บทที่ 31 หุบเขาลึก

บุหลันเคียงรัก

ฝูชางกลั้นหายใจและซ่อนอยู่ในเงาหิน เหลือเพียงดวงตาคู่หนึ่งที่คอยมองไปรอบด้านอย่างระแวดระวัง

 

 

ตอนนี้พวกเขาอยู่ในส่วนลึกของหุบเขา อาศัยสภาพแวดล้อมที่ซับซ้อนและเวลากลางดึกซ่อนอยู่ในส่วนลึกของภูเขาไม่กล้าขยับไปไหน ปีศาจปลาดุกตัวนั้นแข็งแกร่งเกินกว่าที่คาดหมายมาก แม้แต่กระบี่วิเศษอย่างฉุนจวินยังฟันได้แค่ผิวด้านนอกของนางเท่านั้น หากว่ายังรั้งอยู่กับนางคงได้เอาชีวิตมาทิ้งแน่

 

 

ทำได้แค่หลบซ่อนอยู่ที่นี่ก่อนชั่วคราวและคอยเปลี่ยนแปลงไปตามสถานการณ์

 

 

กลางดึกในเดือนเจ็ดของโลกมนุษย์เดิมควรจะมีอากาศร้อนชื้น แต่ว่าฝูชางกลับรู้สึกว่าอากาศรอบๆ หนาวเย็นลงเรื่อยๆ พอก้มลงไปมองก็เห็นว่าบนพื้นไม่รู้ว่ามีชั้นน้ำแข็งจับตัวขึ้นมาตั้งแต่เมื่อไหร่

 

 

เขาหันหน้ากลับไปก็เห็นเสวียนอี่นั่งกอดเข่าอยู่ในเงามืดตรงนั้นนิ่งเงียบอย่างผิดปกติ

 

 

เขานึกขึ้นมาได้ว่าเมื่อครู่นี้นางถูกแส้อ่อนของปีศาจปลาดุกรัดเข้าที่ขา แส้ทั้งสองเส้นนั้นมีรูปลักษณ์ประหลาดซ้ำยังเหนียวมาก เก้าในสิบส่วนคิดว่าน่าจะทำมาจากหนวดของปลาดุก องค์หญิงมังกรมีอายุน้อย เกรงว่านางคงจะได้รับบาดเจ็บแล้ว

 

 

“เจ้าเป็นอย่างไรบ้าง” ฝูชางก้มตัวลงแล้วพิจารณานางดูผาดๆ

 

 

เสวียนอี่หดตัวไปด้านหลังแล้วกล่าวออกมาเสียงเย็นว่า “ยังไม่ตาย ทำให้เจ้าผิดหวังแล้ว”

 

 

ฝูชางดึงมือของนางที่ใช้กุมเข่าออกอย่างไม่เกรงใจแล้วกล่าวเสียงเรียบนิ่งว่า “มนุษย์ปุถุชนถึงจะเรียกว่าตาย เผ่าเทพมีแต่ดับสูญ ตำราของอาจารย์เจ้าไม่ได้อ่านหรือ”

 

 

ที่น่องด้านขวาของนางแดงไปทั้งแถบ นางได้รับบาดเจ็บแล้วจริงๆ มิน่าเล่าพลังเทพถึงได้ล้นออกมาด้านนอกอย่างควบคุมไม่ได้และทำให้พื้นของหุบเขากลายเป็นน้ำแข็งไปหมด

 

 

“ตระกูลหวาซวีช่างทนต่อความยากลำบากจริงๆ นับถือนับถือ” เสวียนอี่กล่าวเสียดสีออกมา แล้วดึงชายกระโปรงที่ถูกเขาถลกขึ้นไปลงมาใหม่ “อย่าแตะต้องข้า”

 

 

หากไม่ใช่เพราะเขา นางจะตกอยู่ในสถานการณ์ยุ่งยากอย่างนี้หรือ

 

 

ฝูชางค่อยๆ ถอดเข็มขัดและถอดชุดคลุมด้านนอกออก คลุมตั้งแต่ศีรษะนางลงไปถึงเท้า “พลังเทพเจ้าล้นมาด้านนอก คลุมเอาไว้ ชุดคลุมนี้สามารถเก็บพลังเทพได้ อย่าให้ปีศาจปลาดุกนั่นรู้ตัวได้”

