ตอนที่ 147 หมากตาย (3)

ลวงเล่ห์ร้ายชายาร้อยพิษ

จากนั้นโจวอวี่กับมั่วเสียนก็คารวะต่อกัน เตรียมจะขึ้นเกี้ยวไปที่ทำการสาขาซือหลี่เจียน 

 

 

บนถนนออกจากท่าเรือ ชิวเยี่ยไป๋กวาดตามองดูบรรดาพ่อค้าที่ไปมาขวักไขว่บริเวณนั้นเหมือนไม่ตั้งใจ “แถวนี้ดูเหมือนมีกิจการของพ่อค้าหลวงตระกูลเหมยไม่น้อยนะ” 

 

 

ถ้านางดูไม่ผิด ร้านรวงจำนวนไม่น้อยบริเวณท่าเรือล้วนปักธงของตระกูลเหมย 

 

 

มั่วเสียนผงกศีรษะ “ใช่ขอรับ ท่าเรือตงอั้นนี้สองในสามเป็นกิจการตระกูลเหมย ดังนั้นไม่ว่าจะขนถ่ายสินค้าหรือการค้าอื่นใด ตระกูลเหมยล้วนเป็นขาใหญ่” 

 

 

ชิวเยี่ยไป๋ฟังแล้วเลิกคิ้วถามอย่างไม่เข้าใจว่า “ข้าจำได้ว่าทางการเปิดให้เอกชนสร้างท่าเรือน้อยมากนี่นา เหตุใดตระกูลเหมยจึงสร้างท่าเรือเองได้” 

 

 

นับแต่ราชวงศ์เทียนจี๋สถาปนาแคว้นเป็นต้นมา พยายามป้องกันการผูกขาดของพ่อค้าซึ่งอาจทำให้การเงินปั่นป่วน ท่าเรือที่ราษฎรใช้สอยล้วนสร้างโดยงบประมาณของหน่วยงานท้องถิ่น ต่อให้งบประมาณไม่พอก็ยังเรียกยืมจากคหบดีได้ แล้วทางการค่อยคืนให้พร้อมดอกเบี้ยในปีถัดไป ไม่มีทางให้เอกชนก่อสร้างเองเด็ดขาด ผู้ใดละเมิดจะหลุดจากตำแหน่งและติดคุก 

 

 

นี่เป็นกฎตายตัวของรัชสมัยเจินอู่ 

 

 

“ใต้เท้าอาจมิรู้” มั่วเสียนชี้นิ้วกวาดไปรอบๆ กล่าวพลางหัวร่อ  

 

 

“ท่าเรือแห่งนี้เป็นสิ่งก่อสร้างของทางการก็จริง แต่ตระกูลเหมยสามรุ่นก่อนมอบเงินให้ทางการยืมเพื่อสร้างท่าเรือทุกปี ดังนั้นแม้ทางการจะมีท่าเรือในครอบครอง แต่สิทธิ์ในการใช้งานท่าเรือนี้ยังคงเป็นของตระกูลเหมย ทว่าก่อนหน้านี้ตระกูลเหมยเช่าเอาไว้แค่สองท่าเท่านั้น หลังจากคุณชายใหญ่เหมยกลายเป็นผู้ถือครองสิทธิ์ ท่าเรือแห่งนี้ก็ค่อยๆ คืนกลับไปสู่มือคุณชายใหญ่ตระกูลเหมย” 

 

 

 “สามรุ่น?” ชิวเยี่ยไป๋ตะลึงงัน แล้วทอดถอนใจอย่างแผ่วเบาเสียงหนึ่ง “ตระกูลเหมยช่างมีความอดทนโดยแท้” 

 

 

การเช่ายืมเช่นนี้ สามารถหลบเลี่ยงกฎตายตัวในปีนั้นไปได้ ต้องบอกว่าตระกูลเหมยเก่งจริงๆ เหมยซูยิ่งเหมือนหงส์มังกรในแดนมนุษย์ ขยายเขตแดนของตระกูลเหมยมากกว่าเท่าตัว แม้จะต้องเสียส่วยภาษีแต่ด้วยความสัมพันธ์ระหว่างตระกูลเหมยกับตระกูลตู้ ก็ไม่มีข้าราชการคนใดกล้าเรียกค่าเช่าเกินอัตราจากตระกูลเหมย 

 

 

และรายได้ที่ตระกูลเหมยกำไรจากกิจการต่างๆ ในแต่ละปีก็ไม่รู้ว่าเป็นกี่สิบเท่าของค่าเช่า! 

