บทที่ 217 คนผู้นั้นเป็นใครกันแน่

เซียนกระบี่มาแล้ว![剑仙在此]

บทที่ 217 คนผู้นั้นเป็นใครกันแน่

ไป๋ไห่ชินเป็นฝ่ายพ่ายแพ้!

ติ๋ง ติ๋ง ติ๋ง!

เลือดไหลหยดลงไปบนพื้นหิน

หยดเลือดกระเด็นไปทุกทิศทุกทาง

ไป๋ไห่ชินใช้มือซ้ายกำข้อมือขวาของตัวเองแนบแน่น สีหน้าของเขาเต็มไปด้วยความตะลึงงัน สองตาจ้องมองอยู่ที่ประตูห้องรับประทานอาหารตลอดเวลา

ตอนที่เขาพุ่งกายเข้าไปเมื่อสักครู่ พร้อมกับใช้พลังลมปราณผลักให้ประตูเปิดออก สายตาของเขาก็เห็นแต่แสงสว่างวาบ และเมื่อรู้ตัวอีกที ไป๋ไห่ชินก็ลอยกระเด็นออกมาจากห้องรับประทานอาหาร และประตูก็งับปิดดังเดิมแล้ว

แสงสว่างนั้นคือประกายกระบี่

กระบี่ที่รวดเร็วอย่างที่ไม่เคยเห็นมาก่อน

ความคมของมันสามารถตัดขาดได้ทุกสิ่งทุกอย่าง

ไป๋ไห่ชินพ่ายแพ้ในกระบวนท่าเดียว

ไม่ใช่สิ

นอกจากอีกฝ่ายจะสามารถเอาชนะเขาได้แล้ว

ยังสามารถทำลายภาพลักษณ์ของไป๋ไห่ชินให้เสียหายยับเยินอีกด้วย

แต่ไม่สำคัญอีกแล้วว่าบัดนี้ไป๋ไห่ชินจะมีความโกรธแค้นและเจ็บใจมากขนาดไหน สิ่งเดียวที่เขารู้ก็คือถ้าให้ต่อสู้กันอีกสิบครั้ง ร้อยครั้งหรือว่าพันครั้ง ผลลัพธ์ของการต่อสู้กับเจ้าของกระบี่ที่รวดเร็วผู้นั้น อย่างไรเสียก็ต้องออกมาเป็นเช่นเดิม…

เฉาพั่วเถียนได้แต่เฝ้ามองอาจารย์ของตนเองและไม่กล้าพูดอะไรออกมาสักคำ

แต่ในจิตใจของเด็กหนุ่มเริ่มเกิดความสงสัยขึ้นมาแล้ว

อาจารย์ของเขามีฝีมือแข็งแกร่งไร้เทียมทานจริงหรือ?

นับตั้งแต่เดินทางมาถึงเมืองหยุนเมิ่ง ไป๋ไห่ชินก็พบกับความพ่ายแพ้อย่างต่อเนื่อง

ตอนแรกก็แพ้ให้กับติงซานฉือ

จากนั้นก็มาแพ้ให้แก่บุคคลปริศนาในโรงเตี๊ยมบ้านนอกเพียงกระบวนท่าเดียว

ผลลัพธ์เช่นนี้มัน…ทำให้เฉาพั่วเถียนรู้สึกอับอายในตัวอาจารย์ขึ้นมาเล็กน้อย

ฟางเจิ้นหรู่ หลี่สงฟู่ หลินเจิ้นหนานและคนอื่นๆ ก็อยู่ในอาการตกตะลึงไม่แพ้ไป๋ไห่ชิน

โดยเฉพาะฟางเจิ้นหรู่กับหลี่สงฟู่ ด้วยทั้งสองท่านต่างก็เป็นผู้ที่มีระดับพลังสูงส่ง และรู้ดีว่าไป๋ไห่ชินได้รับการยกย่องให้เป็น 1 ใน 3 ยอดเซียนกระบี่จากเมืองไป๋หยุน ซึ่งมีน้อยคนนักที่จะได้รับเกียรติคู่ควรฉายานามนี้

ฟางเจิ้นหรู่กับหลี่สงฟู่แน่ใจว่าถ้าให้พวกเขาต่อสู้กับไป๋ไห่ชิน ตนเองคงไม่มีทางชนะเด็ดขาด