 

 

เสวียนอี่ไม่ได้ต่อต้าน ร่างทั้งร่างก็ซ่อนอยู่ภายใต้ผ้าคลุม แล้วเขาก็ใช้มือดึงไปที่ผ้าแพรคลุมไหล่ของนาง นางรีบกำเอาไว้แน่น แล้วถลึงตาใส่เขา “ทำอะไร”

 

 

“เจ้าคิดว่าอย่างไรล่ะ” แล้วเขาก็ฉีกผ้าแพรที่น่าสงสารผืนนั้นเป็นสองชิ้นทันที แล้วจับไปยังขาที่เตะไปทั่วของนางเอาไว้พลางใช้ผ้าแพรพันรัดไปยังขาขวาที่บาดเจ็บของนาง เลือดเทพจะมีกลิ่นหอมที่เข้มข้น หากว่าไม่พันแผลเอาไว้ ก็ไม่สามารถปิดบังจมูกของปีศาจปลาดุกไม่ได้

 

 

เสวียนอี่อาศัยช่วงที่นางห่อแผลเคลื่อนร่างของตัวเองออกไป ตอนนี้นางไม่มีอารมณ์จะมาล้อเล่นกับเขาแล้ว นางรำคาญเขาจะตายแล้ว เจ้าคนป่าเถื่อนหยาบคาย! จ้าคนเย่อหยิ่งอวดดี! ทุกครั้งที่พบเขาไม่เคยจะมีเรื่องดีเลย!

 

 

ใครจะรู้ว่าเขาจะจับนางยกขึ้นราวกับกำลังถือถุง นางออกแรงดิ้นรน “อย่ามาแตะข้า! “

 

 

นางออกแรงและเคลื่อนไหวรุนแรงทำให้แผลที่ขาของนางมีเลือดไหลออกมาอีกครั้ง ฝูชางขมวดคิ้วแล้วใช้มือจับไปที่ขาของนาง แล้วใช้ผ้าที่เหลืออีกด้านมัดขาทั้งสองของนางเข้าด้วยกัน

 

 

เพราะกลัวว่าปีศาจปลาดุกจะหาเจอ เสวียนอี่จึงไม่กล้าด่าออกมาและยิ่งไม่กล้าดิ้นแรง จึงได้แต่ใช้มือดึงทึ้งผมของเขาและตีอย่างรุนแรง

 

 

ผลของการกระทำอย่างนี้ทำให้แขนทั้งสองข้างของนางเองก็ถูกรัดเข้าด้วยกันด้วย

 

 

“ตระกูลหวาซวีที่สูงศักดิ์และมีมารยาท ช่างสมชื่อจริงๆ ! ” เสวียนอี่โมโหจนเสียงสั่น

 

 

ฝูชางจับไปที่ผ้าคลุมที่หย่อนลงมาแล้วคลุมให้มิดชิดอีกครั้ง จนนางกลายเป็นดักแด้ และทำได้แค่ขยุกขยิกไปมา เขาถึงได้ถอนหายใจออกมา “ตระกูลจู๋อินที่องอาจกล้าหาญเชี่ยวชาญการต่อสู้เอง ก็ร้ายกาจมากเหมือนกันนี่”

 

 

“เจ้ารอไปก่อนเถอะ! ” นางอายุถึงเก้าพันเจ็ดร้อยปีแล้ว ยังไม่เคยเตะถูกแผ่นเหล็กแข็งขนาดนี้มาก่อนเลย ฝูชางคนนี้เกิดมาเพื่อเป็นอริกับนางจริงๆ อ่อนแข็งไม่ได้ผล แผนการมากมาย

 

 

ฝูชางจับนางที่ถูกห่อเป็นดักแด้มาพันรัดไว้กับเอว มือข้างหนึ่งก็จับไปที่กระบี่ฉุนจวิน อีกข้างก็อุ้มนางเอาไว้ จากนั้นจึงลุกขึ้นแล้วมองไปรอบด้าน พลางเดินไปยังส่วนลึกของหุบเขาพร้อมกับกล่าวว่า “ตั้งแต่นี้ไป หากว่าเจ้าพูดมาอีกคำ ข้าจะจับเจ้าโยนเอาไว้ที่นี่”

 

 

