ตอนที่ 158.1 ความกังวลใจของฉินอ๋อง (1)

ยอดหญิงอันดับหนึ่ง

นั่นก็ถูกแล้ว ซย่าโหวซื่อถิงหรี่ตา “อืม ถือว่าเจ้าทำตัวดี ช่วงนี้ก็อยู่ทำงานที่โถงหลักในค่ายบัญชาการไปก่อนแล้วกัน” 

 

 

หลี่ว์ชีเอ๋อร์โล่งใจ ได้ยินว่าจะได้อยู่ในพระราชนิเวศน์ ไม่รู้ว่าทำไมถึงได้ดีใจอย่างไม่มีเหตุผล แล้วโขกหัวคำนับ “ขอบพระคุณท่านอ๋อง!” 

 

 

เมื่อหลี่ว์ชีเอ๋อร์ออกไปแล้ว ซือเหยาอันก็เข้าไป “องค์ชายสาม ให้น้องสาวหลี่ว์ปามาทำงานเช็ดถูข้างกาย ไม่เป็นอะไรหรือ” 

 

 

“ยังมีประโยชน์” ซย่าโหวซื่อถิงยืนขึ้น สีหน้าค่อนข้างเหนื่อยล้า แล้วเดินเข้าไปในห้องชั้นใน 

 

 

ซือเหยาอันกลัวว่าเขาจะเหนื่อยเกินไป ไม่กล้าพูดให้มากความ เดินตามเข้าห้องไป เห็นเขานั่งอยู่หลังกองหนังสือฝนหมึกเขียนหนังสือ คลี่กระดาษแผ่นหนึ่งออก 

 

 

ซือเหยาอันรู้ว่าองค์ชายสามจะเขียนจดหมายให้พระชายา ก็เดินเข้าไปเตือน “องค์ชายสาม สถานการณ์ตอนนี้ ท่านเขียนแล้ว ก็เกรงว่ายากที่จะส่งออกไป…” 

 

 

ปลายพู่กันของชายหนุ่มจุ่มน้ำหมึกข้น ลงมือเขียนขีดแรกแล้ว แต่ไม่ได้ขยับต่อ 

 

 

เขาไม่อยากให้นางกังวลใจแม้แต่เพียงเล็กน้อย จดหมายแจ้งว่าตนปลอดภัยดีอย่างไรเสียก็ต้องส่งไปสักฉบับ 

 

 

วันนี้ไม่รู้เป็นอะไร เห็นหญิงสาวชาวบ้านที่ก่อจลาจลนั่นสายตาเหมือนนางอยู่เล็กน้อย ในใจก็ยิ่งว้าวุ่นพิลึกนัก 

 

 

สาส์นลับทหารเยี่ยนหยางส่งกลับเมืองหลวง นางน่าจะไม่รู้ แต่กระดาษห่อไฟไว้ไม่ได้ หากยื้อไว้นาน ช้าเร็วอย่างไรก็ต้องรู้เป็นแน่ 

 

 

เมื่อคิดว่านางจะต้องเป็นห่วงตน ใจเขาก็เหมือนถูกบีบแน่นตาม แล้วเมื่อนึกถึงใบหน้าอันงดงามของนาง กลับอดไม่ได้ที่จะเม้มปาก หน้าอกไปถึงหูคอก็เร่าร้อนเดือดผุดยากจะคลาย 

 

 

ที่นี่จะอันตรายเพียงใดเขาก็ไม่กังวล ขอเพียงรู้ว่านางอยู่ในเมืองหลวงมีชีวิตที่ปลอดภัยและสงบสุข กินอิ่มนอนหลับ ในใจเขาก็สงบสุขแล้ว ก็พอใจมากแล้ว 

 

 

** 

 

 

