ตอนที่ 19 - 1 ทารุณหมิงเฉิงไม่บอกเจ้า

เขาสั่งให้ข้าเป็นราชินี [ส่วนที่ 2]

นางตกใจ แทบจะสะบัดคนนั้นออกไปทันที แต่คนนั้นพลันเอ่ยวาจาเสียก่อน 

 

 

“เหยียลี่ว์สวินหรู!” นางเอ่ยว่า “ข้ามีเข็มพิษอยู่ในมือ อาจสังหารเจ้าไม่ได้ ทว่ายังพอปลิดชีพข้าได้ เจ้าคิดให้ดีว่าจะทำอย่างไรกับข้า!” 

 

 

จิ่งเหิงปัวชะงัก จากนั้นในใจก็ชื่นชมอย่างยิ่ง! 

 

 

สมกับเป็นพี่สาวของเหยียลี่ว์ฉี! 

 

 

เดาได้ว่านางมาช่วยเหลือ แม้ยังไม่ได้คลายความระมัดระวัง แต่ไม่ได้ลงมือโดยไม่ดูตาม้าตาเรือ ประโยคแรกแสดงฐานะชัดเจน หลีกเลี่ยงการเข้าใจผิดและประหยัดเวลา ประโยคที่สองทั้งคุกคามทั้งหยั่งเชิง ปฏิกิริยาของนางจะกำหนดปฏิกิริยาของเหยียลี่ว์สวินหรู ถ้าผิดปกติ เหยียลี่ว์สวินหรูยอมฆ่าตัวตาย 

 

 

นี่เป็นสัญชาตญาณที่ลูกหลานตระกูลใหญ่โตฝึกฝนกันมายาวนานเหรอ? 

 

 

“จิ่งเหิงปัว!” นางกล่าวทันทีว่า “บัดนี้เป็นพันธมิตรของน้องชายเจ้า มาช่วยเจ้า อย่าคิดจะใช้เข็มพิษกับข้า หากข้าสลบไสลน้องชายเจ้าแย่แน่” 

 

 

เหยียลี่ว์สวินหรูไม่ได้ชักมือกลับ เอ่ยเพียงว่า “ข้าตาบอดวันใด” 

 

 

แม้สถานการณ์จะตึงเครียด แต่เมื่อจิ่งเหิงปัวถูกวิธีตั้งคำถามที่กล้าหาญของนางยั่วเย้าจึงทำให้อดหัวเราะออกมาไม่ได้ พี่สาวของเหยียลี่ว์ฉีคนนี้ท่าทางอ่อนแอไร้เรี่ยวแรง แต่แท้จริงแล้วจิตใจค่อนข้างเข้มแข็ง 

 

 

นั่นสินะ ถ้าไม่เข้มแข็งมากพอ สาวตาบอดตัวคนเดียวที่เป็นตัวประกัน ทนทุกข์จากการถูกรังแกจากตระกูลเป็นเวลายาวนานคนนี้คงตายไปเสียนานแล้ว 

 

 

พี่สาวน้องชายคู่นี้ คนหนึ่งถูกคุมขังไว้กับตระกูล อีกคนหนึ่งต่อสู้อยู่ข้างนอก ไม่ได้พบเจอกันแต่สองใจเชื่อมกัน ต่างคนต่างพยายามอย่างสุดความสามารถเพื่ออีกฝ่าย 

 

 

ตระกูลเหยียลี่ว์ที่ดูแลพี่สาวน้องชายคู่นี้ไม่ดี ก็นับเป็นความโง่เขลาของพวกเขา! 

 

 

“วันที่ยี่สิบเก้าเดือนสิบสอง” นางตอบแล้วย้อนถามว่า “วันนี้เป็นวันครบรอบกี่ปีที่เจ้าตาบอด?” 

