บทที่ 214 กฎหมู่หรือกฎหมาย
ฉู่เหินหัวเราะฮ่าฮ่า “กฎในครอบครัวอย่างนั้นหรือ? หลินเป่ยเฉินได้รับการคุ้มครองอย่างถูกต้องโดยกฎหมายของจักรวรรดิ แล้วกฎในครอบครัวของพวกท่าน ยิ่งใหญ่กว่ากฎหมายของจักรวรรดิหรืออย่างไร? นับว่าผู้อาวุโสหลินมีความสูงส่งเกินไปแล้ว”
หลินเจิ้นหนานสีหน้าเปลี่ยนแปลงไปเล็กน้อย ก่อนจะหันไปสบตาฟางเจิ้นหรู่ซึ่งยืนอยู่ด้านข้าง หลังจากนั้น หลินเจิ้นหนานจึงได้หันกลับมามองหน้าอาจารย์แขนเหล็ก และพูดออกมาด้วยน้ำเสียงไม่พอใจ “อาจารย์ฉู่ ท่านก็รู้ดีว่าข้าไม่ได้มีเจตนาเช่นนั้น แต่บ้านเมืองของเราให้ความสำคัญที่การศึกษามาเป็นอันดับหนึ่ง และการศึกษาก็สั่งสอนให้เราเรียนรู้ที่จะรักและเคารพผู้อื่น หลินเป่ยเฉินเกิดมามีนิสัยดื้อรั้น ชอบรังแกสตรีและผู้ที่มีความอ่อนแอกว่าตนเอง แม้แต่เด็กและคนชราเขาก็ไม่เคยละเว้น ข้าเพียงอยากสั่งสอนเขาสักเล็กน้อย พวกท่านจะมาเดือดร้อนทำไม?”
ฉู่เหินกล่าวตอบด้วยน้ำเสียงเย็นชา “ต่อให้ข้าจะเป็นเพียงอาจารย์บ้านนอก แต่ข้าก็ไม่ได้หูหนวกตาบอด ไม่ว่าผู้ใดก็ดูรู้ท่านมีเจตนาหาเรื่องหลินเป่ยเฉิน แต่ถ้าผู้อาวุโสหลินไม่ได้มีเจตนาเช่นนั้นจริง ท่านก็ต้องปล่อยให้ข้าพาตัวหลินเป่ยเฉินกลับไปเดี๋ยวนี้ ฮ่าฮ่าฮ่า”
พูดจบ อาจารย์ฉู่ก็จับแขนหลินเป่ยเฉินเตรียมลากเขาออกไป
นี่คือทางออกที่ดีที่สุดแล้ว
“ช้าก่อน” เจ้ากรมกระทรวงศึกษาฟางเจิ้นหรู่ส่งเสียงขึ้น “ผู้อาวุโสหลินกล่าวถูกต้อง จักรวรรดิของเราให้ความสำคัญที่การศึกษามาเป็นอันดับหนึ่ง จิตใจของคนรุ่นใหม่เราจะละเลยไม่ได้เด็ดขาด โดยเฉพาะเรื่องสัมมาคารวะ ในเมื่อหลินเป่ยเฉินเจอผู้อาวุโสประจำตระกูลของตัวเอง ก่อนไปก็ให้เขาเดินมาคำนับอำลาสักหน่อยสิ”
ฉู่เหินกับพานเว่ยหมินตอนแรกคิดว่าคงเกิดปัญหาใหญ่ขึ้นเสียแล้ว แต่เมื่อได้ยินคำพูดของฟางเจิ้นหรู่ พวกเขาก็ถอนหายใจออกมาด้วยความโล่งอก
แค่เดินเข้าไปคำนับ ไม่ใช่เรื่องคอขาดบาดตายสักหน่อย
อาจารย์ทั้งสองท่านขยิบตาส่งสัญญาณให้หลินเป่ยเฉินเดินเข้าไปทำตามคำสั่ง
แต่เด็กหนุ่มกลับยืนนิ่งเฉย
นับตั้งแต่ที่เขาทะลุมิติมายังโลกใบนี้ หลินเป่ยเฉินดำเนินชีวิตตามหลักการอ่อนโอนต่อผู้ที่แข็งแกร่งกว่าตนเองเสมอ เขาไม่อยากจะเป็นเหมือนซุนหงอคงในเรื่องไซอิ๋ว ที่พอขัดคำสั่งทีหนึ่ง ก็จะถูกลงโทษจนเจ็บปวดทรมานด้วยรัดเกล้าบนศีรษะ แต่ไม่รู้เลยว่าในขณะนี้เด็กหนุ่มกำลังคิดอะไรอยู่ เขาถึงได้ยืนนิ่งเฉย ไม่ยอมเดินเข้าไปหาผู้เป็นท่านอาของตนเอง
“ตกลงว่าเจ้าจะเอาอย่างไร?” ฟางเจิ้นหรู่กระซิบกระซาบ “หรือเจ้าไม่เชื่อฟังคำสั่งของผู้อาวุโสแล้ว?”