องค์หญิงตระกูลจู๋อินที่เย่อหยิ่งถือดีมาตลอด ตอนนี้อัดอั้นจนนิ่งเงียบไม่ขยับอีก

 

 

นางอยากจะเหยียบเจ้าฉุนจวินนี่ให้กลายเป็นเศษดินเสียเลย แต่ว่านางทำไม่ได้ แผลที่ขานางก็เจ็บ ท้องก็หิว แขนขาก็ขยับไม่ได้ ด้านนอกยังมีปีศาจปลาตามไล่ฆ่าพวกเขาอีก วันนี้นางซวยจริงๆ เป็นเพราะเจ้าคนสารเลวนี่แท้ๆ ที่ลากนางเข้ามาเอี่ยวด้วย

 

 

ฝูชางเดินไปตามทางดินเล็กๆ ครู่หนึ่งก็รู้สึกว่ารอบด้านเงียบผิดปกติ ไม่มีเสียงแมลงหรือสัตว์ใดๆ สักนิด ในโลกเบื้องล่าง เหตุการณ์อย่างนี้เรียกว่าไม่ปกติอย่างมาก เขาหรี่ตาน้อยๆ แล้วเงยหน้ามองยังเขาสูงรอบด้าน เขาไม่คุ้นเคยกับลักษณะเขาสูงของโลกเบื้องล่างนี้นัก ที่นี่เป็นหน้าผาสูงชัน เขาตั้งตระหง่าน หุบเขาที่ไม่มีแสงแดดส่องผ่านลงมานานทำให้ที่นี่เต็มไปด้วยไอหยินเข้มข้น ซึ่งเป็นที่ที่เหมาะกับการเจริญเติบโตของปีศาจอย่างมาก

 

 

คิดได้ดังนั้น เขาก็หยุดฝีเท้าลงและไม่เดินเข้าไปยังส่วนลึกของเขาอีก เขาหาที่ว่างที่มีหินวางต่อๆ กันแห่งหนึ่งแล้วค่อยๆ นั่งลงพิงผนัง พร้อมทั้งอุ้มเสวียนอี่มาไว้ด้านหน้าบนขาข้างหนึ่งของเขาแทน

 

 

องค์หญิงน้อยตระกูลจู๋อินมองไปที่เขาด้วยสีหน้าไร้ความรู้สึก ไม่พูดอะไรออกมา

 

 

ฝูชางรู้สึกชื่นชมความรู้กาลเทศะของนางมาก สามารถทำให้เรื่องถึงขั้นเลวร้ายจนหมดทางแก้ไขได้นับได้ว่าเป็นความสามารถอย่างหนึ่ง

 

 

เขาเอาตำราเล่มหนาที่อาจารย์ให้ออกมาจากในอกแล้วนั่งอ่านเงียบๆ

 

 

สถานการณ์อย่างนี้เขายังสามารถนั่งอ่านตำราได้อีก เขาจะต้องสติไม่ดีเป็นแน่…เสวียนอี่แอบเชือดเขาอย่างโหดเ**้ยมอยู่ในใจ

 

 

กลางดึกในหุบเขาเงียบสนิท ไม่รู้ผ่านไปนานเพียงใด ฝูชางรู้สึกว่าองค์หญิงน้อยคนนี้ง่วงนอนจนสัปหงกไปหลายครั้ง นางเองก็หยิ่งมาก ต่อให้นั่งบนขาของเขานางก็ยังนั่งหลังตรงด้วยท่าทีที่ต่อให้ตายก็จะไม่ยอมอ่อนข้อเด็ดขาด

 

 

เขาเปิดปากพูดออกมาคำหนึ่งว่า “นอน”

 

 

เดิมคิดว่าองค์หญิงน้อยจะต้องพูดจาเสียดสีออกมาอีกแน่ แต่ใครจะรู้ว่านางกลับแค่ถอนหายใจออกมาเบาๆ แล้วกล่าวด้วยน้ำเสียงอ่อนลงว่า “ข้าหิวแล้ว”

 

 

สายตาของฝูชางหยุดอยู่ที่หน้าตำรา ขนตายาวเป็นแพทิ้งเงาเอาไว้ที่ใบหน้าสองสาย แล้วกล่าวเสียงเรียบว่า “ทนไว้”

 

 