แต่บุคคลที่อยู่ในห้องรับประทานอาหารผู้นั้น กลับสามารถเอาชนะได้ในพริบตาเดียว

ไม่มีใครเห็นอย่างชัดเจนว่าเกิดอะไรขึ้นกันแน่

บัดนี้ องค์ชายหนุ่มมีดวงตาเป็นประกายแวววาว

ลึกๆ แล้ว องค์ชายมั่นใจว่าตนเองจดจำกระบวนท่าพิฆาตศัตรูเมื่อสักครู่นี้ไม่ผิดแน่ และเขาก็รู้แล้วว่าผู้ที่อยู่ในห้องรับประทานอาหารเป็นใคร

หลังจากนั้น องค์ชายหนุ่มก็หันมามองหน้าหลิงอู๋ที่ยืนอยู่ด้านข้างโดยไม่รู้ตัว

หลิงอู๋ก้มหน้าก้มตาไม่รู้ไม่ชี้ เหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น

ส่วนอีก 6 คนที่เหลือประกอบไปด้วยพวกของฉู่เหิน พานเว่ยหมิน และหลิวฉีไห่ ยังคงไม่หลุดพ้นจากอาการมึนงง

เมื่อได้ยินคำพูดของบุคคลปริศนา พวกเขาก็รับทราบทันทีว่าอีกฝ่ายมีเจตนาช่วยเหลือหลินเป่ยเฉิน!

แต่อีกคำถามที่ปรากฏขึ้นในใจของทุกคนก็คือ บุคคลปริศนาผู้นี้จะปรากฏตัวออกมาเมื่อไหร่?

หัวหน้าคณะอาจารย์อย่างพานเว่ยหมิน ฉู่เหินและหลิวฉีไห่ ต่างก็มีความรู้จักมักคุ้นกับผู้มีพลังสูงส่งในเมืองหยุนเมิ่งหมดแทบทุกคน แต่ทว่ามันก็ไม่มีใครระดับพลังสูงล้ำขนาดนี้มาก่อน

เมืองของพวกเขามีผู้ที่ฝีมือแข็งแกร่งระดับนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่?

นี่ไม่ใช่เรื่องปกติอีกต่อไปแล้ว

มีเพียงหลินเป่ยเฉินเท่านั้นที่กำลังแสดงสีหน้าประหลาดใจเล็กน้อย

ดูเหมือนเขาจะจำเสียงของบุคคลปริศนาผู้นั้นได้

ไม่ใช่สิ ต้องบอกว่าเขาคุ้นหูเสียงนี้ มากกว่าที่จะจดจำได้ว่าเป็นใคร

แต่มันก็น่าเหลือเชื่อเกินไป

ถ้าเป็นบุคคลที่เขาคิดจริงๆ คนผู้นั้นไม่น่าจะมีระดับพลังสูงล้ำขนาดนี้

หรือว่าครั้งสุดท้ายที่เจอหน้ากัน อีกฝ่ายจะซ่อนพลังที่แท้จริงเอาไว้?

หรือเป็นเพราะว่าตอนนั้นหลินเป่ยเฉินยังมีระดับพลังต่ำต้อยมากเกินไป จึงไม่สามารถสัมผัสได้ถึงความแข็งแกร่งของอีกฝ่าย?

“ข้าแพ้แล้ว”

ไป๋ไห่ชินหน้าแดงก่ำ พูดออกมาด้วยเสียงแข็งกร้าว “ได้โปรดบอกชื่อเสียงเรียงนามของท่านออกมา โปรดบอกให้ข้าได้รู้ว่าผู้ใดกันที่สามารถเอาชนะเซียนกระบี่แห่งเมืองไป๋หยุนอย่างข้าได้”

ทุกคนกางหูรอฟังคำตอบด้วยความตื่นเต้น

แต่สิ่งที่พวกเขาได้ยินกลับมากลายเป็นเสียงหัวเราะเหยียดหยาม

“ท่านจะอยากรู้ไปทำไม?” เสียงที่เย็นชาไร้ความรู้สึกดังขึ้นอีกครั้ง “ถึงรู้ไป ท่านก็เปลี่ยนแปลงผลแพ้ชนะไม่ได้อยู่ดี”

