บทที่ 141 จับก็จับแต่อย่าให้ใครเห็น

เมื่อผมโดนระบบครองร่าง

บทที่ 141 จับก็จับแต่อย่าให้ใครเห็น
ฟางหนิงใช้พลังจิตกลับเข้าสู่เกมอีกครั้งเพื่อจับบอสต่อไป

ยิ่งเล่นมากเท่าไหร่ก็ยิ่งรู้สึกว่าบางคนในสำนักงานสัจธรรมลึกลับมากจนหยั่งไม่ถึง ไม่ใช่เพราะสมองของเขามีจินตนาการมากเกินไปหรอก แต่เพราะไม่รู้ความตั้งใจแท้จริงของอีกฝ่าย

พวกเขากำลังค้นคว้าเกี่ยวกับเทคโนโลยีอาวุธควบคุมระยะไกลอย่างแน่นอน แต่จุดประสงค์นั้นอยู่ห่างไกลจากการแทนที่ขีปนาวุธและโดรนอย่างง่าย…

คิดได้แบบนั้น ฟางหนิงก็เลยเลิกเล่นเกมแล้วไปหาแอนเดอร์สันที่ ‘เรือนจำมังกรศักดิ์สิทธิ์’ อีกฝ่ายหนึ่งกำลังเขียน ‘วรยุทธ์ฉบับสมบูรณ์’ เล่มใหม่ เห็นแบบนั้นฟางหนิงก็อดชื่นชมความพยายามของอีกฝ่ายไม่ได้ อย่างน้อยถ้าเขาเป็นฝ่ายติดคุก คงจะมีจุดจบระเบิดตัวเองและทิ้งตัวเองไปแล้ว แต่อีกฝ่ายยังคงคว้าโอกาสนี้เพื่อทำงานหนักต่อไป

ฟางหนิง “เสี่ยวอัน ตอนนี้ท่านพัศดีมีคำถามอยากจะถามสักสองสามข้อ”

แอนเดอร์สัน “ถามได้เต็มที่ท่านพัศดี”

ฟางหนิง “แกรู้ไหมในบรรดาพวกเราที่เป็นผู้จุติ ใครมาจุติโลกนี้ก่อนเป็นคนแรก พลังชีวิตของโลกนี้เริ่มฟื้นฟูเมื่อไหร่ เหตุการณ์ดาวตกเพลิงวันชีซีปีที่แล้วสัมพันธ์กับการฟื้นฟูพลังชีวิตยังไง”

เขาเก็บงำความสงสัยนี้มากนานมากแล้ว แต่ก่อนที่แอนเดอร์สันจะถูกจับเข้ามา เขาไม่รู้จะไปถามใคร

หลังจากที่แอนเดอร์สันถูกจับเข้ามา เขาก็ยังไม่ได้สอบถามจนกว่าจะแน่ใจว่าอีกฝ่ายเต็มใจรับใช้จริงหรือไม่

เพราะสามประเด็นนี้ล้วนมีความสำคัญอย่างยิ่ง มีความเกี่ยวข้องกันอย่างลึกซึ้งและเกี่ยวข้องกับหลายคน หากถูกเข้าใจผิด ก็ยากที่จะคาดเดาผลที่ตามมา

แอนเดอร์สัน “อ้อ เรื่องพวกนี้ดูเหมือนว่าท่านมังกรจริงจะไม่เคยพูดกับท่านพัศดีมาก่อนสินะ ผมไม่รู้ทั้งหมดและไม่แน่ว่ามันเป็นความจริงไหม เพราะฉะนั้นจะบอกแต่เรื่องที่เคยพบมาแล้วกัน”

ฟางหนิงคิดในใจ ‘ท่านมังกรจริงเป็นร่างมังกรของฉัน ถ้าพูดถึงก็แปลกแล้ว ระบบนั่นก็งี่เง่า ถ้าถามเรื่องพวกนี้สู้ถามมันเกิดมาได้ยังไงไม่ดีกว่าเหรอ…’

ฟางหนิง “แกเล่าต่อไปสิ ฉันอยู่บนโลกมาระยะหนึ่งแล้ว ตอนนี้อยากจะเข้าใจภูมิหลังของยุคสมัย”

แอนเดอร์สันไม่แปลกใจเลย ที่จริงแล้วท่านพัศดีเป็นเพียงผู้รับใช้ หากมังกรจริงไม่บอกเขาก็เป็นเรื่องปกติ