 

 

เหยียลี่ว์สวินหรูพลันขยับมือ ดูท่าทางคงเก็บเข็มพิษแล้ว เอ่ยอย่างไม่แยแสว่า “ครบสิบปี” 

 

 

“ไม่ใช้เข็มพิษแล้วหรือ?” จิ่งเหิงปัวประทับใจในตัวนางมาก จึงเอ่ยวาจาหยอกล้อนาง 

 

 

“เจ้าที่ถามวาจานี้ออกมาได้ ก็คงไม่จำเป็นต้องใช้แล้ว” เหยียลี่ว์สวินหรูเอียงศีรษะ ‘มอง’ นางพลางเอ่ยว่า “องค์ราชินี เจ้าก็พิเศษยิ่งนักจริงๆ” 

 

 

จิ่งเหิงปัวไม่แปลกใจที่นางเคยได้ยินชื่อของตนเอง ในเมื่อนางไม่ใช่สาวบอบบางชอบเก็บตัว นางก็คงจะไม่ละทิ้งการสืบข่าวทุกอย่างเกี่ยวกับน้องชาย 

 

 

“เหยียลี่ว์ฉีอยู่ที่ใด” 

 

 

“ได้ยินว่าเขาสังหารคุณชายสามอะไรนั่น คงเริ่มต่อสู้กันแล้ว” จิ่งเหิงปัวกล่าวว่า “หากเจ้าไม่อยากเป็นภาระเขา จงรีบไปกับข้า” 

 

 

“คุณชายสามหรือ?” เหยียลี่ว์สวินหรูหันหลังโดยพลัน เสียงเปลี่ยนไปแล้ว 

 

 

“สำคัญนักหรือ” 

 

 

เหยียลี่ว์สวินหรูกลับสูดหายใจ พลันเอ่ยว่า “เขาคงชื่นชอบเจ้ามากแน่” 

 

 

“หา?” จิ่งเหิงปัวงงงัน อะไรของนางล่ะเนี่ย? 

 

 

“คุณชายสามคือบุตรชายคนที่สามของผู้นำตระกูลเหยียลี่ว์ ศิษย์ของนิกายสวรรค์จิ่วฉงที่ลึกลับที่สุดในตำนานต้าฮวง เล่ากันว่าเขาเกิดมาพร้อมกลิ่นหอมกรุ่น เป็นผู้มีพรสวรรค์เหนือธรรมดาที่หาไม่ได้ในรอบร้อยปีของตระกูลเหยียลี่ว์ ถูกนักพรตสวรรค์ของนิกายสวรรค์จิ่วฉงทาบทามให้ร่ำเรียนวิชาตั้งแต่วัยเยาว์ นิกายสวรรค์จิ่วฉงละทิ้งกิเลสตัณหา หลังสำเร็จวิชาแล้วเป็นศิษย์ของนิกายสวรรค์ชั่วชีวิต ทว่าอนุญาตให้ปกป้องตระกูลได้ ฉะนั้นคุณชายสามจึงเป็นความหวังของตระกูลเหยียลี่ว์ คุณชายสามยังไม่สำเร็จวิชา ทุกปีจะลงเขาสองเดือนมาอยู่พร้อมหน้ากับครอบครัว แลซ่อนนัยว่าผจญโลกมนุษย์เสริมพลังการควบคุมตน คราวนี้ตระกูลเหยียลี่ว์คิดจะร่วมมือกับเผ่าหวงจินเพื่อเพิ่มพละกำลัง คุณชายสามอยู่จวนพอดี อยากรู้จักหุบเขาเทียนฮุยสักหน่อยจึงตามมาด้วย…คุณชายสามน่ะช่างเถิด ทว่านิกายสวรรค์จิ่วฉงมิใช่ที่ซึ่งพละกำลังจากโลกมนุษย์จะต้านทานได้ เสี่ยวฉีรู้ว่าพวกเขาร้ายกาจ คงไม่แตะต้องเขาตามใจชอบ ต้องถูกบังคับจนไม่มีทางเลี่ยงเป็นแน่…เขาคงอยากช่วยเจ้าฝ่าวงล้อมกระมัง?” 

 

 

จิ่งเหิงปัวแอบคิดว่าที่กล่าวกันว่าคนตาบอดใจไม่บอดนั้นไม่ผิดเลยแม้แต่น้อย เพียงแต่นึกไม่ถึงว่าคุณชายสามอะไรนี่จะมีภูมิหลังใหญ่โตขนาดนี้ คราวนี้เหยียลี่ว์ฉีก็ลำบากของจริงแล้ว 

 

 

“เอ่ยกันตามจริงแล้วคุณชายสามไม่ได้ถูกสังหารได้ง่ายดายขนาดนั้น แม้เขายังไม่สำเร็จวิชา แต่พวกนิกายสวรรค์จิ่วฉงมีวิธีพิเศษสำหรับรักษาชีวิต…เสี่ยวฉีได้รับบาดเจ็บแน่แล้ว!” 

