บทที่ 218 เก่งกว่าที่คาด พึ่งพาได้มากกว่าที่คิด
“หลินเป่ยเฉิน เจ้าพึ่งพาความช่วยเหลือของคนอื่นเสมอ และที่เจ้าสามารถเอาชนะข้าได้ ก็เพราะมีตัวแปรอื่นเข้ามาแทรกแซงอยู่ตลอด”
เฉาพั่วเถียนระเบิดเสียงหัวเราะ
หลินเป่ยเฉินตอบกลับไปอย่างเจ็บแสบ “หุหุ ไม่ว่าสุนัขเร่ร่อนอย่างเจ้าจะเห่าหอนอะไร ก็ไม่มีความหมายสำหรับข้าหรอกนะ”
เฉาพั่วเถียนได้รับฟังดังนั้นก็ยิ่งรู้สึกโกรธแค้นมากขึ้น แววตาที่เขาจ้องมองหลินเป่ยเฉินเป็นประกายดุร้ายยิ่งกว่างูพิษ เด็กหนุ่มผมทองกัดฟันกรอด พูดว่า “เจ้ากล้าเดิมพันกับข้าหรือไม่?”
หลินเป่ยเฉินไม่พูดอะไร
เฉาพั่วเถียนกล่าวต่อว่า “ในการแข่งขันค้นหาผู้มีพรสวรรค์ประจำเมือง หากเจ้าสามารถเอาชนะข้าได้ ข้าจะยอมทำลายวรยุทธ์ตัวเองและคุกเข่าขอโทษเจ้า แต่ถ้าเจ้าแพ้ข้า เจ้าก็ต้องทำลายวรยุทธ์ตัวเองและคุกเข่าขอโทษข้าเช่นกัน เจ้าว่าดีหรือไม่?”
หลินเป่ยเฉินยิ้มกริ่ม
“แล้วทำไมข้าถึงต้องเดิมพันกับเจ้าด้วยล่ะ?” เขาถาม น้ำเสียงราบเรียบ
เฉาพั่วเถียนตอบว่า “หรือว่าเจ้าไม่กล้า?”
หลินเป่ยเฉินมองกลับมาด้วยสายตาที่ใช้สำหรับจ้องมองตัวตลก “ข้าไม่จำเป็นต้องพิสูจน์ความกล้าหาญของตัวเองกับคนอย่างเจ้า ปัญหาก็คือ เจ้าคิดว่าตัวเองมีดีพอที่จะมาเดิมพันกับข้าได้แล้วหรือ? เจ้ามั่นใจมากแค่ไหนว่าจะสามารถเอาชนะข้าได้?”
“เอาเป็นว่านอกจากเรื่องการทำลายวรยุทธ์ตัวเองแล้ว เราควรเพิ่มจำนวนเงินเข้ามาด้วยดีหรือไม่?” เฉาพั่วเถียนกระตุกยิ้มเหยียดหยาม “ผู้แพ้ต้องจ่ายให้ผู้ชนะ 2,000 เหรียญทองคำ เจ้าคงไม่ปฏิเสธหรอกกระมัง? เพราะข้าได้ยินมาว่าเจ้าเป็นคนหน้าเงินติดอันดับต้นๆ ของเมืองนี้”
“อุ๊วะ ฮ่าฮ่าฮ่าฮ่า” หลินเป่ยเฉินเงยหน้าระเบิดเสียงหัวเราะ “ทำไมเจ้าถึงคิดว่าข้าหน้าเงินขนาดนั้น?”
นี่คือคำถามที่ทุกคนไม่จำเป็นต้องรู้คำตอบด้วยซ้ำ
เฉาพั่วเถียนเพิ่งรู้ตัวว่าตนเองทำพลาดอีกแล้ว
ในสถานที่ซึ่งมีผู้คนชุมนุมกันอยู่มากมาย หลินเป่ยเฉินไม่มีทางยอมรับเด็ดขาดว่าตนเองเป็นคนหน้าเงิน
แต่ใครจะคิดเลยว่าหลินเป่ยเฉินกลับเงยหน้ามองเพดาน และยิ้มออกมาด้วยความพอใจ สุดท้ายก็ยอมรับคำท้าทายด้วยการกล่าวว่า “ตกลง เจ้าได้รับสิทธิ์นั้นเดี๋ยวนี้”
ทุกคนที่แอบดูเหตุการณ์อยู่โดยรอบ ต่างก็ไม่อยากเชื่อสิ่งที่ได้ยิน
มีแต่คนที่พอจะเคยรู้จักหลินเป่ยเฉินมาบ้าง ที่ไม่แปลกใจแล้วว่าเพราะอะไรเด็กหนุ่มถึงยอมรับคำท้า
นั่นเป็นเพราะว่าหลินเป่ยเฉินเป็นคนหน้าเงินจริงๆ
หลินเป่ยเฉินพลันพูดด้วยน้ำเสียงสุขุมนุ่มลึก “ไม่ผิดกับที่เซียนกระบี่ลกซุนเคยพูดเอาไว้เลยว่า คนที่รู้จักตัวเราเองดีที่สุดมักจะเป็นศัตรูของเราเสมอ…การเป็นคนหน้าเงินไม่เห็นจะเป็นเรื่องที่น่าอับอายสักหน่อย มีใครบ้างที่ในชีวิตนี้ไม่ต้องการเงินทอง?”