แอนเดอร์สันจึงเริ่มเล่าเหมือนแชทปกติทั่วไป “ผมรู้จักคนที่มาจุติคนแรกเมื่อ 21 ปีที่แล้ว หมอนั่นคือผู้เฒ่าไป๋…”

ฟางหนิงตื่นตะลึง ชายชราท่าทางประหลาดไม่โดดเด่น เอาแต่หดหัวอยู่ใต้ดินทำโน่นทำนี่ เหลือเชื่อว่าจะมาจุติเร็วขนาดนั้น มิน่าถึงทำธุรกิจครอบครัวได้ใหญ่อย่างนี้

แอนเดอร์สันเล่าต่อไป “เวลาเริ่มต้นการฟื้นฟูพลังชีวิตน่าจะมาก่อนที่เขาจะมาจุติ ผมเคยค้นหาข้อมูลของสถาบันวิจัยทางวิทยาศาสตร์ที่เกี่ยวข้องในประเทศสหรัฐอเมริกา เมื่อ 22 ปีก่อนพวกเขาสังเกตเห็นดาวเคราะห์น้อยประหลาดจู่ๆ ก็ปรากฏขึ้นในระบบสุริยะ ที่บอกว่ามันประหลาดก็เพราะวงโคจรของมันผิดธรรมชาติ หลังจากปรากฏขึ้นก็หมุนรอบโลก แต่ว่าวงโคจรของมันค่อยๆ ลดลง และเข้าใกล้โลกขึ้นเรื่อยๆ

“หลังจากนั้นพวกเขาก็พบว่ามีการรายงานเหตุการณ์พิเศษบางอย่างในสถานที่ต่างๆ รวมถึงการปรากฏตัวของผู้จุติ เหตุผลที่ผมเดาว่าท่านผู้เฒ่าไป๋เป็นผู้จุติคนแรก เพราะตอนที่ผมรู้จักกับเขาในภายหลัง ก็เคยตรวจสอบอย่างละเอียดไปแล้วรอบหนึ่ง ก็พบกับเรื่องแปลกประหลาด นั่นคือเมื่อยี่สิบเอ็ดปีก่อน ปู่ทวดของตระกูลไป๋อ้างว่าพบเซียนตอนกลางวันและได้รับวิชาเซียน นอกจากนี้ ผมก็ไม่เคยได้รู้จักผู้จุติก่อนหน้าช่วงเวลานี้แล้ว”

เมื่อฟางหนิงได้ฟังก็เข้าใจทันที เจอเซียนตอนกลางวันอะไรกัน นั่นเป็นผีตอนกลางวันต่างหาก แล้วต่อมายังถูกผีสิงร่าง ถึงได้เริ่มโศกนาฏกรรมนี้ขึ้น…

แอนเดอร์สัน “เพราะฉะนั้นเวลาการฟื้นฟูพลังชีวิตของโลกนี้น่าจะเป็นวันที่ดาวเคราะห์น้อยปรากฏขึ้น ดาวเคราะห์น้อยยิ่งเข้าใกล้โลกมากเท่าไหร่ การฟื้นฟูพลังชีวิตก็เร็วขึ้นเท่านั้น จนกระทั่งปีที่แล้วมันชนเข้ากับชั้นบรรยากาศโลกกลายเป็นดาวตกเพลิง สุดท้ายมันเสียดสีในชั้นบรรยากาศและกระจัดกระจายสู่โลก การฟื้นฟูพลังชีวิตก็เร่งตัวขึ้นอีกขั้น คาดว่าเมื่อผ่านไปเวลาหนึ่ง ความเข้มข้นของพลังชีวิตภายนอกจะเพิ่มขึ้นอีก”

“ภารกิจสุดท้ายน่าจะเป็นการนำพรสวรรค์การฝึกฝนมาสู่สิ่งมีชีวิตทั้งหมด รวมถึงพวกเราทุกคนที่เป็นผู้จุติต่างก็ได้รับความแข็งแกร่งไม่เท่ากัน คนรุ่นหลังน่าจะไม่ได้ประโยชน์นี้อีกต่อไปแล้ว พวกยุคแรกแสดงพรสวรรค์การฝึกฝนที่ทรงพลังได้ง่าย ถูกพวกมนุษย์เรียกว่าพลังพิเศษ และต้องผ่านการวิธีการฝึกฝนที่เฉพาะตัวถึงจะค้นพบศักยภาพที่แท้จริงได้ แต่คาดว่าพวกเขาส่วนใหญ่ตลอดชีวิตก็อาจจะไม่ค้นพบมัน สุดท้ายจึงทำได้แค่ใช้วิธีฝึกธรรมดาถูๆ ไถๆ คลำทางจนกระทั่งวันหนึ่งเจอวิชาที่เหมาะสมกับตัวเองในที่สุด”