 

 

“นี่เจ้าคงไม่คิดจะไปช่วยเขากระมัง!” จิ่งเหิงปัวคว้าเหยียลี่ว์สวินหรูที่จะออกวิ่งไว้ในครั้งเดียว 

 

 

“เช่นนั้นเจ้าไปสิ!” 

 

 

“หา?” จิ่งเหิงปัวงงงันอีกครั้ง รู้สึกว่าพี่สาวคนนี้ยอดเยี่ยมจังเลยยอดเยี่ยมเหลือเกิน 

 

 

“ข้าตายไม่ได้” เหยียลี่ว์สวินหรูเอ่ยว่า “เสี่ยวฉีจะสูญเสียความมุ่งมั่นในการต่อสู้” 

 

 

“เช่นนั้นข้าควรตายสินะ?” จิ่งเหิงปัวชี้จมูกตนเอง 

 

 

“เจ้าจะตายไม่ได้เช่นกัน” เหยียลี่ว์สวินหรู ‘พินิจ’ นางเล็กน้อย เอ่ยว่า “เสี่ยวฉียากจะชื่นชอบผู้ใด ไม่มีภรรยาในภายภาคหน้า เขาจะสูญเสียความมุ่งมั่นในการต่อสู้เช่นกัน” 

 

 

จิ่งเหิงปัวรู้สึกว่าสำหรับเรื่องนี้แล้ว พี่สาวท่านนี้ไร้ยางอายเสียยิ่งกว่าเจ็ดสังหาร 

 

 

“เจ้าไม่ตายหรอก” เหยียลี่ว์สวินหรูเอ่ยว่า “ข้ามีวิธีให้พวกเจ้าหลบหนี” 

 

 

จิ่งเหิงปัวจ้องมองนางอย่างสงสัย 

 

 

“คุณชายสามผู้นี้มีความลับมากมาย โอ้ คนของนิกายสวรรค์จิ่วฉงมีความลับมากมายเสมอ พวกมากความลับมักเป็นโรคหวาดระแวง คุณชายสามไม่ชื่นชอบให้ผู้ใดรับใช้ ทว่าจะไม่มีคนรับใช้ไม่ได้ ฉะนั้นคนรับใช้เพียงหนึ่งเดียวของเขาคือข้า” เหยียลี่ว์สวินหรูเอ่ยว่า “เขาคิดว่าคนตาบอดผู้หนึ่งมองไม่เห็นสิ่งใดทั้งนั้น ทว่าไม่รู้ว่าคนตาบอดมาสิบปีคนหนึ่งไวต่อความรู้สึกเสียยิ่งกว่าตุ่น ข้ารู้ว่าภายในห้องของเขามีประตูลับ แม้ไม่แน่ใจว่านำไปสู่ที่แห่งใด แต่ออกนอกคฤหาสน์แน่แท้” 

 

 

“เจ้าคิดจะส่งพวกเราไปตายอีกแล้ว ห้องของคุณชายสามย่อมต้องเป็นสถานที่ซึ่งถูกคุ้มกันแสนเข้มงวด เข้าไปได้หรือ?” 

 

 

“ข้าเอ่ยแล้วว่าคนของนิกายสวรรค์จิ่วฉงมีวิธีประหลาดมากมาย การสิ้นชีพของพวกเขาไม่แน่ว่าจะเป็นการสิ้นชีพ พบเห็นสภาพแสร้งสิ้นชีพได้บ่อยครั้ง หากอยากตื่นฟื้นจากสภาวะแสร้งสิ้นชีพจะต้องอยู่ในสภาพแวดล้อมที่ทั้งเงียบสงบทั้งมั่นคงยิ่งนัก ฉะนั้นหากเขาสิ้นชีพแล้ว เช่นนั้นยามนี้รอบห้องของเขาย่อมคุ้มกันหละหลวมที่สุด คนที่พวกเจ้าต้องระวังอย่างแท้จริงมิใช่องครักษ์ ทว่าเป็นคุณชายสามที่อยู่ภายใต้สภาพแสร้งสิ้นชีพ” 

