์กุมตัวสาวน้อยในแถวที่สองคนหนึ่งออกมา
สาวน้อยนั้นอายุราวสิบหกสิบเจ็ด สวมใส่เสื้อผ้าเรียบง่าย ท่าทางขลาดกลัว ไม่กล้าเงยหน้า “ข้า…ข้าหลี่ว์ชีเอ๋อร์ เป็นน้องสาวของหลี่ว์ปา ท่านขุนนาง ข้ารู้ว่าท่านพี่ทำผิดมหันต์ แต่ข้าไม่มีทางเข้าพวกกับพี่ชายข้าเป็นแน่ ไว้ชีวิตข้าด้วยเถิด!”
“คนอื่นถอยไป น้องสาวหลี่ว์ปาอยู่นี่ก่อน” เสียงของชายหนุ่มลอยมา
ผู้ตรวจการเหลียงตะลึงไป แต่ก็พาคนอื่นถอยออกไป
ในห้องว่างเปล่า หลี่ว์ชีเอ๋อร์ยิ่งตึงเครียด รีบโขกหัวคำนับ เมื่อครู่ได้ยินคนเรียกขาน รู้ว่าคนผู้นี้เป็นท่านอ๋อง ก็สะอื้นไห้ “ท่านอ๋อง เรื่องที่พี่ชายทำ ไม่เกี่ยวข้องกับข้าเลยเพคะ ท่านอ๋องอย่าลงโทษข้าเลยนะเพคะ ท่านอ๋องจะให้ข้าทำอะไรก็ได้เพคะ”
ชายหนุ่มเปิดฝาออก กลิ่นน้ำชาหอมฟุ้งทั่วห้อง ทำให้สาวน้อยสงบสติอารมณ์ได้บ้าง ได้ยินชายหนุ่มสูงศักดิ์เอ่ยปาก “ชดใช้ร่วมกัน เข้าใจหรือไม่ ใครใช้ให้เขาเป็นพี่ชายเจ้าเล่า”
หลี่ว์ชีเอ๋อร์ตกใจจนเนื้อตัวสั่นเทา หรือว่าตนจะหนีการลงโทษนี้ไม่พ้นเสียแล้ว เนื้อตัวอ่อนปวกเปียกลงกับพื้นเหมือนถูกดูดพลังออกหมด กลับได้ยินเสียงชายหนุ่มผู้นั้นลอยมา “แต่ว่า ราชสำนักก็ยังพอจะมีโอกาสยกเว้นโทษให้กับคนในครอบครัวคนร้ายที่ถูกลงโทษในข้อหาชดใช้ร่วมกันอยู่บ้าง”
หลี่ว์ชีเอ๋อร์ได้สติกลับมา รู้เพียงว่ามีโอกาสจะมีชีวิตต่อ ใจกล้ามากขึ้นมาเล็กน้อย เงยหน้าจ้องมองชายหนุ่มบนเก้าอี้ “ทำอย่างไรถึงจะเว้นโทษได้หรือเพคะ” เมื่อมองดูแล้ว ในใจก็เต้นผิดจังหวะ เต้นแรงกว่าเมื่อครู่ที่ถูกลากแยกออกมาเสียอีก องค์ชายสามผู้นี้ หน้าตางดงามดั่งภาพวาดหมึก สมบูรณ์แบบเป็นธรรมชาติ เพียงแค่ท่าทางถือแก้ว ก็เย้ายวนจิตใจอย่างต่อเนื่อง เป็นรูปลักษณ์ที่นางไม่เคยเห็นมาก่อนในเมืองเล็กๆ อย่างเหยี่ยนหยาง!
ซย่าโหวซื่อถิงไม่ได้มองนางเลยแม้แต่นิด จับเล่นฝาดินเผาอยู่คนเดียว “ก่อนและหลังแม่น้ำชิงท่วมทะลัก พี่ชายเจ้าได้คบหาเพื่อนใหม่หรือไม่”
หลี่ว์ชีเอ๋อร์กว่าจะกดอารมณ์ตกตะลึงไว้ได้ นึกย้อนกลับไปสักครู่ แล้วพึมพำ “พี่ชายข้าเป็นคนตรงไปตรงมาตลอด ชอบคบหาเพื่อนฝูง ในเมืองเยี่ยนหยางก็มีเพื่อนมากมาย ทุกคนต่างก็ชอบเขา เพราะเขาเพื่อนเยอะ ปกติข้าก็เลยไม่ได้ใส่ใจนัก…แต่ว่าพอท่านอ๋องรับสั่งเช่นนี้ ข้าก็พอจะนึกขึ้นได้ หลังจากที่เมืองเยี่ยนหยางเกิดภัยพิบัติขึ้น มีผู้เฒ่าแซ่เถียนมาหาพี่ข้าที่บ้าน อีกยังค้างที่บ้านอยู่หลายวัน ทุกครั้งที่ทั้งสองคนคุยกันก็มักจะปิดประตูห้อง ไม่ให้ข้าฟังด้วย เดิมทีข้าจำผู้เฒ่าแซ่เถียนนั่นไม่ค่อยได้ แต่ตอนหลังนึกได้ว่า ผู้เฒ่าเถียนนี้เคยมาหาท่านพี่มาก่อนหน้านี้นานแล้ว แต่ทุกครั้งท่านพี่ปฏิบัติต่อเขาไม่ดีนัก จะไล่เขาออกไปทุกครั้ง ไม่รู้ว่าทำไมครั้งนี้สองคนนี้ถึงได้สนิทสนมกันขึ้นมา…”