เมื่อได้ยินเช่นนี้ ฟางหนิงก็รู้สึกอยากได้บ้าง ใครบ้างไม่อยากมีพรสวรรค์การฝึกฝนที่แข็งแกร่ง แม้ว่าตนเองจะถูกระบบครองร่างเพื่อฝึกฝนตลอดทั้งวัน แต่พรสวรรค์ฝึกฝนน่าจะเป็นเรื่องแยกเดี่ยว

ทว่าคนอื่นยากจะหาวิธีฝึกฝนที่ไม่เหมือนใครเจอ แต่มันง่ายกว่ามากสำหรับเขา

ฟางหนิงกระแอมสองสามครั้ง “เสี่ยวอัน พลังจิตของแกแกร่งมาก สัมผัสได้ไหมว่าท่านพัศดีคนนี้มีพรสวรรค์ด้านการฝึกฝนแบบไหน”

น้ำเสียงของแอนเดอร์สันมั่นใจมาก “ท่านพัศดีแน่นอนว่ามีพรสวรรค์ที่แข็งแกร่งในการฝึกฝน ผมพบว่าคุณเต็มไปด้วยพลังจิต ทุกครั้งที่ผมพบคุณก็สังเกตเห็นว่าพื้นฐานของคุณเพิ่มขึ้นสม่ำเสมอ น่าจะเป็นคุณสมบัติการฝึกฝนประเภทหนึ่งที่พรสวรรค์การฝึกฝนทรงพลังเติบโตได้เองช้าๆ เท่าที่ผมรู้พรสวรรค์ประเภทนี้หาได้ยากมาก”

ฟางหนิงฟังแล้วก็ดีใจมาก แน่นอนว่าผลประโยชน์ที่ระบบมอบให้นั้นเยี่ยมจริงๆ กระดูกพื้นฐาน ความชำนาญ ความแข็งแกร่ง และอื่นๆ ปกติตนเองมักจะไม่สนใจมันเลย แต่นี่น่าอัศจรรย์มาก แม้แต่อัจฉริยะอย่างแอนเดอร์สันก็ยังตกใจ

ฟางหนิงรีบถาม “ถ้าอย่างนั้นแกพอรู้ไหมว่ามีวิธีการฝึกฝนเฉพาะตัวแบบไหนเหมาะสมที่สุดกับฉัน”

ครั้งนี้แอนเดอร์สันลังเล “ตามความรู้สึกของผมที่มีต่อท่าน ผมรู้ว่ามีวิธีฝึกฝนหนึ่งที่เหมาะกับท่านมาก แต่ไม่รู้ว่าควรจะพูดดีไหม…”

ฟางหนิงพูดไม่ออก “ตั้งแต่จุติ แกไม่ได้อยู่ที่สหรัฐอเมริกาตลอดเหรอ ได้ยินมาว่าที่นั่นคนพูดกันตรงไปตรงมานี่ รู้จักกันแค่ไม่กี่วันก็พูดเป็นกันเองได้แล้ว”

แอนเดอร์สัน “งั้นผมจะพูดตรงๆ ในความคิดของผม วิธีการที่เหมาะสมที่สุดสำหรับท่านควรเป็นวิธีการฝึกฝนที่ดำเนินการได้ด้วยตัวเอง”

ฟางหนิงเหมือนถูกตบที่หัว อดกลั้นอยู่นานไม่พูดอะไร ตัวเขาผัดวันประกันพรุ่งจนถึงขั้นอาการหนักขนาดนี้เลยสินะ

หมอนี่ถูกขังอยู่ในคุกของระบบ ส่วนตนเองอยู่ในอินเทอร์เน็ตคาเฟ่ของระบบ เพราะฉะนั้นอีกฝ่ายก็ไม่ควรรู้ชีวิตประจำวันของตนเองสิถึงจะถูก มันประหลาดมาก

เมื่อคิดถึงเรื่องนี้ ฟางหนิงจึงรีบถาม “แกสรุปออกมาได้ยังไง”