 

 

“เจ้ารู้มากขนาดนี้ได้อย่างไร? คุณชายสามคงไม่บอกผู้ใดเป็นแน่” 

 

 

“ข้าอ่านหนังสือน่ะสิ” เหยียลี่ว์สวินหรูเอ่ยว่า “ผู้ใดใช้ให้พวกเขาจุ่มหมึกหนาขนาดนั้นยามเขียนอักษร? เพียงคลำดูย่อมรู้แล้ว!” 

 

 

จิ่งเหิงปัวมองใบหน้าขาวซีดของนาง กล่าวขึ้นมาว่า “เจ้าดูท่าทางคล้ายป่วยไข้” 

 

 

“ถูกพิษน่ะ” เหยียลี่ว์สวินหรูเอ่ยคล้ายเล่าเรื่องของผู้อื่น 

 

 

“ถูกพิษได้อย่างไร” 

 

 

“คนของนิกายสวรรค์จิ่วฉงชั่วร้ายนัก สิ่งของของพวกเขาผิดปกติมากกว่าครึ่ง แม้แต่หมึกยังมีพิษ ข้าลูบคลำอักษรหมึกเหล่านั้นอ่านความลับของพวกเขา พอนานวันเข้าจึงถูกพิษ คุณชายสามอาจรู้ด้วยว่าข้าแอบอ่านสิ่งของของเขา จงใจแสร้งทำเป็นไม่รู้ จะได้รอให้ยาพิษออกฤทธิ์จนข้าต้องขอร้องเขา เขาชื่นชอบมองท่าทางตระหนกตกใจคุกเข่าขอร้องเบื้องหน้าเขายิ่งนัก ทว่าข้าไม่ขอร้องเขา ข้าจะอ่านต่อไป เขาจะแสร้งสูงส่งแสร้งเฉื่อยเนือย ข้าจะให้เขาแสร้ง ข้าชอบดิ้นรนหาความตาย เป็นอย่างไร?” นางยิ้มเยาะพลางยื่นนิ้วมือออกมาให้จิ่งเหิงปัวดูอย่างลำพองใจ เอ่ยสืบต่อว่า “ลูบคลำหมึกแล้วจะถูกพิษ พอสวมถุงมือข้าลูบคลำไม่ได้ ทุกครั้งหลังอ่านเสร็จแล้ว ข้าจึงเลาะผิวหนังบนนิ้วทิ้ง ทว่าพิษยังซึมเข้าไปอย่างเชื่องช้า อืม ข้าคิดว่าข้าคงอยู่ได้อีกไม่นานแล้ว เจ้าอย่าบอกเสี่ยวฉีล่ะ” 

 

 

จิ่งเหิงปัวมองดูนิ้วมือสิบนิ้ว…โอ้ไม่สิเก้านิ้วของนาง นิ้วมือไม่สมบูรณ์เลยสักนิ้ว รอยแผลเป็นหลุมเป็นบ่อ บางนิ้วแทบจะไม่มีแล้ว 

 

 

นิ้วก้อยมือขวาหายไปทั้งนิ้ว เป็นรอยถูกตัดออกไป นิ้วนั้นที่ใช้กระตุ้นเหยียลี่ว์ฉีก่อนหน้านี้ 

 

 

นางไม่ได้เอ่ยถึงแม้แต่ประโยคเดียว 

 

 

ฝ่ามือเกลี้ยงเกลา นิ้วมือเรียวยาว แต่เดิมน่าจะเป็นมือที่งดงามอย่างยิ่ง ตอนนี้สะดุดตาน่าหวาดกลัว 

 

 

จิ่งเหิงปัวสูดหายใจเฮือกหนึ่ง ไม่รู้ว่าในใจเจ็บปวดหรือทุกข์ทรมาน อารมณ์มากล้นคล้ายจะท่วมท้นในใจ พวยพุ่งสู่คอหอย พวยพุ่งออกมาจากเบ้าตา 

