บทที่ 216 บุคคลปริศนาผู้แข็งแกร่ง

เซียนกระบี่มาแล้ว![剑仙在此]

บทที่ 216 บุคคลปริศนาผู้แข็งแกร่ง

ความประหลาดใจปรากฏขึ้นบนสีหน้าขององค์ชายเจ็ดในขณะที่เขาจ้องมองไปยังชายชราผู้เดินเข้ามา

ทันทีที่เฉาพั่วเถียนได้ยินคำพูดเหล่านั้น เขาก็อดตกตะลึงไม่ได้ เด็กหนุ่มรีบหันไปประสานมือทำความเคารพ “อาจารย์…ศิษย์ขอคารวะ”

ชายชราผู้ที่ปรากฏตัวขึ้นมานี้มีอายุเกือบ 70 ปี ร่างกายของเขาซูบผอม บริเวณหางคิ้วซ้ายมีรอยแผลเป็นน่ากลัว ทำให้ใบหน้าของเขาดูชั่วร้ายอย่างประหลาด

นี่คือไป๋ไห่ชิน หนึ่งในสามเซียนกระบี่ประจำเมืองไป๋หยุน

“ที่แท้ก็เป็นอาจารย์ไป๋นี่เอง” องค์ชายหนุ่มจดจำไป๋ไห่ชินได้ดี จึงรีบประสานมือทำความเคารพโดยเร็ว “หรัวซูทำความเคารพอาจารย์ไป๋”

เขาฝึกกระบี่อยู่ในเมืองไป๋หยุน ย่อมมีสถานะเป็นลูกศิษย์ของเมืองไป๋หยุนคนหนึ่ง

ไป๋ไห่ชินเป็น 1 ใน 3 เซียนกระบี่ประจำเมือง ไม่ว่าเขาปรากฏตัวขึ้นที่ไหน ลูกศิษย์ประจำเมืองไป๋หยุนก็ต้องทำความเคารพ แม้ไม่เคยเจอหน้ากันมาก่อนก็ตาม เมืองของพวกเขาเคร่งครัดในกฎระเบียบ ต่อให้หลี่หรัวซูมีสถานะเป็นองค์ชาย แต่เขาก็ยังต้องเรียกขานชายชราว่า ‘อาจารย์ไป๋’ รวมถึงต้องทำความเคารพไม่ต่างจากลูกศิษย์ทั่วไป

ไป๋ไห่ชินพยักหน้าเล็กน้อย กล่าวว่า “องค์ชายกำลังละเมิดกฎ”

องค์ชายหนุ่มรีบพูดว่า “ถ้าอย่างนั้น ข้าคงต้องขอรับคำแนะนำจากอาจารย์แล้ว”

ไป๋ไห่ชินพูดเสียงแข็งกระด้าง “ใต้เท้าฟางตัดชื่อหลินเป่ยเฉินออกจากการแข่งขัน ล้วนเป็นเรื่องที่สมเหตุสมผลดีแล้ว แต่องค์ชายใช้อำนาจของตัวเองบังคับให้ใต้เท้าฟางยกเลิกการลงโทษ นี่คือการใช้อำนาจในทางมิชอบ อนาคตองค์ชายต้องเป็นผู้ปกครองจักรวรรดิ เรื่องเช่นนี้จะปล่อยให้เกิดขึ้นไม่ได้”

หลี่หรัวซูพูดอะไรไม่ออกเมื่อได้รับฟังถ้อยคำเหล่านั้น

หลินเป่ยเฉินที่ยืนฟังอยู่ด้านข้างชักสีหน้าด้วยความไม่พอใจ

ปรากฏว่าตาแก่คนนี้อาศัยจังหวะที่เขากำลังเพลี่ยงพล้ำ ตรงเข้ามาเล่นงานด้วยความอาฆาตแค้น

อาจารย์ติงไม่น่าไว้ชีวิตอีตานี่เลยจริงๆ

ไป๋ไห่ชินไม่ได้มีจิตวิญญาณของการเป็นเซียนกระบี่แม้แต่น้อย

ให้ตายเถอะ

“ดูเหมือนว่าอาจารย์ไป๋จะรู้จักหลินเป่ยเฉินเป็นอย่างดีเลยนะขอรับ” องค์ชายเจ็ดว่า “ไม่ทราบว่าพวกท่านเคยมีเรื่องหมางใจกันมาก่อนหรือไม่?”