ทางด้านอวิ๋นหว่านชิ่นนี้สลัดซือเหยาอันทิ้งได้ ก็เดินไปหยุดพักไปตลอดทาง ในที่สุดก็วิ่งกลับมาถึงจวนผู้ว่าการเมืองเยี่ยนหยาง เพิ่งจะก้าวเข้าประตู ด้านหลังก็มีเสียงฝีเท้าลอยมา ยังไม่ทันได้ตอบสนอง ก็ถูกคนแบกขึ้นมาโยนลอยไปในอากาศ เคล้าเสียงโห่ร้องของเหล่าชายหนุ่ม “ไชโย…ไชโย…” 

 

 

โยนขึ้นแล้วรับไว้ อวิ๋นหว่านชิ่นวิญญาณแทบจะหลุดหาย ยังไม่ทันได้ส่งเสียงร้องตะโกน ก็ถูกคนกลุ่มหนึ่งแบกไปในโถงใหญ่ เห็นว่าหลี่ว์ปาพาผู้เฒ่าเถียนและคนอื่นๆ รออยู่ในนั้นแล้ว 

 

 

หลี่ว์ปาเห็นว่านางกลับมาแล้ว หน้าตาเบิกบาน “เร็วเข้า วางแม่นางชิ่งเอ๋อร์ลงมา!” 

 

 

เว่ยเสียวเถี่ยพุ่งเข้ามาอย่างรวดเร็ว ตรวจตราทั่วตัว “ไม่เป็นอะไรใช่หรือไม่” แล้วกวักมือเรียกเหล่าหญิงที่อาศัยอยู่ในห้องเดียวกับอวิ๋นหว่านชิ่น คนหนึ่งยกน้ำร้อนกับผ้าขนหนู คนหนึ่งยกเก้าอี้ รุดหน้าไปพยุงอวิ๋นหว่านชิ่นนั่งลง 

 

 

หลี่ว์ปาสั่งยายเฒ่าคนหนึ่ง “ไปดูหน่อยสิว่าแม่นางชิ่งเอ๋อร์ได้รับบาดแผลอะไรหรือไม่” 

 

 

อวิ๋นหว่านชิ่นเข้าใจแล้วว่า ตนกลายเป็นผู้มีความชอบของกลุ่มผ้าเหลืองไปแล้ว ก็โล่งใจ แต่ก็ไม่ประหลาดใจนัก เพราะเมื่อครู่ที่ทำเช่นนี้ก็เพื่อเป้าหมายนี้ 

 

 

นี่เป็นโอกาสดีที่จะได้รับความไว้วางใจจากหลี่ว์ปา นางดื่มน้ำชาลงไปจนเกลี้ยง ปากก็ไม่ได้เช็ด “ข้าไม่เป็นอะไร! ลูกพี่หลี่ว์รับข้าไว้ ข้ารับใช้พวกพี่ได้ก็เป็นเรื่องที่สมควรทำ! คราวหลังมีเรื่องแบบนี้อีก ขอให้ลูกพี่หลี่ว์อย่าลืมข้า! ให้ข้าได้มีโอกาสสร้างผลงาน!” 

 

 

หลี่ว์ปากล่าวพลางหัวเราะ “สาวน้อยอย่างเจ้านี่ ไปตรวจของคนเดียวสีหน้าไม่เปลี่ยนใจไม่เต้น จับตัวลูกน้องเขาต่อหน้าองค์ชายสารเลวนั่นก็ไม่แสดงอาการหอบ เก่งกาจกว่าพี่น้องหลายคนของพวกเราเสียอีก ไม่ให้ความสำคัญเจ้าแล้วจะให้ความสำคัญใคร” 

 

 

พอพูดจบ กลับได้ยินเสียงเย็นชาของผู้เฒ่าลอยมา เต็มไปด้วยความกังขา “เพียงแต่ไม่รู้ว่า หญิงสาวชาวบ้านธรรมดาอย่างแม่นางชิ่งเอ๋อร์ ทำไมถึงได้มีของเล่นของคนตะวันตกอย่างปืนไฟด้วยเล่า” 

 

 

ในห้องโถงนั้น เนื่องจากผู้เฒ่าเถียนเอ่ยถามขึ้นอย่างกะทันหันนั้น ทำให้บรรยากาศนั้นหยุดชะงักไปชั่วขณะ 

 

 

