บทที่ 215 หาเรื่องใส่ตัว
ห้องรับประทานอาหารบนชั้นสามตกอยู่ในความเงียบ
บัดนี้แม้แต่ทั่วทั้งโรงเตี๊ยมหว่านเซิ่งก็เงียบสนิทเหมือนอยู่ในตึกร้าง
เสียงพูดของเด็กหนุ่มก้องกังวานไปทั่วตึกเป็นระยะเวลาอึดใจใหญ่
คำพูดของเขาทำให้หลายคนที่กำลังรับประทานอาหารอยู่ถึงกับสำลักพรวด
พวกของฉู่เหินเหมือนไม่รู้จักหลินเป่ยเฉินอีกต่อไปแล้ว
พวกเขาไม่ทราบเลยว่าทำไมหลินเป่ยเฉินถึงต้องการหาเรื่องใส่ตัวขนาดนี้ อยู่ดีๆ ทำไมถึงได้ทำตัวกระด้างกระเดื่อง หรือว่าอาการทางสมองจะกำเริบ?
แต่ก็ไม่น่าจะใช่
เยว่หงเซียงกับฮันปู้ฟู่ตึงเครียดจนตัวสั่นอย่างควบคุมไม่ได้
เด็กหนุ่มและเด็กสาวทั้งสองไม่รู้ว่าสิ่งที่ตนเองกำลังรู้สึกในขณะนี้คือความตื่นเต้น ความกลัว ความตกใจ หรือมันคือความรู้สึกอะไรกันแน่
บรรยากาศตกอยู่ในความเงียบจนกระทั่งฟางเจิ้นหรู่พูดขึ้นมาว่า
“คนรุ่นใหม่ไฟแรง มีความเป็นตัวของตัวเอง นับว่ายอดเยี่ยมยิ่ง”
เขากล่าวด้วยน้ำเสียงชื่นชม “พวกเจ้ามักจะรู้สึกว่าตนเองไม่มีความหวาดกลัวและไม่จำเป็นต้องก้มหัวให้ผู้ใด แต่เจ้าไม่รู้เลยว่าทั้งสองอย่างนี้มันคือความโอหัง และเมื่อเจ้าทำตัวยโสโอหังใส่ผู้ที่มีอำนาจเหนือกว่า เจ้าก็ต้องรอรับผลที่จะตามมา…ท่านหลี่ ตัดชื่อของหลินเป่ยเฉินออกไปจากการแข่งขันเดี๋ยวนี้”
หลี่สงฟู่พยายามทัดทาน “ใต้เท้าขอรับ แต่ว่า…”
ฟางเจิ้นหรู่ยิ้มกริ่ม “หลินเป่ยเฉินเลือกเส้นทางนี้ด้วยตัวเอง ข้าอุตส่าห์หาทางลงให้เขาแล้ว หรือว่าท่านจะไม่ทำตามคำสั่งของข้าอีกคน?”
“ข้าน้อยมิกล้าขอรับ” หลี่สงฟู่รีบตอบออกมาทันที
“ไม่ได้นะ…”
ฉู่เหินทนดูอยู่เฉยๆ ต่อไปอีกไม่ไหวแล้ว เขารีบเดินออกไปพูดว่า “ใต้เท้าขอรับ…”
ฟางเจิ้นหรู่หันมามองเล็กน้อยด้วยสายตาที่คมกริบเหมือนใบมีด พลังลมปราณแผ่ออกมาจากร่างกาย กดดันให้ฉู่เหินต้องถอยหลังกลับไปหลายก้าว
“เจ้ามีอะไรจะพูดอีกหรือไม่?”
ฟางเจิ้นหรู่หันกลับมามองหน้าหลินเป่ยเฉินอีกครั้ง
เด็กหนุ่มหัวเราะในลำคอ “อะไรกัน? อย่าบอกนะว่าใต้เท้าฟางรอให้ข้าขอร้องอ้อนวอนท่านอยู่?”