ใครกันคือลกซุน?
เป็นจอมยุทธ์ชื่อดังจากต่างแดนหรือไร?
หลายคนเกิดคำถามขึ้นในใจ
แต่คำพูดของลกซุนดูจะคมคายอยู่ไม่น้อย
หลินเป่ยเฉินยังคงกล่าวต่อไปว่า “เพื่อเห็นแก่เหรียญทองคำทั้ง 2.000 เหรียญนั้น ข้าจะรับข้อเสนอของเจ้า…” เด็กหนุ่มเสแสร้งแกล้งทำเป็นคิดอะไรบางอย่างและกล่าวว่า “แต่นอกจากข้อตกลงที่เจ้าเสนอแล้ว ข้ายังมีข้อแม้อีกหนึ่งอย่าง”
เฉาพั่วเถียนถามออกมาทันที “ข้อแม้อะไร?”
หลินเป่ยเฉินกลับมามีสีหน้าเคร่งเครียดจริงจังอีกครั้ง
ในดวงตาของเขาปรากฏความโกรธแค้นยิ่งกว่าพายุทะเลไฟ
เขาพูดออกมาเน้นทีละคำว่า “คนแพ้ต้องตาย”
คำสี่คำนี้ดังกังวานไปทั่วโรงเตี๊ยมหว่านเซิ่ง ไม่ต่างจากเกิดเหตุสายฟ้าฟาดสี่ครั้งซ้อน
เมื่อได้ยินดังนั้น ดวงตาของเฉาพั่วเถียนก็เป็นประกายวูบวาบ ความหวาดกลัวปรากฏขึ้นมาวูบหนึ่งก่อนที่จะหายวับไป
หลายคนที่รับชมเหตุการณ์ด้วยความผ่อนคลาย พลัน สีหน้าแปรเปลี่ยนไปสู่ความตื่นตระหนกอีกครั้ง
คนที่แพ้การเดิมพันจะต้องตาย!
ปรากฏว่าหลินเป่ยเฉินไม่ได้ต้องการเพียงชัยชนะ ไม่ได้ต้องการเพียงเงินทอง แต่เขายังต้องการชีวิตฝ่ายตรงข้ามอีกด้วย
หลินเป่ยเฉินเสียสติไปแล้วจริงๆ!
แม้แต่ชีวิตของตนเองเขาก็เอามาเดิมพันได้อย่างไม่ลังเล
เฉาพั่วเถียนนิ่งเงียบไปอึดใจใหญ่เพราะไม่รู้ว่าควรจะตอบรับอย่างไรดี
“ทำไมล่ะ เฉาพั่วเถียน หรือว่าเจ้ากลัว?”
หลินเป่ยเฉินยิ้มเย้ยหยัน ดวงตาของเขาคมวาวยิ่งกว่าคมกระบี่ สามารถจ้วงแทงใบหน้าเฉาพั่วเถียนได้อย่างร้ายกาจ
“ตกลง” เด็กหนุ่มผมทองเลือดลมสูบฉีดไปทั่วร่างกาย พูดออกมาเสียงดังฟังชัด “ข้าจะยอมเดิมพันชีวิตกับเจ้า”
พูดจบแล้ว เขาก็หันหน้าไปทางห้องรับประทานอาหารหมายเลขหนึ่ง ประสานมือทำความเคารพ พูดออกมาชัดถ้อยชัดคำ “กราบเรียนใต้เท้าฟาง เมื่อสักครู่นี้ท่านคงได้ยินการเดิมพันระหว่างข้ากับหลินเป่ยเฉินแล้ว ข้าน้อยหวังว่าท่านคงจะเป็นพยานรับรู้และตัดสินผลแพ้ชนะของพวกเราด้วยความยุติธรรม”
เกิดความเงียบตามมา
ก่อนที่เสียงของฟางเจิ้นหรู่จะดังออกมาจากห้องรับประทานอาหารกังวานทั่วบริเวณ
“ไม่มีปัญหา”
เฉาพั่วเถียนระบายลมหายใจด้วยความโล่งอก เขาหันกลับมามองหน้าหลินเป่ยเฉิน พูดว่า “แล้วพยานของเจ้าอยู่ที่ไหน?”
