ตอนที่ 19 - 2 ทารุณหมิงเฉิงไม่บอกเจ้า

เขาสั่งให้ข้าเป็นราชินี [ส่วนที่ 2]

การสังหารเป็นเรื่องที่ทั้งแสนลำบากทั้งแสนเรียบง่ายเสมอ

 

 

เหยียลี่ว์ฉีเลื่องนามว่าเป็นหนึ่งในลูกหลานที่อัจฉริยะที่สุดในร้อยปีที่ผ่านมาของตระกูลเหยียลี่ว์ แท้จริงแล้วหลายปีมานี้ยามอยู่ตี้เกอ เขาซุกซ่อนความสามารถมาโดยตลอด ซ้ำยังพะว้าพะวังด้วยเพราะเรื่องตัวประกัน ยามที่เขาแสดงทักษะสังหารออกมาอย่างแท้จริง องครักษ์ยอดฝีมือเหล่านั้นจึงได้แต่น้อมรับการเข่นฆ่า

 

 

ประกอบกับจิ่งเหิงปัวที่เสมือนภูตพราย เฟยเฟยที่มีความสามารถในการมอมเมา ความคิดสังหารที่โผล่มาข้างกายบ่อยครั้ง…ก้อนหินที่พลันร่วงลงมาจากบนฟ้า มีดที่พลันทะลุออกมาจากข้างหลัง แผ่นกระเบื้องที่พลันกระเดิดขึ้นบนหลังคาบ้าน แต่ละครั้งเกิดขึ้นโดยไม่คาดคิด แต่ละครั้งดูคล้ายไม่สำคัญ ทว่าท่ามกลางการต่อสู้ดุเดือด เพียงพอจะช่วงชิงโอกาส แม้กระทั่งทำให้คนสิ้นลมได้

 

 

หลังต่อสู้อยู่สักพัก ผู้สิ้นชีพโดยอธิบายสาเหตุไม่ได้ยิ่งมีเพิ่มขึ้น จนทำให้หลายคนยิ่งต่อสู้ยิ่งขวัญเสีย เริ่มสงสัยว่ามีผีสางเทวดาคอยช่วยเหลือเหยียลี่ว์ฉี หรือสตรีชุดครามผมสยายนางนั้นเป็นปีศาจใช่หรือไม่ งดงามพิลาสเช่นนี้เคลื่อนไหวรวดเร็วเช่นนี้ สังหารคนมากมายขนาดนั้น ในแววตาบยังคล้ายยังเจือด้วยรอยยิ้ม

 

 

ร่างทยอยร่วงหล่นดุจเกล็ดหิมะ ร่วงพื้นแล้วละลายน้ำโคลนเงียบเชียบ ผ่านไปไม่นาน บนหลังคาบ้านเหลือเพียงผู้ชราสี่คน ดูจากการแต่งกายแล้ว น่าจะอยู่ระดับเดียวกันกับท่านผู้ยิ่งใหญ่ที่ข่มขู่เหยียลี่ว์ฉีคนนั้น ฉะนั้นจึงยากจะต่อกรเป็นพิเศษ

 

 

พลั่ก จิ่งเหิงปัวกับเหยียลี่ว์ฉีหันหลังชนกัน ทั้งสองคนกำลังหอบหายใจ

 

 

“เจ้าไปเถิด” เหยียลี่ว์ฉีเร่งเร้าเป็นรอบที่สี่ น้ำเสียงสงสารเล็กน้อย เอ่ยว่า “เหลือเพียงสี่คนแล้ว ข้าจัดการได้ในกระบวนท่าเดียว”

 

 

“จากนั้นก็หมดแรงบาดเจ็บสาหัส ถูกกองทหารประจำการที่โอบล้อมหลายชั้นจับกุมน่ะหรือ?” นางหัวเราะ

 

 

“ค่ำคืนนี้สมองเจ้าใช้การไม่ได้โดยแท้” เขาหัวเราะ แล้วเอ่ยว่า “รีบนึกให้ออกว่าข้าเป็นศัตรูของเจ้า ข้าเคยทำร้ายเจ้ากี่ครั้ง เจ้าลืมไปแล้วหรือ? พยายามช่วยข้าสุดชีวิต เจ้าก็ไม่กลัวว่าภายภาคหน้าจะถูกกงอิ้นหัวเราะเยาะหรือ? ด้วยนิสัยเช่นเจ้านี้ จะไปช่วงชิงโลกหล้าจากเขาได้อย่างไร จะแก้แค้นได้อย่างไร?”