หลินเป่ยเฉินยกมือนวดขมับตัวเองและกล่าวต่อ “ไม่ต้องห่วงหรอกขอรับ ต่อให้ท่านรอไปตลอดชีวิต ข้าก็ไม่มีทางขอร้องอ้อนวอนท่านแน่”
“ดีมาก นับว่าเจ้าเป็นคนกล้าหาญคนหนึ่ง” ฟางเจิ้นหรู่พยักหน้าเย้ยหยัน “เหมือนบิดาของเจ้าไม่มีผิด”
พูดจบแล้ว เขาก็หันหลังกำลังจะเดินกลับไปที่ห้องรับประทานอาหารหมายเลขหนึ่ง
ทุกคนคิดว่าเหตุการณ์คงจบลงเพียงเท่านี้
แต่ในจังหวะนั้นเอง
“ช้าก่อน”
เสียงที่นุ่มนวลดังขึ้น
ฟางเจิ้นหรู่หยุดเท้า
มีใครคิดออกหน้าช่วยเหลือหลินเป่ยเฉินเพิ่มเติมอีกหรือ?
ดวงตาของชายชราเป็นประกายวาวโรจน์ พลังกดดันที่มองไม่เห็นแผ่ออกไปรอบตัวในขณะที่หันกลับมาพูดว่า “เจ้าเป็นใคร?”
บัดนี้ แม้แต่ผู้ที่มีพลังสูงส่งอย่างหลี่สงฟู่ก็รู้สึกหัวใจเต้นผิดจังหวะ ฟางเจิ้นหรู่กำลังระเบิดความเดือดดาลออกมาอย่างแท้จริง พลังกดดันที่แผ่ออกมาจากร่างกายของเขา ทำให้ทุกคนรอบตัวหายใจไม่สะดวก และได้รับรู้แล้วว่าฟางเจิ้นหรู่มีความแข็งแกร่งมากมายเพียงใด
ประตูของห้องรับประทานอาหารด้านข้างพลันเปิดออก
เด็กหนุ่มกลุ่มหนึ่งเดินออกมา
คนที่เดินนำหน้าสวมใส่ชุดเสื้อคลุมสีแดง ใบหน้าขาวผ่อง คิ้วหนา ดวงตาเป็นประกาย จมูกโด่ง ใบหน้าเรียวยาว มีความหล่อเหลาอย่างหาที่เปรียบมิได้ บนศีรษะของเขาคาดไว้ด้วยรัดเกล้าทองคำ ดูมีสง่าราศีราวกับเป็นเทพเจ้าแห่งสงครามที่หลุดออกมาจากในเทพนิยาย
ด้านหลังของเขา มีเด็กหนุ่มหน้าตาหล่อเหลา เดินติดตามออกมาอีกหลายคน
หนึ่งในคนกลุ่มนั้นก็คือหลิงอู๋ บุตรชายคนรองของผู้ว่าการประจำเมือง
“สวัสดี อาจารย์ฟาง” เด็กหนุ่มชุดแดงประสานมือคำนับ
สีหน้าของฟางเจิ้นหรู่พลันเต็มไปด้วยความตกตะลึงพรึงเพริด เมื่อตั้งสติได้ เขาก็รีบประสานมือคำนับตอบกลับไป “ที่แท้ก็เป็นองค์ชายเจ็ดนี่เอง ขออภัยที่กระหม่อมไม่ทันได้เห็นท่าน”
องค์ชายเจ็ด?
ผู้เป็นรัชทายาทของจักรวรรดิเป่ยไห่!
ทุกคนที่อยู่ในบริเวณนั้นล้วนแล้วแต่ตกอยู่ภายใต้ความประหลาดใจ
หลินเจิ้นหนาน หลี่สงฟู่ และคนอื่นๆ ที่เหลืออยู่ไม่กล้ายืนนิ่งเฉยอีกต่อไป พวกเขาประสานมือโค้งตัวคำนับอย่างนอบน้อม “คาราวะองค์ชาย”
ก่อนหน้านี้ มีข่าวลือแพร่สะพัดแล้วว่าองค์ชายเจ็ดได้เสด็จมาประทับที่เมืองหยุนเมิ่ง เพื่อเข้าร่วมพิธีเปิดการแข่งขันค้นหาผู้มีพรสวรรค์ประจำเมือง แต่ไม่มีใครคิดเลยว่าพวกเขาจะมีวาสนาได้พบกับองค์รัชทายาทในเวลาและสถานที่เช่นนี้
“ทุกท่านไม่ต้องมากพิธี”
องค์ชายหนุ่มยิ้มแย้มอย่างอ่อนโยน หันมามองหน้าฟางเจิ้นหรู่และกล่าวต่อ “อาจารย์ฟาง องค์จักรพรรดิชื่นชมในฝีมือของหลินเป่ยเฉินเป็นอย่างมาก วันนี้ท่านคงไม่ทำให้องค์จักรพรรดิต้องผิดหวังหรอกกระมัง? เรื่องเล็กน้อยเพียงเท่านี้ ให้เลิกแล้วต่อกันไปเถิด อย่าได้ตัดชื่อเขาออกจากการแข่งขันเลย อาจารย์ฟางว่าดีหรือไม่?”