“ทำไมข้าต้องทำตามคำสั่งของท่านด้วย?” หลินเป่ยเฉินพูดสวนกลับไป
พูดออกไปแล้วเขาถึงได้นึกเสียใจ
เขาอยากจะตบปากตัวเองนัก
เด็กหนุ่มก็ไม่รู้เหมือนกันว่าตัวเองกำลังคิดอะไรอยู่
เขาเพียงรู้สึกว่ากลุ่มชายชราเหล่านี้เป็นเพียงผู้ดีจอมปลอม ไม่ควรค่าต่อการก้มหัวคำนับสักนิดเดียว
แต่เขาเพิ่งทำอะไรลงไปกันเนี่ย?
แบบนี้มันหาเรื่องใส่ตัวชัดๆ
คำพูดของเขาทำให้เกิดเสียงฮือฮาจากกลุ่มคนรอบตัว
แม้แต่สองพ่อลูกหลินเจิ้นหนานกับหลินอี้ก็ตกตะลึงไปไม่น้อย พวกเขาหัวเราะเยาะออกมาโดยไม่รู้ตัว เห็นได้ชัดว่าอาการสมองพิการของหลินเป่ยเฉินคงกำเริบขึ้นมาอีกแล้ว
นี่เท่ากับเป็นการขุดหลุมฝังศพตัวเองโดยแท้
ฉู่เหิน พานเว่ยหมิน หลิวฉีไห่ ฮันปู้ฟู่ ไป๋ชินหยุน และเยว่หงเซียงหันมามองหน้าหลินเป่ยเฉินด้วยความไม่อยากเชื่อ
พวกเขาไม่เข้าใจเลยว่าหลินเป่ยเฉินไปกินดีหมีหัวใจเสือมาจากไหนถึงได้กล้าหาญเพียงนี้?
เขารู้หรือไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นถ้าดูหมิ่นเจ้าหน้าที่ระดับสูงของกระทรวงศึกษาต่อหน้าสาธารณชน?
หรือว่าอาการทางสมองของเขากำเริบขึ้นมาอีกแล้ว?
เจ้ากรมกระทรวงศึกษาประจำเมืองหยุนเมิ่งใบหน้าซีดขาวปราศจากสีเลือด คำรามออกมาด้วยน้ำเสียงดุดัน “หลินเป่ยเฉิน เจ้าพูดจาสามหาวใส่ใต้เท้าฟาง ยังไม่รีบออกมาขอโทษอีก ผู้อาวุโสกำลังสั่งสอนเจ้า นี่นับว่าเป็นบุญของเจ้าเท่าไหร่แล้ว”
นี่คือการปูบันไดสร้างทางลงให้หลินเป่ยเฉินอย่างดีที่สุด
แต่เด็กหนุ่มกลับหัวเราะในลำคอ หันไปมองหน้าหลี่สงฟู่ด้วยแววตาเย็นชา “ข้าไม่ขอโทษ”
หลี่สงฟู่รู้สึกเดือดดาลขึ้นมาจริงๆ
ทำไมหลินเป่ยเฉินถึงได้เป็นคนดื้อด้านขนาดนี้นะ
ชายชราระงับความโกรธและอยากจะพูดอะไรออกมาอีกครั้ง แต่ก็เป็นจังหวะเดียวกับที่ฟางเจิ้นหรู่พูดแทรกขึ้นมาว่า “บิดาเป็นอย่างไร บุตรก็เป็นอย่างนั้น ถือว่าลูกไม้ตกไม่ไกลต้นจริงๆ…”
เมื่อทุกคนได้ยินคำพูดนั้น ก็ต้องเผลออุทานออกมาด้วยความตกใจ
ไม่มีใครคิดเลยว่าเจ้ากรมกระทรวงศึกษาประจำมณฑลจะกล่าวต่อ “ตอนแรกเจ้าไม่เคารพผู้อาวุโสในตระกูล ตอนนี้เจ้าไม่เคารพผู้อาวุโสจากกระทรวงศึกษา แล้วเจ้าจะเป็นผู้เข้าแข่งขันร่วมการค้นหาผู้มีพรสวรรค์ประจำเมืองได้อย่างไร? เจ้าควรค่าที่จะผ่านเข้ารอบต่อไปจริงๆ หรือ?”