แล้วเสียงของบุคคลที่อยู่ในห้องรับประทานอาหารก็กล่าวต่อด้วยความไม่สบอารมณ์ว่า

“พวกท่านศิษย์อาจารย์เป็นบุคคลชื่อดังจากเมืองไป๋หยุน เวลาคิดจะทำสิ่งใด ทำไมไม่นึกถึงภาพลักษณ์เมืองของพวกท่านบ้าง ไม่ว่าพวกท่านจะไปที่ไหน ชื่อเสียงของเมืองไป๋หยุนก็จะติดตัวไปตลอด เสียดายที่พวกท่านร่ำเรียนวิชากระบี่มานานปีแต่กลับไม่รู้ถึงคุณค่ากระบี่ที่แท้จริง การต่อสู้ย่อมมีแพ้มีชนะ และท่านก็ควรยอมรับความพ่ายแพ้ อย่าได้คิดอาฆาตพยาบาทใครอีกเลย…ไป๋ไห่ชิน”

ไป๋ไห่ชินกัดฟันกรอดด้วยความโกรธแค้น พูดสวนกลับไปว่า “เป็นเพราะข้าคือตัวแทนของเมืองไป๋หยุนสินะ เจ้าถึงไม่กล้าออกมาแสดงตัว? ในเมื่อเจ้ากล้าที่จะทำลายภาพลักษณ์ของข้าในวันนี้ แล้วทำไมเจ้าไม่กล้าเอ่ยชื่อของตนเองออกมาเล่า? หรือว่าเจ้ากลัวที่จะโดนพวกข้าตามล้างแค้น?”

“ไร้สาระ” น้ำเสียงเย็นชาดังตอบกลับมาจากในห้องรับประทานอาหาร “ข้าหรือหวาดกลัวอำนาจของเมืองไป๋หยุน? ท่านอย่าได้หลงตัวเองให้มากเกินไป ต่อให้ท่านเป็น 1 ใน 7 เซียนกระบี่ประจำเมืองไป๋หยุน ท่านก็ไม่มีสิทธิ์มาพูดเช่นนี้ อย่าว่าแต่ตอนนี้เลย ท่านยังห่างไกลจากคำว่าเซียนกระบี่ที่แท้จริงอยู่อีกมากโข”

ไป๋ไห่ชินใบหน้าขาวซีด ยังไม่มีโอกาสได้ตอบโต้อะไรสักคำ เสียงเย็นชาไร้อารมณ์ก็พูดต่อว่า “หากตำแหน่งเซียนกระบี่ประจำเมืองไป๋หยุนตกอยู่ในมือของท่านจริงๆ ก็นับว่าคงถึงคราวอวสานของเมืองแห่งมือกระบี่เสียแล้ว เพราะฉะนั้น การมีเรื่องกับท่าน ยังจะมีอะไรให้ต้องกลัวอีก?”

สีหน้าของไป๋ไห่ชินปรากฏความประหลาดใจเพิ่มมากขึ้นและมากขึ้น

บุคคลปริศนาที่อยู่ในห้องรับประทานอาหารมีระดับพลังสูงล้ำ อย่าว่าแต่มีความแข็งแกร่งมากกว่าไป๋ไห่ชิน ถ้าจะบอกว่าเขาแข็งแกร่งกว่ามือกระบี่แทบทุกคนในเมืองไป๋หยุน ก็คงไม่ผิดด้วยซ้ำ

นับดูในจักรวรรดิเป่ยไห่ มีเพียงไม่กี่คนที่สามารถดูหมิ่นเมืองไป๋หยุนได้อย่างนี้

มือกระบี่ทั่วไปไม่มีทางกล้าพูดถ้อยคำเหล่านี้ออกมาเด็ดขาด

โดยเฉพาะมือกระบี่จากสำนักเล็กๆ ด้วยไม่ว่าจะหลบซ่อนตัวเก่งแค่ไหน ก็ไม่มีทางหนีพ้นเงื้อมมือของผู้คนจากเมืองไป๋หยุนแน่นอน

หรือว่าคนผู้นี้จะเป็นยอดฝีมือที่ซ่อนตัวฝึกฝนวิชามานานปี และไม่เคยปรากฏกายมาก่อน?