หลินเป่ยเฉินยิ้มมุมปาก หันมาประสานมือทำความเคารพองค์ชายเจ็ด “กราบทูลฝ่าบาทที่ข้าน้อยเคารพรักเป็นอย่างยิ่ง อิอิ หลินเป่ยเฉินอยากจะรบกวนขอให้องค์ชายช่วยเป็นพยานให้กับข้าน้อยด้วยนะขอรับ”
องค์ชายเจ็ดพยักหน้ายิ้มแย้ม แม้ไม่รู้เหมือนกันว่าเด็กหนุ่มที่อยู่ตรงหน้าเขาคนนี้กำลังคิดอะไรอยู่ก็ตาม “ตกลง ข้าจะเป็นพยานให้เจ้าเอง”
นั่นเท่ากับว่าการเดิมพันครั้งนี้มีพยานรับรู้ทั้งสองฝ่ายแล้ว
นอกจากผู้มีอำนาจทั้งสองคน พยานที่รับรู้การเดิมพันในครั้งนี้ ยังรวมถึงแขกที่อยู่ในโรงเตี๊ยมหว่านเซิ่งอีกหลายร้อยชีวิต
ผู้ที่จะเข้ามาเป็นแขกในโรงเตี๊ยมแห่งนี้ได้ ย่อมไม่ใช่บุคคลธรรมดา ถ้าไม่ใช่พ่อค้ามหาเศรษฐี ก็ต้องเป็นขุนนางมียศฐาบรรดาศักดิ์ใหญ่โต มิหนำซ้ำ ระดับพลังของแต่ละคนยังสูงส่งมากกว่าคนทั่วไป
พวกเขาเพียงอยากมาชมดูเหตุการณ์ด้วยความอยากรู้อยากเห็น แต่คิดไม่ถึงเลยว่ากลับได้เป็นพยานรู้เห็นการเดิมพันที่น่าตื่นเต้นที่สุดในคืนนี้
นับว่าการเดินทางเข้าสู่โรงเตี๊ยมอันดับหนึ่งประจำเมืองมีความคุ้มค่าเหลือเกิน
“ฮ่าฮ่า หลินเป่ยเฉิน เจ้าเตรียมโลงศพให้ตัวเองไว้เถอะ” เฉาพั่วเถียนกระตุกยิ้มชั่วร้ายบนใบหน้า พูดด้วยน้ำเสียงเหยียดหยามเย้ยหยัน “คนที่มีสมองเท่าเม็ดถั่วอย่างเจ้า ไม่สามารถเอาตัวรอดจากการแข่งขันได้เด็ดขาด ข้าจะทำให้เจ้าได้เข้าใจ ว่าการเผชิญหน้ากับผู้แข็งแกร่งที่แท้จริงมันเป็นอย่างไร และเมื่อเวลานั้นมาถึง ข้าจะเหยียบย่ำเจ้าให้จมพสุธา!”
พูดจบ เด็กหนุ่มผมทองก็หมุนตัวเดินจากไป
ในสมองของหลินเป่ยเฉินฉายภาพคืนที่เกิดเหตุร้ายในหุบเขาชายแดนเหนือขึ้นมาอีกครั้ง
ฝากไว้ก่อนเถอะ เฉาพั่วเถียน ฉันจะต้องทำให้แกตายอย่างทุกข์ทรมานที่สุด
แล้วเหตุการณ์ทุกอย่างก็จบลง
องค์ชายเจ็ดและบรรดาองครักษ์หมุนตัวเดินจากไป
ในขณะที่เดินผ่านห้องรับประทานอาหารของบุคคลปริศนา องค์ชายเจ็ดชะงักฝีเท้าเล็กน้อยด้วยความลังเล แต่แล้วท่านก็ตัดสินใจเดินหน้าต่อไปไม่ได้หยุดยืน
ฉู่เหินและคนอื่นๆ ก็กลับเข้าสู่ห้องรับประทานอาหารกันอีกครั้ง
หลินเป่ยเฉินเดินไปหยุดยืนอยู่หน้าห้องของบุคคลปริศนา และกล่าวด้วยน้ำเสียงแสดงความเคารพยกย่อง “ขอบคุณท่านผู้มีพระคุณที่ช่วยเหลือ หลินเป่ยเฉินอยากจะเข้าไปขอบคุณเป็นการส่วนตัว ไม่ทราบว่าข้าน้อยจะได้รับเกียรตินั้นหรือไม่?”