คราวนี้แอนเดอร์สันตอบตรงไปตรงมา “เพราะผมพบว่าท่านพัศดีไม่สนใจวิธีการฝึกฝน อย่างเช่นตอนนี้ผมกำลังเรียบเรียงวรยุทธ์ ผู้แข็งแกร่งคนไหนก็ตามที่ถูกจับเข้าคุกจะต้องถูกบีบบังคับให้คายเรื่องต่างๆ การฝึกวรยุทธ์ทำนองนี้ย่อมเป็นตัวเลือกแรกๆ ท่านพัศดีไม่เคยถามมาก่อนและดูเหมือนว่าคุณไม่ได้กระตือรือร้นที่จะฝึกฝนมากนัก เกรงว่าท่านไม่อาจอดทนกับวิธีการฝึกฝนทั่วไปได้”

ฟางหนิงถึงกับพูดไม่ออก ‘ฉันก็แค่เป็นพวกชอบผัดวันประกันพรุ่งเท่านั้น ถึงอย่างนั้นก็ยังถูกแกสัมผัสได้ หมอนี่พลังจิตเฉียบแหลมจริงๆ…’

ฟางหนิงถามต่อไป “งั้นแกรวบรวมวิธีการฝึกฝนแบบนั้นไว้บ้างไหม”

แอนเดอร์สัน “ไม่มี”

ฟางหนิง “น่าเสียดาย… อีกคำถามหนึ่ง แกรู้ไหมดาวเคราะห์น้อยลึกลับนั่นมาจากไหน”

คราวนี้แอนเดอร์สันพูดอย่างจนปัญญา “ผมเองก็ไม่รู้เรื่องนี้ คาดว่าในบรรดาผู้จุติก็ไม่รู้ที่มาลึกลับของมัน ความรู้มากมายที่ตระกูลผมได้สั่งสมก็ไม่มีบันทึกเรื่องทำนองนี้เอาไว้ ยากจะสรุปได้”

ฟางหนิงเอ่ยถาม “แอนเดอร์สัน แกมาจากตระกูลไหน ทำไมถึงรู้มากนัก”

น้ำเสียงของแอนเดอร์สันลังเล “เรื่องนี้ไม่พูดดีกว่า ไม่อยากทำให้ท่านพัศดีตกใจ”

ฟางหนิงมั่นใจมาก “เล่ามาเถอะ ฉันไม่กลัวอะไรทั้งนั้น”

แอนเดอร์สันพูดออกมาเพียงสามคำเท่านั้น ด้านฟางหนิงเมื่อได้ยินก็สั่นไปทั้งตัว เขารู้สึกตัวเองโชคดีมากที่ระบบไม่ได้เปิดเผยใบหน้าตอนที่ต่อสู้กับหมอนี่

ตอนนี้อีกฝ่ายเข้าสู่คุกของระบบแล้วจึงไม่ต้องกังวลเรื่องนั้นอีกต่อไป

หลังจากที่ฟางหนิงถามเรื่องที่เขาอยากรู้แล้วก็ออกจาก ‘เรือนจำมังกรศักดิ์สิทธ์’ แต่ในใจของเขากลับปกคลุมไปด้วยหมอกหนาทึบ

พอกลับไปถึงอินเทอร์เน็ตคาเฟ่ของระบบ ตอนที่ดูเกม ‘Beasts Fighting for Heroes’ บนหน้าจอคอมพิวเตอร์ก็ไม่มีแรงเล่น ชีวิตพลันห่อเหี่ยวขึ้นมาทันตา เกมนี้ไม่ใช่เกมแน่นอน มันคือโหมโรงของละครฉากใหญ่…

ยี่สิบสองปีที่แล้วพลังชีวิตเริ่มฟื้นตัว ยุคใหม่ก็เริ่มต้นขึ้นเงียบๆ ขณะนั้นใครบางคนค้นพบแนวโน้มอนาคตได้อย่างเฉียบขาด

พวกเขาเลือกที่จะผสมผสานเทคโนโลยีพลังจิตเข้ากับเทคโนโลยีสมัยใหม่ ออกแบบแบบจำลองทางนิเวศวิทยาแห่งอนาคตใหม่เอี่ยมและยิ่งใหญ่ตั้งแต่เนิ่นๆ พวกเขาพัฒนามันอย่างเงียบเชียบมาโดยตลอด ไม่หยิ่งทะนงหรือใจร้อน จนกระทั่งในที่สุดวันนี้พวกเขาก็สามารถใช้มันกับเกมนี้ได้สำเร็จ