ไป๋ไห่ชินตอบรับเสียงเรียบ “ไม่ใช่เรื่องหมางใจอะไรหรอก แต่เด็กหนุ่มผู้นี้เป็นเพียงคนเสเพลผู้หนึ่งในเมืองหยุนเมิ่ง หากองค์ชายจะสืบข้อมูลดูสักนิด ก็คงได้รู้ว่าเขาเคยรังแกผู้คนไว้มากมายขนาดไหน ไม่ว่าจะเป็นเด็ก สตรีหรือคนชรา หลินเป่ยเฉินก็ไม่เคยปล่อยรอดพ้นเงื้อมมือของตัวเอง เดิมทีเขามีโทษประหารชีวิต แต่องค์จักรพรรดิเมตตาเพราะเห็นว่าเป็นคนสติเลอะเลือน จึงยกเลิกโทษประหารชีวิตของเขาเสีย และปล่อยให้ได้มีโอกาสเข้ารับการศึกษาต่อไป บัดนี้ หลินเป่ยเฉินถึงกลับสามารถเข้าร่วมการแข่งขันค้นหาผู้มีพรสวรรค์ประจำเมือง ใครจะรับประกันได้ว่าในภายภาคหน้า เขาจะไม่คิดก่อการร้ายต่อแผ่นดินของพวกเรา?”

“แต่ข้าได้ยินมาว่านับตั้งแต่ที่บิดาของเขาหายตัวไป หลินเป่ยเฉินก็กลับตัวกลับใจเป็นคนใหม่แล้วนะขอรับ อาจารย์ไป๋” หลี่หรัวซูพูดด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม “เมื่อเป็นเช่นนั้น ยกโทษให้เขาสักครั้งไม่ได้เลยเชียวหรือ มนุษย์เราสมควรได้รับโอกาสแก้ตัวเสมอ ถึงแม้ว่าคนผู้นั้นจะเคยทำเลวร้ายมาก่อนก็ตาม”

ไป๋ไห่ชินส่ายหน้า ตอบว่า “เราให้โอกาสเขาไม่ได้ องค์ชาย”

ชายชรายกมือชี้หน้าหลินเป่ยเฉิน แล้วกล่าวต่อ “เด็กคนนี้มีจิตใจหยาบกระด้างโหดร้ายอำมหิต ภายนอกเขาดูเหมือนจะปรับปรุงตัวเป็นคนใหม่ แต่ภายในเขากำลังเก็บกดความโกรธแค้นไม่ต่างจากหมาป่าเดียวดายที่รอวันอาละวาด วันนี้เมื่อเขาได้มาเผชิญหน้ากับใต้เท้าฟาง หลินเป่ยเฉินก็ถึงกับแสดงธาตุแท้ของตัวเองออกมาแล้ว”

พูดจบ ไป๋ไห่ชินก็ก้มหัวคำนับให้แก่องค์ชายหนุ่มเล็กน้อย “นับเป็นโชคดีของแผ่นดินเราที่มีองค์ชายจิตใจเต็มเปี่ยมด้วยความเมตตา แต่ท่านจะเมตตาคนอย่างหลินเป่ยเฉินไม่ได้เด็ดขาด เขาชั่วร้ายมากเกินไป หากปล่อยให้มีชีวิตลอยนวลอีกไม่นาน หลินเป่ยเฉินจะต้องเป็นภัยคุกคามต่อจักรวรรดิแน่นอน”

องค์ชายเจ็ดขมวดคิ้วและไม่พูดอะไร

ทันใดนั้น เกิดเสียงปรบมือดังขึ้น

“ดีมาก พูดได้ดี”

และคนที่กำลังปรบมืออยู่นั้นก็คือหลินเป่ยเฉิน เขายิ้มแย้มขณะที่พูดว่า “ยอดเยี่ยมจริงๆ ข้าเคยเข้าใจว่าท่านเก่งกาจแต่การใช้กระบี่ ไม่คิดเลยว่าท่านก็มีความสามารถเรื่องการตีฝีปากด้วยเช่นกัน…”

ทุกสายตากำลังจับจ้องมองมาที่หลินเป่ยเฉิน เด็กหนุ่มหัวเราะในลำคอ สีหน้าไม่ยี่หระ “ในคืนประลองกระบี่ ลูกศิษย์ของท่านพ่ายแพ้ให้กับข้า ส่วนตัวท่านเองก็ต้องแพ้ให้กับอาจารย์ของข้า ก็คงไม่แปลกหรอกที่ท่านยังคงโกรธแค้นข้าอยู่ แต่คนเราจะชนะทุกครั้งที่แข่งขันได้อย่างไร? ขอบอกตามตรง หากท่านอยากชนะพวกข้าให้ได้ ก็ควรรีบกลับไปกักตัวฝึกวิชาที่เมืองไป๋หยุน แต่คิดไม่ถึงเลยว่าท่านเลือกจะใช้วิธีอยู่ในเมืองหยุนเมิ่งต่อไปเพื่อสร้างสถานการณ์รังแกข้า…”

พูดมาถึงตรงนี้ แววตาที่เด็กหนุ่มจ้องมองไป๋ไห่ชินก็เต็มไปด้วยความเหยียดหยาม “ท่านก็มีอายุอานามไม่ใช่น้อยแล้ว ไม่เข้าใจหรือว่าความน่าละอายมันเป็นเช่นไร?”