เสวียนอี่เอาหัวเอนซบบ่าของเขา แล้วก็เขยิบเข้าไปใกล้จนหน้าผากแทบจะชิดกับคางของเขา “ข้าไม่ได้ถึกทนอย่างเจ้านะ ข้าเพิ่งจะอายุแค่เก้าพันกว่าปี และยังบาดเจ็บอีก เจ้าจะบอกให้ข้าอดทนอีกหรือ”

 

 

เขาไม่พูดอะไรราวกับไม่ได้ยินเสียงนางแล้วจดจ่อกับตำราต่อ ผ่านไปครู่หนึ่ง ที่หูก็รู้สึกเย็นขึ้นมา องค์หญิงมังกรที่ใจกล้าคนนี้กลับอ้าปากแล้วใช้ฟันขบไปที่หูของเขาเบาๆ เขารู้สึกขนลุกขึ้นมา ตัวแข็งทื่อไป

 

 

“ศิษย์พี่ฝูชาง หากว่าท่านยังไม่ปล่อยข้า ข้าจะกัดหูท่านให้ขาดเลย” เสียงของนางนุ่มนวลอ่อนหวาน แต่กลับแฝงไปด้วยไอสังหาร

 

 

เขากะพริบขนตายาวเป็นแพนั่น “อ้อ เจ้าลองดูสิ”

 

 

เสวียนอี่ยังไม่ทันจะได้พูดอะไรออกมา ก็รู้สึกว่าคางถูกเขาหยิก นิ้วทั้งห้าของเขาเหมือนจะถูกที่แผลของนางเข้า นางเจ็บจนร้อง “อ๊ะ” ออกมา แล้วนางก็ถูกเขาคว้าปกเสื้อแล้วยกมาด้านหน้าของเขา

 

 

ฝูชางจับจ้องมองนาง นิ่งงันอยู่นาน นานจนเสวียนอี่รู้สึกขนหัวลุก เขาจึงเอ่ยขึ้นว่า “ยังอยากจะหนีไปคนเดียวอีกหรือไม่ หืม”

 

 

เสวียนอี่นิ่งเงียบไป

 

 

หูที่ถูกกัดทิ้งความรู้สึกประหลาดเอาไว้ ฝูชางมองไปยังแสงจันทร์ที่สาดส่องลงมายังใบหน้าของนาง และริมฝีปากฉ่ำสวยของนางเงียบๆ

 

 

ไม่รู้ทำไม เขายิ่งไม่ชอบนางก็ยิ่งอยากจะยั่วนางให้โมโห ยิ่งถ้าหากนางโมโหจนแทบคลั่ง เขาก็ยิ่งรู้สึกอารมณ์ดี กับนางแล้ว มันเป็นความรู้สึกที่ทั้งระอาและติดใจ เป็นความทรมานที่เต็มไปด้วยความสุขที่ไม่ดี

 

 

ทุกครั้งที่อยู่กับนางนานเข้า เขาก็จะเกิดความรู้สึกประหลาดอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน ความชั่วร้ายที่แอบซ่อนอยู่ในส่วนลึกของจิตใจก็มักจะโผล่ออกมา ตัวเขาเองก็ยังพูดไม่ได้ว่า จริงๆ แล้วเขาอยากจะออกห่างจากนางเพราะไม่ชอบนาง หรือว่ารอคอยความรู้สึกมีความสุขประหลาดนั่นเวลาอยู่กับนางกันแน่

 

 

เขาอยากจะขยี้องค์หญิงที่น่ารังเกียจนี้ให้แตกสลายไปเสีย อยากจะทำให้นางโมโหจนทำอะไรไม่ได้ และยังอยาก…ยังอยาก…

 

 

สีหน้าของเขาพลันเปลี่ยนไป ใช้มืออุดปากเสวียนอี่ จากนั้นเสียงที่โกรธแค้นของปีศาจปลาดุกพลันดังขึ้นมา “องค์หญิงน้อยตระกูลจู๋อิน เจ้าหลบอยู่ที่ไหนแล้ว เจ้าต้องหลบให้ดีๆ นะ อย่าให้ข้าหาเจ้าเจอ ไม่อย่างนั้นข้าจะค่อยๆ กินเจ้าอย่างช้าๆ กินตั้งแต่เท้าขึ้นมา ให้เจ้ามองร่างของตัวเองค่อยๆ กลายเป็นกระดูก! “