 

 

ได้ยินชื่อนั้น นางก็รู้สึกหวั่นไหวเล็กน้อย

 

 

ครู่นั้นในใจดุจถูกเพลิงแผดเผาดัง ฟึ่บ ครั้งหนึ่ง ปวดแสบปวดร้อน

 

 

ข้างหน้ามีเสียง ฟึ่บ เช่นกัน เมื่อนางเชิดสายตา มองเห็นผู้ชราคนหนึ่งพุ่งมาพอดี กระบี่ดำในมือสั่นไหวดุจอสรพิษแลบลิ้น

 

 

ด้วยเพราะเสียสมาธิ ด้วยเพราะในใจเจ็บปวด นางคิดจะหายตัวแต่ชะงักงัน

 

 

หายตัวไม่ได้แล้ว!

 

 

กระบี่ใกล้ถึงหน้าผาก!

 

 

เรือนร่างพลันถูกคนออกแรงหมุนวนเป็นวงกลมหนึ่งร้อยแปดสิบองศา จากนั้นนางรู้สึกว่าบนไหล่เจ็บปวด มองเห็นกระบี่ท่อนหนึ่งเฉียดผ่านหัวไหล่ เกิดเป็นรอยเลือดผืนหนึ่ง

 

 

มุมนี้…

 

 

ข้างหลังคือแผ่นหลังของเหยียลี่ว์ฉี หมุนเป็นวงกลมแทนที่ตำแหน่งของนาง เขายืนอยู่หน้ากระบี่แล้ว

 

 

ขณะนั้นเขาไม่ทันได้ทำท่าทางอะไร…

 

 

พอนางหันข้าง มองเห็นกระบี่นั้นยังเสียบทะลุอยู่ข้างหลังเขาจริงด้วย

 

 

ถ้าเมื่อครู่ไม่ได้สลับตำแหน่ง ตำแหน่งประมาณนี้น่าจะทะลุผ่านหัวใจนางพอดี

 

 

ผู้ชราที่จู่โจมสำเร็จหัวเราะลั่น กำลังจะร้องเรียกสหายไล่ล่าสังหารผู้อ่อนล้าถึงขีดสุด

 

 

เหยียลี่ว์ฉีพลันเอื้อมมือเปล่าหักกระบี่ดัง แกร๊ก ฉวยโอกาสสะบัดออก

 

 

กระบี่หักครึ่งท่อนพุ่งออกมาปานอสนีบาต แทงเข้าหน้าอกของผู้ชรานั้นดังฉึก

 

 

รอยยิ้มของผู้ชราผลิแย้มครึ่งหนึ่งแล้วเยือกแข็ง เรือนร่างร่วงหล่น อาจจะด้วยเพราะเหยียลี่ว์ฉีบาดเจ็บสาหัสพละกำลังหดหาย เขาคล้ายไม่ได้ถูกทำร้ายจนถึงชีวิต ยามร่วงหล่นยังพลิกกาย ใบหน้าก้มลง ตระเตรียมเอื้อมมือตบพื้นกระโจนขึ้นอีกครั้ง

 

 

จิ่งเหิงปัวที่อยู่บนหลังคาบ้านสะบัดมือทันที

 

 

ใบหน้าของผู้ชราคนนั้นก้มลงข้างล่าง เผชิญหน้ากับศพสหายศพหนึ่งพอดี แน่นอนว่าคนเช่นนี้ย่อมไม่มีความหวาดกลัวอะไรต่อศพ กำลังจะตบฝ่ามือไปยังศพ

 

 

ศพพลันยกมือเพียงครั้ง กระบี่ที่กุมไว้ในมือแม้ยามสิ้นชีพแทงเข้าหน้าอกเขา!

 

 

โลหิตสาดกระเซ็น

 

 

ศพใหม่ร่วงพื้นดังพลั่ก

 

 

ผู้ชรามีสีหน้าหวาดผวาแม้ยามสิ้นใจ…เหตุใดสหายที่สิ้นชีพไปแล้วยังสังหารคนได้?