ดวงตาของไป๋ไห่ชินพลันเป็นประกายวาวโรจน์

รังสีอำมหิตแผ่ออกมาจากร่างกาย

แต่เขาก็ข่มกลั้นอารมณ์ ไม่สนใจหลินเป่ยเฉิน หันกลับไปหาองค์ชายหนุ่มอีกครั้ง “องค์ชายคงได้ยินแล้วกระมังว่าเด็กคนนี้มีความร้ายกาจอย่างไร แล้วเราจะปล่อยให้เขาเข้าร่วมการแข่งขันต่อไปได้หรือ?”

หลินเป่ยเฉินระเบิดเสียงหัวเราะฮ่าฮ่า “ท่านนี่ไร้ยางอายเกินไปแล้ว ความจริงนะ ท่านไม่ควรมาฝึกกระบี่เลย ท่านควรไปฝึกเป็นนักแสดงมากกว่า รับรองได้ว่าไม่มีใครเก่งมากไปกว่าท่านเด็ดขาด!”

“หลินเป่ยเฉิน!!!”

ไป๋ไห่ชินพลันคำรามออกมาด้วยความโกรธเกรี้ยว

เสียงคำรามของเขาดังขึ้นพร้อมกับมวลพลังลมปราณที่แผ่ออกมาเหมือนเกลียวคลื่น ดวงตาของชายชรายามที่จ้องมองหลินเป่ยเฉินคมกริบเหมือนมีดดาบ

ในขณะนี้ โรงเตี๊ยมหว่านเซิ่งถึงกับสั่นสะเทือนไปทั้งหลัง

โต๊ะอาหารของแขกในโรงเตี๊ยมสั่นไหวไม่หยุดยั้ง

ความโกรธแค้นอัดแน่นเต็มหัวใจ

แต่หลินเป่ยเฉินก็จ้องมองกลับมาอย่างไม่หวาดกลัวแม้แต่น้อย “อะไรกัน? ท่านกลัวว่าคนอื่นจะรู้ถึงธาตุแท้ของตัวเองใช่หรือไม่? เมื่อสักครู่นี้ ท่านบอกว่าองค์ชายใช้อำนาจในทางมิชอบ แต่ตัวท่านเองก็ใช้สถานะอาจารย์บังคับให้องค์ชายต้องทำตามที่ท่านต้องการเช่นกัน”

หลินเป่ยเฉินพูดออกมาด้วยน้ำเสียงมุ่งมั่นแน่วแน่

เขาไม่มีความลังเลใจเลยแม้แต่น้อย

นี่ไม่ใช่เวลาที่จะมาเสแสร้งแกล้งเป็นคนอื่น

มันคือเวลาที่เขาควรเป็นตัวของตัวเอง

ตอนที่อยู่บนโลกมนุษย์ เขาต้องพยายามใช้ชีวิตอย่างหนักในทุกวัน ต้องทำตัวเป็นลูกหลานที่ดี ต้องปั้นยิ้มใส่ทุกคนรอบข้าง เมื่อข้ามมิติมาอยู่ในโลกจอมยุทธ์แห่งนี้ หลินเป่ยเฉินก็ไม่อยากจะประพฤติตัวเช่นนั้นตลอดเวลาอีกแล้ว

อารมณ์แห่งความตื่นเต้นพุ่งพล่านไปทั่วร่างกายหลินเป่ยเฉิน

แม้แต่องค์ชายเจ็ดก็ประทับใจคำพูดของเขาอยู่ไม่ใช่น้อย

องค์ชายหลี่หรัวซูมีสถานะเป็นรัชทายาทของจักรวรรดิ เขาเคยพบเจอผู้คนมากมาย เคยได้ยินคำสอนมาหลายอย่าง แต่นี่คือครั้งแรกที่องค์ชายหนุ่มได้รับฟังข้อความที่มีแต่ความจริงใจขนาดนี้ และมันก็เป็นข้อความที่พูดออกมาจากปากของเด็กหนุ่มที่หลายคนกล่าวหาว่ามีจิตใจโหดเหี้ยมอำมหิตผิดมนุษย์มนา…

มันทำให้เขาอยากจะออกหน้าช่วยเหลือหลินเป่ยเฉินอีกครั้ง

แต่จังหวะนั้น มีคนคนหนึ่งชิงพูดตัดหน้าองค์ชายก่อนว่า

“ให้ออกจากการแข่งขันอย่างนั้นหรือ?”