รอยยิ้มบนในหน้าหลี่ว์ปานั้นก็ลดถอยไป น้ำเสียงเคร่งขรึมและจริงจังขึ้นมา “นั่นสิ ยังไม่ทันได้ถามเจ้าเลย! สาวน้อยอย่างเจ้า ทำไมถึงได้มีของใช้ของชายหนุ่มเช่นนี้ อีกยังเป็นของชาวตะวันตก ปืนไฟนี่ ได้ยินว่าพวกชนชั้นสูงศักดิ์ในเมืองหลวงยังยากจะได้มาสะสม ฮ่องเต้ก็มีเพียงไม่กี่กระบอกเท่านั้น!” 

 

 

อวิ๋นหว่านชิ่นถือน้ำดื่มไปได้ครึ่งหนึ่ง มือก็ชะงักไป 

 

 

ผู้เฒ่าเถียนสีหน้าเจ้าเล่ห์ยิ่งขึ้น น้ำเสียงหยั่งเชิง “ทำไม ร้อนตัวหรือ” 

 

 

ทุกคนต่างก็เห็นสาวน้อยผู้นี้เป็นผู้มีความชอบ แต่เขากลับไม่คิดเช่นนั้น เดิมทีก็ไม่เชื่อในตัวตนของคนเมืองอื่นอย่างนางอยู่แล้ว วันนี้เห็นว่าเด็กสาวชนบทอย่างนาง มีพลังและความอาจหาญสามารถออกหน้าต่อหน้ากองทัพทหาร อีกยังถือปืนไฟ ก็เกิดความสงสัยยิ่งขึ้น 

 

 

เมื่อผู้เฒ่าเถียนพูดดังนั้น สีหน้าของหลี่ว์ปาก็เคร่งเครียดขึ้น ความอ่อนโยนก่อนหน้านี้ก็สลายหายไป เดิมทีก็เป็นคนอารมณ์ร้อนอยู่แล้ว เห็นอวิ๋นหว่านชิ่นลังเลไปสักครู่ ก็คิดว่าที่มาของนางไม่ชัดเจน จับแก้วในมือนางบีบแล้วโยนลงพื้นเสียงแตกดัง เพล้ง! ทำเอายายแก่และป้าที่รับใช้อยู่ข้างๆ ตกใจจนส่งเสียงร้อง 

 

 

เว่ยเสียวเถี่ยเหงื่อออกเต็มแผ่นหลัง ตะโกนออกมา “ลูกพี่หลี่ว์ อย่ารีบร้อนไป ฟังชิ่งเอ๋อร์พูดก่อนสิ” แล้วรีบดึงปลายเสื้อของอวิ๋นหว่านชิ่น “ชิ่งเอ๋อร์ รีบพูดสิ” 

 

 

ในห้องโถงนั้น บรรยากาศตึงเครียด บนใบหน้าแก่ชราที่ริ้วรอยพับย่นของผู้เฒ่าเถียน ดวงตาทั้งคู่คล้ายกับสัตว์ร้ายที่จ้องมองเหยื่อในที่ลับ เพียงมีสิ่งผิดปกติเล็กน้อยเกิดขึ้นก็พร้อมจะกระโจนเข้าหาฉีกขย้ำเหยื่อให้เป็นชิ้นๆ 

 

 

ลมหายใจของหลี่ว์ปาก็รุนแรงขึ้น น้ำเสียงก็เริ่มรำคาญขึ้น “พูดสิ!” 

 

 

อวิ๋นหว่านชิ่นยกมือขึ้นเช็ดปาก ทำหน้ามุ่ย สายตาล่อกแล่ก “ข้าไม่พูดได้หรือไม่” 

 

 

เว่ยเสียวเถี่ยใจแทบจะหลุดออกมา ชิ่งเกอเอ๋อร์นี่ เล่นอะไรอยู่ รีบหาเหตุผลอะไรก็ได้สักอย่างสิ พวกนี้เป็นพวกโจรหนีคดีสังหารคนไม่กระพริบตา จะอ้อมค้อมอะไรอีกเล่า 

 

 