คนอื่นส่วนใหญ่เห็นว่ารูปแบบเกมพลังจิตใหม่สนุกแปลกตาและลึกลับ แต่ฟางหนิงกลับนึกถึงนึกถึงสถานการณ์ต่างๆ ที่จะเกิดขึ้นในอนาคตอันใกล้นี้

เมื่อเทคโนโลยีนี้เปลี่ยนจากเกมสู่ความเป็นจริงแล้ว มันจะเป็นจุดสูงสุดกลายเป็นแนวโน้มทั่วไป ไม่ใช่เรื่องเกินจริงสักนิดเลยที่จะบอกว่าคนพวกนี้สนใจแต่จักรวาลและพวกเขาทรงพลังจนกลืนภูเขาแม่น้ำได้

โลกนี้กว้างใหญ่มาก มีอัจฉริยะมากหน้าหลายตา และยังมีคนที่มีความเพียรพยายามทุ่มเทเพื่อก้าวหน้าได้มากมาย ในยุคใหม่คนนิสัยเกียจคร้านอย่างตนเองจะแข่งขันสู้กับพวกเขาได้ยังไง

ถ้าไม่อุตสาหะทำงานหนักเพื่อก้าวหน้าตั้งแต่ตอนนี้ เกรงว่าอนาคตจะไม่มีชีวิตสุขสบายอิสรเสรี

หมอกหนาทึบในหัวใจของฟางหนิงเริ่มแผ่ขยายหนักขึ้นเรื่อยๆ กระทั่งเขาเห็นระบบที่วิ่งไปทั่วโดยไม่เคยคิดถึงเหตุการณ์ใหญ่และหมกมุ่นอยู่กับการจับปีศาจ จากนั้นในใจของเขาจึงค่อยๆ เปลี่ยนจากหมอกหนาเป็นท้องฟ้าสดใส ด้วยพบว่าตนเองกังวลมากเกินไป

‘ฮ่าฮ่า ปล่อยให้หมอนี่แข่งกับคู่ต่อสู้ที่ขยันขันแข็งบ้างก็ดี ขอแค่แน่ใจว่าเขาฉลาดกว่าคนพวกนั้นก็พอแล้ว’

ฟางหนิงรู้สึกพอใจมาก ตอนนั้นเองจู่ๆ ก็มีการแจ้งเตือนของระบบปรากฏขึ้นมา

หลงฝานงูดำถูกคุกคามอันตรายถึงชีวิต แผนที่ระบบใกล้เคียงถูกเปิดชั่วคราวเป็นเวลายี่สิบสี่ชั่วโมง และ ‘ความช่วยหลือพันลี้’ ได้เปิดใช้งาน ขณะนี้พันธมิตรหรือผู้ติดตามสองคนตกอยู่ในอันตรายถึงตาย กรุณาเลือกช่วยเหลือทันที

ฟางหนิงอ่านแล้วก็เบะปาก อีกตัวเป็นเจ้าหมาดำ เขาให้มันทำพิธี ‘อัญเชิญมังกร’ เป็นประจำอยู่แล้ว อีกอย่างหลงฝานก็ไม่กลัวตายด้วย เพราะฉะนั้นไม่จำเป็นต้องไปช่วยใครทั้งสิ้น…

ระบบกำลังพิจารณา…

ระบบกำลังพิจารณา…

ระบบตัดสินใจจับปีศาจเม่นบ้าเลือดกลายพันธุ์…

ระบบเริ่มต้นโหมด ‘ความช่วยเหลือพันลี้’ เตรียมช่วยเหลือพันธมิตรหลงฝาน

ฟางหนิงมองการแจ้งเตือนนั้นก็อยากจะร้องไห้แต่ร้องไม่ออก หมอนี่ไม่เคยคิดเรื่องใหญ่เลย วันๆ เอาแต่คิดเรื่องจับปีศาจสินะ…

มันคงเป็นเพราะช่วงก่อนที่หนานคุนระเบิดตนเองแล้วหลบหนีได้ทัน ทำให้ระบบหลงระเริงกับความมั่นใจ ถึงได้ทำให้ตอนนี้มันกล้าที่จะไปจับปีศาจในดินแดนมรดกของสำนักงานสัจธรรม…

ฟางหนิงรู้ดีว่าระบบจะไม่ฟังคนอื่น เขาทำได้แค่เอ่ยเตือนมันเท่านั้น “จับก็จับ แต่อย่าให้ใครเห็นเข้าล่ะ…”

………………………………………………………….