“จำเป็นต้องทำอย่างนั้นด้วยรึ?”
เสียงของบุคคลปริศนาตอบกลับมา
หลินเป่ยเฉินเอียงศีรษะเล็กน้อย แล้วตอบว่า “ข้าน้อยคิดว่าจำเป็น”
“เจ้าเปลี่ยนใจแล้วหรือ?” เสียงของบุคคลปริศนาถามกลับมาอีกครั้ง
หลินเป่ยเฉินตอบกลับไปด้วยน้ำเสียงหนักแน่น “ไม่เปลี่ยนใจ”
บุคคลปริศนาตอบกลับมา “ถ้าอย่างนั้นก็ไม่ต้องขอบคุณ”
หลินเป่ยเฉินยิ้มแย้มและพูดอย่างดื้อรั้น “ไม่ ข้าน้อยคิดว่าจำเป็นยิ่ง”
หลังจากวินาทีแห่งความเงียบผ่านพ้นไป เสียงของบุคคลปริศนาก็ดังขึ้นในที่สุด “ก็ได้ เจ้าเข้ามาสิ”
หลินเป่ยเฉินผลักประตูเปิดและก้าวเท้าเข้าไปสู่ด้านในห้องรับประทานอาหาร
บัดนี้ สายตาของผู้คนจำนวนมากกำลังจ้องมองช่องว่างตอนที่ประตูแง้มเปิดออก แต่โชคไม่ดีที่แผ่นหลังหลินเป่ยเฉินบดบังสายตาของทุกคน แล้วประตูก็ถูกปิดลงอย่างรวดเร็ว
สุดท้ายแล้วใครกันแน่ที่อยู่ในห้องนั้น?
นี่คือสิ่งที่ทุกคนในโรงเตี๊ยมหว่านเซิ่งอยากรู้มากที่สุด แต่ก็ไม่มีผู้ใดกล้าถามออกมา
ด้านในห้องรับประทานอาหารของบุคคลลึกลับ…
ชายหนุ่มอายุประมาณ 25 – 26 ปีผู้หนึ่งกำลังนั่งอยู่ที่โต๊ะอาหารริมหน้าต่าง
เขาสวมใส่ชุดสีขาว ไม่มีคราบสกปรกหรือเศษฝุ่นเกาะแขนเสื้อเลยสักเม็ดเดียว เขานั่งอยู่ตรงนั้น เหมือนกับเป็นรูปปั้นที่ถูกแกะสลักเข้าชุดกับโต๊ะอาหาร รอบกายแผ่รังสีเย็นชาที่ไม่มีผู้ใดกล้าเดินเข้าไปใกล้ แต่ก็ยังไม่เย็นชาเท่าแววตาเวลาจ้องมองผู้คนของเขา กล่าวโดยสรุปก็คือ ชายหนุ่มคนนี้เป็นเหมือนเครื่องจักรกลที่ไม่มีความรู้สึกใดๆ
แต่เขาก็ได้ชื่อว่าเป็นยอดมือกระบี่รุ่นใหม่ของจักรวรรดิ มีสถานะเป็นบุตรชายคนโตของท่านเจ้าเมืองหลิง รวมถึงมีตำแหน่งเป็นพี่ชายคนโตของหลิงอู๋กับหลิงเฉิน
ชายหนุ่มผู้นี้คือหลิงฉือ!
เมื่อได้พบหน้าชายหนุ่มตัวจริง ข้อสงสัยในหัวใจของหลินเป่ยเฉินก็จางหายไป
หลินเป่ยเฉินไม่เคยคิดเลยว่าพี่ชายคนโตของหลิงเฉิน ซึ่งเป็นนายทหารหนุ่ม จะมีฝีมือแข็งแกร่งในระดับที่สามารถเอาชนะไป๋ไห่ชินผู้เป็นหนึ่งในสามเซียนกระบี่จากเมืองไป๋หยุนได้ในกระบวนท่าเดียว มิหนำซ้ำ ยังสามารถซัดชายชราปลิวกระเด็นกลับออกไปจากห้องรับประทานอาหารได้อย่างง่ายดายอีกด้วย!
กล่าวได้ว่าหลิงฉือเก่งกว่าที่คาด และสามารถพึ่งพาได้มากกว่าที่หลินเป่ยเฉินคิดหลายเท่านัก!