เป็นจริงดังนั้น ผู้เฒ่าเถียนเย้ยหยัน “ข้าก็ว่าอยู่เด็กสาวบ้านป่าคนนี้แปลกๆ! ข้ากินข้าวมามากกว่าพวกเจ้าสิบกว่าปี ดูจิตใจคนออก! พวกเจ้าดูนางสิ เหมือนเด็กสาวชนบทธรรมดาหรือ เกรงว่าจะเป็นสายของทางการแฝงตัวเข้ามาละสิ หลี่ว์ปา เจ้าตัดสินใจเองว่าจะทำอย่างไรแล้วกัน!” 

 

 

เดิมทีหลี่ว์ปาก็เชื่อถือผู้เฒ่าเถียนอยู่แล้ว เวลานี้ความสงสัยในใจก็เพิ่มทวีขึ้น สายตาอันดุร้ายแดงดั่งเลือด จนทำให้คนหวาดกลัว มือเลื่อนไปที่หัวมีดสั้นบนเอวทันใด แต่กลับได้ยินสาวน้อยคนนั้นลุกขึ้นมา ใบหน้าที่เหลืองดั่งขี้ผึ้งนั้นก็แดงก่ำ เหมือนว่าถูกรังแกอย่างทารุณ แล้วตะโกนใส่ผู้เฒ่าเถียน “ผู้เฒ่าเถียนอย่ามาใส่ร้ายข้า หากข้าเป็นสายของทางการ วันนี้จะช่วยลูกพี่หลี่ว์กับเหล่าพี่น้องหนีได้หรือ ข้างกายองค์ชายผู้นั้นมีทหารทางการอยู่ พวกเจ้าก็เห็นกัน พวกเขาเตรียมพร้อมมาอยู่แล้ว จำนวนคนมากมาย ทั้งยังเป็นทหารชั้นเลิศที่ผ่านการฝึกมาอีก วันนี้พวกเราไปเพื่อแลกเปลี่ยนเสบียง คนก็ไปกันไม่พอ หากปะทะกันขึ้นมา ผลจะเป็นอย่างไร พวกเราต่างก็รู้กัน! สายหรือ หากข้าเป็นสาย จะช่วยพวกเจ้าหรือ ป้องกันให้พวกเจ้าถอยไปหรือ คนโหดร้ายอย่างพวกเจ้า…ไร้คุณธรรม!” 

 

 

เว่ยเสียวเถี่ยถอนหายใจ แล้วรีบช่วยเสริม “นั่นสิ!” 

 

 

อวิ๋นหว่านชิ่นเท้าเอว สีหน้ารำคาญ ขมวดคิ้วอันเรียวบางทั้งสอง “ข้าก็มีพิรุธนี่ล่ะ! หากพวกเจ้าจะบังคับข้าให้พูดให้ได้ ข้าก็จนปัญญา! ก็ได้ๆ จะบอกพวกเจ้าก็ได้ บ้านข้าเปิดร้านขายยาใช่หรือไม่ มีครั้งหนึ่งมีทหารใหญ่จากเมืองหลวงมา บอกว่าเป็นขุนนางของค่ายฝึกอาวุธ ผ่านมาตำบลลี่สุ่ยแล้วป่วย มาซื้อยาบ้านข้า ในเสื้อผ้านั้นมีปืนไฟกระบอกนี้โผล่ออกมา ข้าประหลาดใจนัก จึงได้ฉวยโอกาสขโมยมาตอนเขารอต้มยา ข้าเป็นหญิง ตอนลี้ภัยขโมยของกินกับเสียวเถี่ยจนถูกทางการตามจับยังพอสมเหตุสมผล หากให้คนรู้ว่ายังเคยขโมยของอีก ข้า ชื่อเสียงข้าจะดีได้อย่างไร ยังจะออกเรือนได้อยู่หรือ! ไม่ใช่เรื่องน่าภาคภูมิใจอะไร ข้ายังจะต้องป่าวประกาศไปทั่วอีกหรือ หากไม่พูดได้ข้าก็ไม่พูดสิ”