พูดจบจากประโยคนี้ ฟางเจิ้นหรู่ก็หันกลับมาสอบถามหลี่สงฟู่ “หากข้าใช้อำนาจพิเศษตัดสิทธิ์หลินเป่ยเฉินออกจากการแข่งขัน คงไม่มีปัญหาอะไรใช่ไหม?”
หลี่สงฟู่ไม่ยอมตอบ
เขายังคงพยายามหาทางออกเพื่อช่วยเหลือเด็กหนุ่ม
แต่บัดนี้แทบไม่มีทางช่วยเหลือได้อีกแล้ว หลี่สงฟู่ไม่ทราบเหตุผลเลยว่าเพราะอะไรฟางเจิ้นหรู่ถึงได้จ้องหาเรื่องหลินเป่ยเฉินขนาดนี้?
“กราบเรียนใต้เท้า เด็กหนุ่มผู้นี้เคยมีอาการทางสมองผิดปกติ ยามที่อาการของเขากำเริบ เขามักจะทำเรื่องราวต่างๆ โดยไม่รู้ตัว และนี่ก็คงเป็นหนึ่งในอาการเหล่านั้น วอนใต้เท้าโปรดเห็นใจ…” หลี่สงฟู่ยังคงพยายามหาทางช่วยเหลือต่อไปด้วยความหวังริบหรี่
แต่แล้วหลินเป่ยเฉินก็ทำให้สถานการณ์แย่ลง “ข้าไม่ได้อาการกำเริบสักหน่อย บัดนี้ข้ารู้ตัวดีว่ากำลังทำอะไรอยู่…”
เด็กหนุ่มยืนอยู่ที่เดิม บนใบหน้าประดับรอยยิ้มเหยียดหยาม ก่อนที่เขาจะกล่าวต่อ “คิดว่าตัวเองเป็นเจ้ากระทรวงแล้วจะมาสั่งอะไรข้าก็ได้อย่างนั้นหรือ? ข้าไม่ได้คิดว่าหลินเจิ้นหนานเป็นท่านอาของข้าสักหน่อย เพราะฉะนั้น ข้ามีสิทธิ์ที่จะไม่คำนับเขาก็ได้ หรือว่ามันมีกฎหมายบังคับให้เยาวชนต้องคำนับคนแก่ทุกคนกันเล่า? ก็ไม่มีสักหน่อย พวกท่านควรจะดีใจด้วยซ้ำที่ข้าหัดมีความคิดนอกกรอบ เพราะมันหมายความว่าระบบการศึกษาของพวกท่าน มันยอดเยี่ยมมากไงล่ะ…”
หลี่สงฟู่พูดอะไรไม่ออกอีกแล้ว เขารู้ดีว่าเหตุการณ์ในวันนี้ ตนเองจะเข้าไปเกี่ยวข้องไม่ได้อีกเด็ดขาด
ต่อให้เขาอยากช่วยก็ช่วยไม่ได้แล้ว
คนอื่นๆ ก็ยืนงงงันเช่นกัน
แม้แต่สองพ่อลูกหลินอี้กับหลินเจิ้นหนานก็เริ่มคิดด้วยความเป็นกังวลแล้วว่า พฤติกรรมหมาบ้าของหลินเป่ยเฉินจะทำให้พวกเขาพลอยติดร่างแหได้รับความเดือดร้อนไปด้วยหรือไม่? ถ้าเป็นอย่างนั้น พวกเขาก็ควรรีบหาข้อแก้ตัวเอาไว้ตั้งแต่เนิ่นๆ ดีกว่า
ฉู่เหินกับพานเว่ยหมินสมองขาวโพลน เหมือนจะไม่รับรู้อะไรอีกต่อไป
“ศิษย์พี่…พูดได้ดะ…”
ไป๋ชินหยุนฟังคำพูดของหลินเป่ยเฉินแล้วก็ต้องตบมือโดยไม่รู้ตัว แต่ก่อนที่นางจะทันได้พูดคำว่า ‘พูดได้ดีมากเจ้าค่ะ’ ครบประโยค หลิวฉีไห่ที่ยืนอยู่ด้านข้างก็เอามือมาปิดปากนางไว้เสียก่อน