 

 

นางนึกว่าชั่วชีวิตนี้ ตนเองคงไม่รู้สึกหวั่นไหวสะเทือนใจอีกแล้ว แต่ตอนนี้มือที่มีรอยแผลน่ากลัวคู่นี้อยู่ตรงหน้า นางแทบจะสูญสิ้นสรรพเสียง 

 

 

คำว่า ‘ยิ่งใหญ่’ คำนี้ เมื่อก่อนนางรู้สึกว่าลวงโลก ไม่มีใครคู่ควรกับคำนี้ได้ แต่ตอนนี้นางอยากมอบให้สาวพิการตาบอดคนนี้ มอบให้พี่สาวน้องชายคู่นี้ 

 

 

เขากล้ำกลืนความอัปยศเหยียบย่ำอันตรายอยู่ตี้เกอ ขายชีวิตของตนเองเพื่อนาง 

 

 

นางทนรับความอัปยศพยายามอยู่รอดในตระกูล สู้สุดชีวิตของตนเองเพื่อเขา 

 

 

บอกไม่ได้ว่าระหว่างพวกเขาใครปกป้องใคร ใครยอมลำบากเพื่อใคร ด้วยเพราะทุกคนสู้สุดชีวิตให้อยู่รอดเพื่ออีกคนหนึ่งทั้งนั้น 

 

 

ทุ่มเทสุดกำลัง กัดฟันหักบิ่น รอยแผลทั่วร่าง 

 

 

“ข้าส่งเจ้าออกไปก่อน” นางกล่าว 

 

 

เหยียลี่ว์สวินหรูไม่ได้ขอร้องร่วมต่อสู้ นางเป็นผู้หญิงที่มีสติมาก นางมีสติถึงขนาดถูกจิ่งเหิงปัวหิ้วไว้หายตัวสามครั้งมาข้างกำแพงยังไม่ได้เปล่งเสียงร้องอุทานสักแอะ ซ้ำยังเอ่ยอย่างเฉื่อยเนือยว่า “วิชาตัวเบาไม่เลว พอจะคู่ควรกับเสี่ยวฉี” 

 

 

จิ่งเหิงปัวฟังแล้วเซ็งจัด มือสะบัดเพียงครั้งส่งนางข้ามกำแพงสูงอย่างรุนแรง 

 

 

เหยียลี่ว์สวินหรูลอยอยู่บนฟ้าไปพลาง ซ้ำยังไม่ลืมก้มหน้าลงมาเอ่ยกับนางไปพลางว่า “วิชานี้ดีกว่า คู่ควร…” 

 

 

คำว่าเสี่ยวฉีถูกสายลมหิมะพัดหายไป จากนั้นจิ่งเหิงปัวได้ยินเสียงพลั่กหนักหน่วงเสียงหนึ่งนอกกำแพง หญิงเก่งคนนั้นร้องโอ๊ยเสียงหนึ่งรำไร แต่ไม่นานเสียงฝีเท้าดังขึ้นแล้วจากไปอย่างรวดเร็ว นางคงไปหาที่ซ่อนตัวทันทีแน่นอน 

 

 

จิ่งเหิงปัวเชื่อว่านางซ่อนตัวให้ดีได้ 

 

 

นางได้ระบายโทสะ หัวเราะฮิๆ เสียงหนึ่งแล้วยักไหล่ 

 

 

“วิชานี้เจ๋งเกินไป เสี่ยวฉีของเจ้าไม่คู่ควรหรอก!” 

 

 

… 

 

 

ตามหาเหยียลี่ว์ฉีง่ายมาก สถานที่ที่มีคนเยอะสุดนั่นอย่างไร 

 

 

จิ่งเหิงปัวกะพริบวูบอีกครั้ง มาถึงต้นเสียงโหวกเหวกโวยวายแห่งนั้น 

 

 

หิมะเหินว่อนสาดซัดอยู่ไกลโพ้น เงาคนเลือนรางทั่วทุกสารทิศ นางยังไม่ทันได้มาถึงบริเวณใกล้เคียง ใบหน้าก็ถูกหยาดหิมะที่ลมแรงกวาดออกมาพุ่งปะทะจนมืดมัว ซ้ำยังเจือด้วยของเหลวร้อนผ่าวบางอย่าง นางเช็ดครั้งหนึ่ง เลือดแดงสดทั่วมือ ไม่รู้เช่นกันว่าเลือดของใคร 