 

 

สามคนที่เหลืออยู่นั้นก็มองเห็นฉากนี้ด้วย พวกเขาตกใจจนโลหิตทั่วร่างเยือกแข็ง เรือนร่างแข็งทื่อชั่วพริบตา

 

 

เพียงพริบตานี้ เรือนร่างของเหยียลี่ว์ฉี จิ่งเหิงปัวและเฟยเฟยกะพริบวูบพร้อมกัน

 

 

เหยียลี่ว์ฉีตบใบหน้าของผู้ชราฝั่งตะวันออกด้วยฝ่ามือเดียว ใบหน้าของคนผู้นั้นพลันยุบลงไปอย่างแปลกประหลาด

 

 

กริชของจิ่งเหิงปัวทั้งแทงทั้งคว้านดุจงูพิษตัวหนึ่ง คอหอยของผู้ชราฝั่งตะวันตกมีน้ำพุโลหิตพวยพุ่ง

 

 

เฟยเฟยใช้กรงเล็บสอดเข้าไปในปากของผู้ชราฝั่งใต้โดยตรง ยามที่ล้วงออกมาทั่วใบหน้าของคนผู้นั้นก็ดำคล้ำแล้ว

 

 

บนหลังคาบ้านฟื้นคืนความเงียบสงัด ทั่วทั้งลานบ้านเงียบสงบแล้ว

 

 

ที่นี่กลายเป็นลานมรณะแห่งหนึ่งเสียแล้ว ภายในครึ่งชั่วยามนี้เอง ยอดฝีมือที่ตระกูลเหยียลี่ว์ส่งมาเมืองเป่ยซินวินาศสูญสิ้น

 

 

เหลือเพียงสองคนหนึ่งสัตว์ เผชิญหน้ากับกองศพเละเทะระเกะระกะตั้งแต่หลังคาบ้านจนถึงพื้น

 

 

สายลมหิมะยังคงสาดซัด ท่ามกลางเสียงลมคำรามมีเสียงฝีเท้าเป็นระเบียบแว่วมา นี่คือทหารราบ ส่วนไกลกว่านี้ยังมีเสียงกีบเท้าม้าย่ำพื้นดังขึ้นเลือนราง สะเทือนจนกระเบื้องหลังคากำลังสั่นไหวเล็กน้อย นี่คือทหารม้า

 

 

ก่อนหน้านี้ยามที่ตระกูลเหยียลี่ว์ถูกเหยียลี่ว์ฉีเข่นฆ่ารอบทิศ พวกเขาได้จุดดอกไม้ไฟขอความช่วยเหลือ ยามนี้กองทหารประจำการของเมืองเป่ยซินมาถึงแล้ว

 

 

แต่เดิมเมืองเล็กไกลโพ้นแห่งหนึ่งจำกัดจำนวนกองทหารประจำการ ทว่าบังเอิญว่าด้วยเพราะจะบุกเบิกหุบเขาเทียนฮุย ผู้นำเผ่าหวงจินแอบมาเยือนเมืองเล็กแห่งนี้ด้วยตนเองแล้ว ในเมืองมีทหารองครักษ์เกือบส่วนหนึ่ง

 

 

มองลงไปจากที่สูง ทั้งจวนถูกโอบล้อมหลายชั้นแล้ว ไม่ว่าพุ่งออกไปจากทิศทางใด สิ่งที่ต้องเผชิญล้วนเป็นกองทัพแน่นขนัด

 

 

เหยียลี่ว์ฉีมองรอบด้านปราดเดียว สีหน้าเงียบสงบ ยกมือดึงกระบี่โดยพลัน

 

 

เสียงตัวกระบี่เฉียดผ่านโครงกระดูกภายในร่างกายพาให้จิ่งเหิงปัวรู้สึกเสียวฟัน

 

 

จะเจ็บแค่ไหนกัน? นางไม่รู้ นางมองเห็นแค่สีหน้าที่อดกลั้นในขณะนี้ของผู้ชายคนนี้ ตกตะลึงว่าแท้จริงแล้ว เขาเป็นผู้ชายที่ดื้อรั้นเย็นชาเช่นเดียวกัน

 

 

คนที่โหดร้ายกับตนเองจะยิ่งโหดร้ายกับคนอื่น

 

 

โลหิตแดงฉานกระเซ็นบนใบหน้านาง นางได้แต่รีบฉีกสาบเสื้อออกมาพันรอยแผลทะลุให้เขา กังวลเหลือเกินว่าอาการบาดเจ็บแบบนี้จะก่อให้เกิดภาวะติดเชื้อ กล่าวด้วยเสียงแผ่วเบาว่า “ทางเจ้ายังมีเทียนเซียงจื่อหรือไม่ กินสักเม็ดสิ?”