 

 

นางเห็นบริเวณนั้นมีคนเข้าแถวยาวเหยียดรอรับป้ายหมายเลขจากร้านค้าที่ปักธงตระกูลเหมย ก็มิได้พูดอะไรอีก หันกายเดินตามมั่วเสียนขึ้นเกี้ยวแล้วก็มุ่งตรงไปจวนซือหลี่เจียน 

 

 

ส่วนเหมยเซียงเดินก้มหน้าอยู่ในกลุ่มของพวกโจวอวี่ แม้นางจะรับปากชิวเยี่ยไป๋เอาไว้ว่าจะไม่หลบๆ ซ่อนๆ แต่จะมากหรือน้อยก็ยังคงกังวลอยู่นั่นเอง แค้นนักที่มิอาจแทรกตัวในร่องพื้น ดังนั้นนางจึงยังคงพยายามอยู่ใกล้ชิวเยี่ยไป๋เข้าไว้ บางครั้งได้ยินที่ชิวเยี่ยไป๋กับมั่วเสียนคุยกัน สีหน้าก็สับสน 

 

 

ใต้เท้าชิวคนนี้ คำพูดคำจาฟังอย่างไรก็ไม่เหมือนชื่นชมตระกูลเหมยเลย 

 

 

เป็นดังที่ชิวเยี่ยไป๋คาดไว้ บรรดาคนตระกูลเหมยเพียงได้รับคำสั่งให้คอยสอดส่องเรือของซือหลี่เจียนเท่านั้น แต่ถึงอย่างไรก็เป็นราษฎร จะกล้าค้นเรือหลวงได้อย่างไร บ้างหาข้ออ้างมาเลียบเคียง แม้สายตาจะมองผ่านเหมยเซียงจื่อ แต่ด้วยเห็นท่าทางหดหัวของนางและสีหน้าหมองคล้ำแล้วก็ไม่ใส่ใจ 

 

 

สุดท้ายพวกเขาจึงออกจากท่าเรืออย่างราบรื่น 

 

 

… 

 

 

ขณะชิวเยี่ยไป๋กับคณะถึงที่ทำการสาขาซือหลี่เจียน บังเอิญมีคนกลุ่มหนึ่งสวนทางมา ปากทางเข้ามีทั้งม้าและสัมภาระไม่น้อย ดูเหมือนกำลังจะจากไป 

 

 

ชิวเยี่ยไป๋มองที่ป้ายเอวของคนกลุ่มนั้นก็รู้แล้วว่าเจอะกับอะไร 

 

 

มั่วเสียนมุดออกจากเกี้ยวก่อนใคร เดินไปถึงที่ม้าของคนเป็นหัวหน้า กล่าวอย่างรีบร้อนและประจบประแจงว่า “ใต้เท้าตู้ ท่านจะไปแล้วหรือ ไหนบอกว่าจะไปเรือเที่ยวบ่ายอย่างไรเล่า” 

 

 

เขาฟังมาว่าเชียนจ่งกองปู่เฟิงผู้นี้จองเรือเที่ยวบ่ายไว้ ไม่เช่นนั้นเขาคงไม่มีทางไปรับชิวเยี่ยไป๋ที่ไม่สลักสำคัญ โดยปล่อยให้ผู้มีอำนาจจากไปโดยไม่ได้อยู่ส่งเช่นนี้ 

 

 

“พี่เขย ท่านจะไปแล้วหรือ” โจวอวี่เห็นคนคุ้นเคย พลันรีบพุ่งเข้าไปทักทายอย่างตื่นเต้น 

 

 