เสียงพูดมีแต่ความเย็นชาไม่ต่างจากเสียงของหุ่นยนต์ดังออกมาจากห้องรับประทานอาหารที่ตั้งอยู่ด้านข้างอีกห้องหนึ่ง หลังจากนั้น เจ้าของเสียงเย็นชาก็พูดต่อไปด้วยความแข็งกระด้างเช่นเดิม “ถ้าเจ้าไม่ถอนตัวเสียอย่าง ใครจะมาขับไล่เจ้าออกไปได้? นี่คือโอกาสเพียงครั้งเดียวในชีวิตของเจ้า จงคว้ามันไว้ให้ดี ข้าไม่เห็นเหตุผลที่เจ้าจะต้องถอนตัวเพราะคำพูดของคนไม่กี่คนเท่านั้น”

สีหน้าของทุกคนเปลี่ยนไปแล้ว

คืนนี้มีเหตุการณ์พลิกผันมากมายเหลือเกิน

เจ้าของเสียงเย็นชาผู้นี้เป็นใคร?

ทำไมถึงได้กล้าหาญขนาดนี้?

ไป๋ไห่ชินหัวเราะเยาะในขณะที่มองไปทางห้องอาหาร แล้วกล่าวว่า “ไม่ทราบว่าผู้สูงส่งเป็นผู้ใด? รู้หรือไม่ว่าท่านกำลังอยู่ต่อหน้าองค์ชายเจ็ด ใต้เท้าฟางและบุคคลสำคัญอีกมากมาย? โปรดออกมาพูดคุยกันให้เห็นหน้าค่าตาดีกว่า”

ทุกสายตาจ้องมองไปทางประตูห้องอาหารนั้น

แต่ไม่มีใครเดินออกมา

“ไป๋ไห่ชิน หนึ่งในสามเซียนกระบี่ประจำเมืองไป๋หยุน ท่านเป็นคนที่ไม่ควรค่าต่อตำแหน่งนี้มากที่สุดแล้ว” เสียงพูดนั้นยังคงปราศจากอารมณ์ความรู้สึกในขณะที่กล่าวต่อ “ท่านเรียกให้ข้าออกไปหา คงเป็นเพราะว่าท่านไม่กล้าเข้ามาหาข้าเสียมากกว่า”

“โอหังเกินไปแล้ว!” ไป๋ไห่ชินระเบิดเสียงคำรามด้วยความเดือดดาล พลิ้วกายตรงไปที่ประตูห้องอาหารด้วยความเร็วสายฟ้าฟาด

ว่าแล้วไป๋ไห่ชินก็พลันบุกโจมตีด้วยความมั่นใจ ด้วยก่อนหน้านี้อารมณ์ขุ่นมัวด้วยคำพูดกวนโทสะของหลินเป่ยเฉิน และเขาก็กำลังอยากหาที่ระบายอารมณ์อยู่พอดี

ชายชราใช้พลังลมปราณกระแทกประตูเปิดเข้าไป

ทุกคนต่างคิดเป็นอย่างเดียวกันว่า ผู้ที่อยู่ในห้องรับประทานอาหารช่างโชคร้ายเหลือเกิน แต่แล้วในทันใดนั้น สีหน้าของทุกคนก็ต้องเปลี่ยนไป

“อ๊าก…”

ร่างของไป๋ไห่ชินลอยกระเด็นกลับออกมาจากด้านในห้องรับประทานอาหาร พร้อมกันนั้นชายชราก็ส่งเสียงร้องโหยหวนด้วยความเจ็บปวด

หลินเป่ยเฉินเห็นกับตาว่าไป๋ไห่ชินหมุนตัวตีลังกาถอยหลังด้วยความเร็วสูงสุด กว่าจะยืนตั้งหลักบนพื้นได้ก็ต้องเซไปหลายก้าว ร่างกายของเซียนกระบี่ชราสั่นเทา มีเลือดสีแดงสดไหลทะลักออกมาจากข้อมือไหลหยดลงไปบนพื้นโรงเตี๊ยมตลอดเวลา

พลัน ความเงียบปกคลุมบรรยากาศ ทำให้โรงเตี๊ยมแห่งนี้เงียบสงัดไม่ต่างไปจากสุสานยามเที่ยงคืน