 

 

เหยียลี่ว์ฉีหัวเราะเล็กน้อย

 

 

“ก่อนหน้านี้ข้าเคยกินไปแล้ว” เขาเอ่ยว่า “หลังระดับสูงสุดหนึ่งเม็ดแล้วไร้ประโยชน์ กินเข้าไปย่อมสิ้นเปลือง ไม่ต้องหรอก”

 

 

จิ่งเหิงปัวมองสีหน้าทรุดโทรมในพริบตาของเขา รู้สึกว่าเขากำลังโกหกอย่างแน่นอน

 

 

คนโกหกไร้ซึ่งสีหน้าละอาย ซ้ำยังไม่หลบเลี่ยงแววตาของนาง มองดูรอบด้าน เลือกมุมหนึ่งซึ่งจำนวนคนมากที่สุด เรือนร่างพลันขยับเขยื้อน

 

 

จิ่งเหิงปัวคว้าเขาไว้ได้ทันเวลา

 

 

“อย่าได้เสียสละตนเองยื้อเวลาให้ข้าอีก” นางกล่าวว่า “พวกเราหนีอีกเส้นทางหนึ่ง”

 

 

 

 

ตำหนักบรรทมราชินีแห่งตี้เกอ ท่ามกลางสายลมหิมะเงียบสงัด แสงไฟเลือนรางริบหรี่สาดส่องสีหน้าหญิงชายที่มองกันและกันคู่นั้นให้สว่างไสวมิได้

 

 

กงอิ้นจ้องมองหมิงเฉิง โน้มกายลงอย่างเชื่องช้า ยื่นปลายนิ้วออกมา

 

 

นางยิ้มแย้มยั่วยวนดูไร้เดียงสามากยิ่งขึ้น ข้างใต้ขากรรไกรล่างที่เงยขึ้นคือเนินโค้งขาวราวหิมะ ผุดเผยร่องลึกแห่งหนึ่งรำไร หลอกล่อให้เขาจมดิ่งต่อไป

 

 

เพียงแต่ท่วงท่าร่างกายของนางดูท่าทางประหลาด มือข้างหนึ่งวางเกะกะอยู่บนท้องน้อย

 

 

สายตาเขาวิงเวียนเล็กน้อย โน้มกายลง ความหอมกรุ่นเยือกเย็นประชิดใกล้ ปลายนิ้วทอดลงบนแก้มนางอย่างแผ่วเบา

 

 

นางดูคล้ายจะผ่อนคลายเล็กน้อย ยกมือขึ้นสัมผัสนิ้วมือของเขาโดยสำนึก

 

 

ครู่หนึ่งยามที่นางยกมือขึ้นนั้น นิ้วมือของกงอิ้นที่ทอดลงบนแก้มของนางพลันพุ่งลงข้างล่างปานอสนีบาต

 

 

ทอดลงบนท้องน้อยของนาง!

 

 

นางหน้าเปลี่ยนสี รีบร้อนหวังที่จะขวางไว้ ทว่าจากนั้นพลันเกิดเสียง ฉึก

 

 

ปลายนิ้วอ่อนโยนของเขาพลันกลายเป็นดรรชนีวชิระ แทงทะลุหนังท้องของนางอย่างรุนแรงโดยไม่ลังเลแม้แต่น้อย!

 

 

โลหิตสาดกระเซ็น

 

 

เสียงร้องโหยหวนแหลมรันทดดุจกระบี่เหินพุ่ง จู่โจมหยาดหิมะโปรยปรายในค่ำคืนนี้

 

 

หยาดโลหิตกระเซ็นบนใบหน้าของเขา เขาไม่หลบหลีกด้วยซ้ำ นิ้วมือคว้านบาดแผลชุ่มโลหิตนั่นอย่างรวดเร็ว สองนิ้วคีบไว้แล้วกระชากเพียงครั้ง

 

 

“กรี๊ด!”

 

 

เสียงกรีดร้องของหมิงเฉิงไม่ใช่เสียงของมนุษย์อีกแล้ว ทว่าคล้ายเสียงไม้แห้งนับไม่ถ้วนที่แตกร้าวด้วยแรงมหาศาล เหล่าชาววังที่อยู่นอกตำหนักหลบซ่อนตรงมุมกำแพง ทั่วร่างสั่นระริกมองดูท้องฟ้ามืดครึ้มเจือหยาดหิมะเริงระบำ รู้สึกเพียงว่าเสียงกรีดร้องน่าเวทนาแห่งค่ำคืนนี้จะกลายเป็นจุดเริ่มต้นแห่งฝันร้ายชั่วนิรันดร์