เยว่หงเซียงตัวสั่นด้วยความตึงเครียด
แต่นางก็รู้ดีว่าตนเองควรทำอะไรสักอย่าง อย่างน้อยขอแค่ไปยืนอยู่ข้างกายหลินเป่ยเฉินก็ยังดี
แต่จังหวะที่เด็กสาวกำลังจะก้าวเท้าเดินออกมานั้นเอง หลินเป่ยเฉินก็เหมือนจะกลับมามีสติอีกครั้ง เขาขยับมายืนทางซ้ายมือเล็กน้อย บังทางไม่ให้เยว่หงเซียงกับฮันปู้ฟู่เดินออกมาได้สำเร็จ พร้อมกันนั้นเขาก็ส่งเสียงกระซิบว่า “นี่ไม่ใช่เรื่องของพวกเจ้า ไม่ต้องมายุ่ง”
นี่คือเรื่องของเขา เดี๋ยวเขาจัดการเอง
การแข่งขันค้นหาผู้มีพรสวรรค์ประจำเมือง ก็ไม่เห็นจะยอดเยี่ยมอะไรสักหน่อย
คิดว่าเขาอยากจะเข้าไปแข่งนักหรือไง?
ถ้าฟางเจิ้นหรู่ไม่อนุญาตให้เขาแข่งต่อไปจริงๆ หลินเป่ยเฉินก็ตั้งใจว่าจะผันตัวไปอยู่ในหุบเขาชายแดนเหนือ ประกอบอาชีพนักล่าอสูร หรือไม่ก็ทำตัวเป็นจอมโจรคุณธรรม ออกปล้นคนรวยช่วยคนจน
คนเรามีเส้นทางในการใช้ชีวิตอยู่มากมาย
แต่เด็กหนุ่มตั้งใจมุ่งมั่นว่าเขาจะไม่ทำให้ใครเดือดร้อนเด็ดขาด
ฮันปู้ฟู่ เยว่หงเซียงกับไป๋ชินหยุนไม่เหมือนเขา ทั้งสามคนนั้นล้วนเป็นคนของโลกจอมยุทธ์แห่งนี้อยู่แล้ว ทั้งสามคนนั้นมีเพื่อนและครอบครัวของตัวเอง ก็ควรจะห่วงเรื่องอนาคตของตัวเองมากที่สุด ถ้าเกิดออกหน้ามาช่วยเหลือเขาในเหตุการณ์นี้ เกรงว่าพวกเขาทั้งสี่คนก็คงต้องกอดคอกันดิ่งลงเหวทั้งกลุ่มเป็นแน่แท้
“ข้าหลินเป่ยเฉิน จะขอพูดให้ชัดเจนในวันนี้เลยว่า ข้าจะทำแต่สิ่งที่อยากทำ ข้าจะพูดแต่สิ่งที่อยากพูด ไม่จำเป็นต้องให้ใครมาสั่งสอน และไม่มีใครสามารถบังคับข้าได้ทั้งนั้น…ฮ่าฮ่าฮ่า อย่าว่าแต่ท่านที่เป็นเพียงเจ้ากรมกระทรวงศึกษา ต่อให้เง็กเซียนฮ่องเต้เสด็จลงมาจากสวรรค์ ก็ยังไม่สามารถบังคับข้าได้ด้วยซ้ำ”
เด็กหนุ่มพูดด้วยน้ำเสียงแข็งกร้าว
พูดจบเขาก็รู้สึกสดชื่น
หลินเป่ยเฉินรู้สึกภาคภูมิใจ
ไม่ต้องสงสัยเลยว่าทำไมพวกพระเอกในนิยายถึงได้ชอบพูดประโยคเท่ๆ แบบนี้กัน เพราะว่าพูดออกมาแล้วมันรู้สึกดีแบบนี้นี่เอง
คนเราเกิดมาก็ควรกำหนดชะตาชีวิตของตัวเองได้สิ
ทำไมต้องคอยให้คนอื่นบงการด้วย
เขาไม่มีเหตุผลที่จะต้องยอมก้มหัวให้กับชายชรากลุ่มนี้สักหน่อย