ฟางเจิ้นหรู่เบิกตาโตด้วยความไม่อยากเชื่อ
เขาไม่อยากเชื่อว่าองค์ชายจะออกหน้าช่วยเหลือหลินเป่ยเฉิน
ยิ่งไปกว่านั้น วิธีการปกป้องหลินเป่ยเฉิน องค์ชายถึงกับอ้างชื่อองค์จักรพรรดิ ซึ่งทำให้ฟางเจิ้นหรู่ยากที่จะปฏิเสธคำร้องขอ
ถ้าหากองค์ชายใช้ข้ออ้างช่วยเหลือเด็กหนุ่มเพื่อความยุติธรรม เพื่อกฎหมาย เพื่อความถูกต้อง เพื่อความเหมาะสมหรืออะไรก็แล้วแต่ ฟางเจิ้นหรู่มีหลายวิธีที่จะปฏิเสธได้อย่างบัวไม่ช้ำน้ำไม่ขุ่น
แต่เมื่ออ้างชื่อองค์จักรพรรดิเช่นนี้ เขาก็ปฏิเสธไม่ได้แล้ว
ดูเหมือนว่าเหตุการณ์ในวันนี้คงต้องเลิกแล้วต่อกันไปก่อนจริงๆ
ฟางเจิ้นหรู่มีสถานะเป็นเจ้ากรมกระทรวงศึกษาประจำมณฑลเฟิงอวี่
กระทรวงศึกษาประจำมณฑลมีอำนาจสูงส่งติดหนึ่งในสามของกรมกระทรวงที่มีอำนาจมากที่สุด
ไม่เคยมีใครขัดขวางความต้องการของฟางเจิ้นหรู่ได้สำเร็จมาก่อน
แต่อำนาจของเขาก็ยังไม่เท่าองค์รัชทายาทอยู่ดี
องค์ชายท่านนี้ถือกำเนิดเกิดในเมืองไป๋หยุน อายุยังน้อยและยังมีอนาคตยาวไกล ระดับฝีมือของเขาเก่งกล้าสามารถมากกว่าคนในรุ่นเดียวกัน และถูกยกย่องให้ติดอันดับหนึ่งในสิบองค์ชายที่มีความสามารถมากที่สุดตลอดกาล ด้วยเหตุนี้ ฟางเจิ้นหรู่จึงบอกตัวเองว่าเขาไม่ควรมีเรื่องขุ่นข้องหมองใจกับองค์ชายเพียงเพราะหลินเป่ยเฉินคนเดียว
เมื่อคิดได้ดังนั้น ฟางเจิ้นหรู่ก็สูดหายใจลึกๆ ประสานมือคำนับกล่าวว่า “ในเมื่อองค์ชายต้องการเช่นนั้น กระหม่อมก็ไม่มีสิ่งใดคัดค้าน”
“ฮ่าฮ่าฮ่า ต้องขอบคุณอาจารย์ฟางมากแล้ว” องค์ชายเจ็ดซึ่งมีนามว่าหลี่หรัวซูหัวเราะออกมาอย่างจริงใจ ก่อนจะหันมาพูดกับเด็กหนุ่มผู้เป็นต้นเหตุของเรื่องราวทั้งหมด “หลินเป่ยเฉิน เจ้าทำตัวสูงส่งเกินไปแล้ว ไม่คิดจะขอบคุณข้าสักคำเลยหรือ?”