 

 

นางแหงนหน้าขึ้นมอง เห็นบนหลังคาบ้านกำลังเดือดพล่าน ข้างกายเหยียลี่ว์ฉีดุจเกิดระลอกคลื่นครั้งใหญ่ ลมทวนคำราม มองเห็นเงาคนไม่ชัดเจน บางครั้งบางคราวมองเห็นเงาขาวน้อยของเฟยเฟยทะลุเข้าทะลุออกคล้ายร่วมมือกับเหยียลี่ว์ฉีได้ไม่เลว ทุกครั้งที่เงาร่างของมันกะพริบวูบจะมีคนคนหนึ่งร่วงลงมา คนที่ร่วงลงมาคือตายสนิทแล้ว ซากศพเรียงรายระเกะระกะทั่วพื้นลานกว้าง 

 

 

คนทั่วคฤหาสน์ถูกเหยียลี่ว์ฉีดึงดูดเข้ามาทั้งหมด โอบล้อมจนแม้แต่แมลงวันสักตัวยังเข้าไปไม่ได้ กระทั่งจิ่งเหิงปัวยังเห็นไม่ชัดว่าเหยียลี่ว์ฉีอยู่ตรงไหน 

 

 

นางไม่สนใจ เงาร่างกะพริบวูบ มุ่งสู่วงล้อมสงครามบนหลังคาบ้าน 

 

 

“ข้ามาแล้ว! ขยับมาใกล้ข้า!” 

 

 

ครู่ต่อมาแขนของนางถูกฝ่ามือแข็งแกร่งคว้าไว้แน่น เหยียลี่ว์ฉีพานางถอยอย่างรวดเร็ว หลบอาวุธลับสายหนึ่ง เสียงเจือด้วยความร้อนรนเล็กน้อย เอ่ยว่า “ระวัง! เจ้าเป็นอย่างไรบ้าง ได้รับบาดเจ็บหรือไม่” 

 

 

จิ่งเหิงปัวแปลกใจมากที่เขาไม่ได้ถามก่อนว่าพี่สาวเขาเป็นอย่างไรบ้างแล้ว 

 

 

“พี่สาวเจ้าไม่เป็นไร” นางกล่าว คว้ามีดแทงศัตรูใกล้ตัวคนหนึ่งครั้งหนึ่ง องศากลับกลอก คนนั้นรีบกระโจนออกไป 

 

 

เหยียลี่ว์ฉีร้อง “อืม” เสียงหนึ่ง เอ่ยโดยพลันว่า “ไหว้วานเจ้า พานางหนีไปก่อน ประเดี๋ยวข้าจะ…” 

 

 

“ประเดี๋ยวเจ้าจะสิ้นชีพอยู่ตรงนี้หรือ?” นางเอ่ยขัดจังหวะวาจาของเขา 

 

 

เหยียลี่ว์ฉีคล้ายหัวเราะครั้งหนึ่งแล้วคล้ายถอนใจ เอ่ยว่า “ขนาดนั้นเชียวหรือ?” 

 

 

สายตานางข้ามผ่านสายลมหิมะคืนนี้ 

 

 

“ค่ำคืนนี้ต้องสังหารคนเหล่านี้จนสิ้น” นางกล่าวว่า “เจ้าสังหารคุณชายสามกระไรนั่นแล้ว ข่าวแพร่ออกไปคงเป็นเรื่องยุ่งยากใหญ่โต จะต้องสังหารคนปิดปาก” 

 

 

“กองทหารประจำการรู้เรื่องแล้ว” เขาหรี่ตาขึ้น สายตาข้ามผ่านสายลมหิมะ มองเห็นแสงไฟเหลืองส้มที่สั่นไหวประชิดใกล้เข้ามาจากไกลโพ้น 

 

 

นางหัวเราะเพียงครั้ง 

 

 

“เช่นนั้นสังหารจนสิ้นก่อนกองทหารประจำการจะมาเยือนเถิด!”