ถ้าเป็นเช่นนั้นจริง…

ไป๋ไห่ชินก็รู้สึกเสียใจแล้วที่ตนเองก่อเรื่องในค่ำคืนนี้

ไม่ว่าหลินเป่ยเฉินจะได้อยู่ร่วมการแข่งขันต่อไปหรือไม่ ก็ไม่มีผลกระทบใดต่อแผนการที่เขาวางเอาไว้เลย ไป๋ไห่ชินเพียงเสนอหน้าออกมาเพื่ออยากแก้แค้นเด็กหนุ่มเท่านั้น เพราะเขาหมั่นไส้เกินไปที่จะเห็นลูกศิษย์ของติงซานฉือทำปากเก่งอวดดีต่อหน้าต่อตา…

แต่ไป๋ไห่ชินคิดไม่ถึงจริงๆ ว่านี่คือการหาเรื่องเดือดร้อนใส่ตัวโดยแท้

ยิ่งพบว่าในขณะนี้ มีคนมากมายกำลังเฝ้ามองเหตุการณ์ด้วยความสนใจ ทำให้ไป๋ไห่ชินยิ่งรู้สึกเศร้าสลดมากกว่าเดิม

“ไสหัวไปซะ ข้าจะนับหนึ่งถึงสาม อย่าอยู่ที่นี่ให้เกะกะสายตาข้าอีก”

เสียงที่เย็นชาเหมือนเครื่องจักรกลดังออกมาจากห้องรับประทานอาหารอีกครั้ง แต่คราวนี้มันแฝงไว้ด้วยน้ำเสียงข่มขู่อยู่หลายส่วน หัวใจของหลายคนกระตุกวูบ รู้สึกหายใจไม่สะดวก เหมือนกับว่ามีภูเขาลูกใหญ่กดทับลงมาบนหน้าอกอย่างกะทันหัน

นับหนึ่งถึงสามอย่างนั้นหรือ?

ไป๋ไห่ชินไม่มีเวลาได้พูดอะไรออกมาด้วยซ้ำ เขาหมุนตัวพลิ้วกายออกไปจากโรงเตี๊ยมหว่านเซิ่งด้วยความหวาดกลัว ร่างกายหายลับไปในความมืดยามราตรี ไม่มีเหลียวหน้ามองกลับมาสักแวบเดียว

ทุกคนที่ยังอยู่ในโรงเตี๊ยมมีสีหน้าตกตะลึงและไม่อยากเชื่อ

หนึ่งในสามเซียนกระบี่ประจำเมืองไป๋หยุนเพิ่งหลบหนีไปด้วยความหวาดกลัวอย่างนั้นหรือ?

หลายคนหันมองหน้ากันเลิ่กลั่ก ฟางเจิ้นหรู่เป็นคนแรกที่กลับมาได้สติอีกครั้ง เขาหันไปทางประตูห้องรับประทานอาหาร และกล่าวว่า “ไม่ทราบว่าผู้สูงส่งเป็นใครมาจากไหน ขอเชิญท่านให้เกียรติออกมาปรากฏตัวสักครู่ได้หรือไม่?”

คำพูดและกิริยาของเขาค่อนข้างสุภาพอ่อนน้อม

“ทุกอย่างมีเวลาของมันเอง เราอย่าเพิ่งพบหน้ากันเลยดีกว่า”

น้ำเสียงของบุคคลปริศนาตอบกลับมา

“อย่างนั้นผู้เฒ่าก็ไม่ขอรบกวนแล้ว”

ฟางเจิ้นหรู่ยังคงมีสีหน้าเรียบเฉยไม่เปลี่ยนแปลง เขาหันกลับมาและเดินตรงกลับไปยังห้องรับประทานอาหารหมายเลขหนึ่งพร้อมด้วยพวกของหลินเจิ้นหนานและหลินอี้

เจ้ากรมกระทรวงศึกษาประจำเมืองหลี่สงฟู่สูดหายใจลึกขณะมองหน้าหลินเป่ยเฉินด้วยแววตาที่หลากหลายอารมณ์ความรู้สึก สุดท้ายชายชราก็หมุนตัวเดินกลับไปที่ห้องรับประทานอาหารของตนเอง โดยกล่าวทิ้งท้ายกับเด็กหนุ่มสั้นๆ เพียงว่า “วันนี้เจ้าโชคดีนัก”

ประตูห้องรับประทานอาหารปิดลง

ทุกอย่างกลับคืนสู่ความปกติอีกครั้ง

ชิวเทียนไม่กล้าพูดอะไรออกมาอีกแล้ว เขานำกลุ่มลูกศิษย์จากสถานศึกษากระบี่ที่หก เดินกลับไปยังห้องรับประทานอาหารของตนเองในลักษณะที่ก้มหน้าก้มตา ไม่กล้ามองหน้าผู้ใด

มีเพียงแต่เฉาพั่วเถียนคนเดียวเท่านั้นยังคงยืนจ้องมองหลินเป่ยเฉินอยู่ที่เดิมไม่ไปไหน