หลินเป่ยเฉินยิ้มกว้าง เหมือนกับว่าเปลี่ยนเป็นคนละคน แล้วเขาก็ประสานมือคำนับองค์ชายอย่างนอบน้อม
“เป็นไปได้อย่างไรกัน?”
หลายคนถึงกับอุทานออกมาอย่างพร้อมเพียง
หลินเป่ยเฉินยืดตัวกลับมายืนตรงอีกครั้ง และพูดด้วยน้ำเสียงเคารพเทิดทูนว่า “ขอบคุณองค์ชายที่มอบความยุติธรรมให้แก่ข้าน้อย สมแล้วที่องค์ชายเป็นบุรุษผู้มีจิตใจรักความยุติธรรม มีความฉลาดหลักแหลมดั่งคบไฟที่สว่างไสวกลางความมืด องค์ชายเปรียบเสมือนมังกรกลางกลุ่มมนุษย์ และเป็นต้นแบบให้ข้าน้อยดำเนินรอยตามมานานแล้ว วีรกรรมที่แสนกล้าหาญในอดีตครั้งแล้วครั้งเล่าขององค์ชาย คือสิ่งที่ข้าน้อยจดจำไม่เคยลืม…”
องค์ชายเจ็ดถึงกับพูดอะไรไม่ออกแล้วเช่นกัน
ทุกคนที่อยู่ในบริเวณนั้นก็หันมามองหน้ากันเลิ่กลั่ก
หลังวินาทีแห่งความเงียบผ่านพ้นไป องค์ชายหนุ่มก็หัวเราะออกมาเล็กน้อย “จริงหรือ? วีรกรรมของข้าที่เจ้าเคยได้ยินมา มีอะไรบ้างล่ะ?”
หลินเป่ยเฉินตอบกลับไปโดยไม่ลังเลว่า “มีมากเกินไปจนข้าน้อยจำไม่ได้แล้วขอรับ”
องค์ชายเจ็ดถึงกับพูดอะไรไม่ออกอีกครั้ง
ทุกคนที่อยู่ในบริเวณนั้นหันมองหน้ากันเลิ่กลั่กมากกว่าเดิม
นี่มันอะไรกัน?
หลินเป่ยเฉินผู้ดื้อด้านคนเมื่อสักครู่นี้หายไปไหนแล้ว?
ทำไมเขาถึงได้กลับมาเป็นเจ้าแกะดำขี้ประจบประแจงเหมือนเดิมแล้วเล่า?
คนเราสามารถเปลี่ยนแปลงกันได้หน้ามือเป็นหลังมือรวดเร็วขนาดนี้เลยหรือ
คนที่ตกตะลึงมากที่สุดก็คงหนีไม่พ้นฟางเจิ้นหรู่
นี่หมายความว่าหลินเป่ยเฉินไม่เห็นตำแหน่งเจ้ากรมกระทรวงของเขาอยู่ในสายตาเลยสักนิด
“ฮ่าฮ่า หลินเป่ยเฉิน เจ้านี่มันช่างไร้ยางอายเหลือเกิน” เฉาพั่วเถียนที่ยืนอยู่ด้านข้างอดส่งเสียงเหยียดหยามไม่ได้
หลินเป่ยเฉินหันกลับไปมองและตอบว่า “แต่ข้าก็คงสู้เจ้าไม่ได้หรอก”
เฉาพั่วเถียนไม่รู้ว่าควรตอบรับอย่างไรอีกแล้ว
ในที่สุด บรรยากาศก็กลับมาผ่อนคลายอีกครั้ง
แต่ในขณะที่ทุกคนคิดว่าเหตุการณ์ความวุ่นวายในค่ำคืนนี้กำลังจะจบลง สิ่งที่ไม่คาดฝันพลันเกิดขึ้น
“หึหึ องค์ชายแน่ใจแล้วหรือว่าที่ท่านทำลงไปเป็นสิ่งที่ถูกต้อง? ท่านนำชื่อขององค์จักรพรรดิมาอ้างตามใจชอบ หากเรื่องนี้ล่วงรู้ไปถึงหูพระองค์ เกรงว่าองค์ชายคงมีปัญหาแล้ว”
เสียงที่คุ้นหูหลินเป่ยเฉินเป็นอย่างมากดังขึ้นจากกลุ่มคนที่กำลังเดินผ่านมา