เชียนจ่งกองปู่เฟิงชื่อตู้อวี่เทียน แต่งกับพี่สาวคนโตของโจวอวี่ แม้พี่สาวจะเกิดจากเมียน้อย แต่ยังคงถือว่าโจวอวี่เป็นน้องเมีย ที่โจวอวี่เข้ากองคั่นเฟิงได้ พี่เขยคนนี้ออกแรงให้ไม่น้อย ยิ่งไม่ต้องพูดถึงการดื่มกินเที่ยวเตร่ในเวลาต่อมา ส่วนมากเป็นตู้อวี่เทียนพาโจวอวี่ไป ทั้งสองสนิทสนมกันดี 

 

 

ชิวเยี่ยไป๋เห็นพวกเขายังสนทนากันอยู่ ตนเองย่อมไม่มีเหตุผลต้องหลบหลีก จึงลงจากเกี้ยวแล้วทักว่า “ตู้เชียนจ่ง” 

 

 

ตู้อวี่เทียนใบหน้ายาว ตาตี่ เหนือริมฝีปากไว้หนวดสองแฉก ร่างกายกำยำ ดูแล้วยังถือว่าหน้าตาดีอยู่ และดูเหมือนจะเป็นคนเที่ยงธรรม เมื่อเห็นชิวเยี่ยไป๋เดินเข้ามา ดวงตาตี่เล็กฉายแววเย็นชา แล้วรีบประสานมือคารวะอย่างยิ้มแย้ม “ชิวเชียนจ่ง” 

 

 

“ตู้เชียนจ่ง ยามนี้จะจากไป หรือว่าสืบคดีจบแล้วกำลังจะพาพี่น้องกลับราชธานี” 

 

 

ชิวเยี่ยไป๋พูดพลางกวาดตามองดูโจวอวี่ที่สีหน้าตื่นเต้นเล็กน้อย พริบตาที่สบตากันโจวอวี่ก็สะดุ้งและได้สติ จึงสังเกตเห็นคนของกองปู่เฟิงมองดูพวกตนด้วยสายตาดูแคลน 

 

 

นับแต่เกิดเรื่องกับกองปู่เฟิงแล้ว ไม่ว่าข้อเท็จจริงจะเป็นอย่างไรก็ตาม ฉินอี้จ่างที่เสียชีวิตเป็นคนในกองปู่เฟิงจริงแท้แน่นอน และตนเองยังเป็นตัวการที่ก่อเหตุด้วย เพื่อหลีกเลี่ยงคำครหา ตู้อวี่เทียนจึงบอกตรงๆ ว่า ไม่ช่วยซือถูอี้จ่างจากนั้นก็ไม่พบกับโจวอวี่อีกเลย 

 

 

โจวอวี่ตัวแข็งแล้วก็ก้มหน้าลง ถอยหลังก้าวหนึ่งให้กับสายตาชิงชัง 

 

 

ตู้อวี่เทียนมองดูเขาแวบหนึ่งไม่พูดอะไร แต่กับชิวเยี่ยไป๋ยังคงกล่าวอย่างเกรงอกเกรงใจว่า “ใช่ อะไรที่สืบได้พวกเราสืบหมดแล้ว ที่เหลือคงต้องพึ่งชิวเชียนจ่งแล้ว” 

 

 

พูดจบก็ไม่รอให้ชิวเยี่ยไป๋ตอบ ตวัดแส้ม้าสั่งว่า “พวกเราไป” 

 

 

คนของกองปู่เฟิงพากันชักม้าจากไปอย่างพร้อมเพรียงมุ่งสู่ท่าเรือ ฝีเท้าม้าพาฝุ่นฟุ้งตลบจนคนที่ยืนอยู่ทั้งไอทั้งจาม 

 

 

พวกของมั่วเสียนและโจวอวี่ต่างเดือดดาลแต่ไม่กล้าส่งเสียง ก็กองปู่เฟิงอิทธิพลเหนือกว่านี่นา 

 

 

ส่วนชิวเยี่ยไป๋ปฏิกิริยาว่องไวมาก พออีกฝ่ายชักบังเ**ยนม้าก็ขยับตัวทันที ล้วงผ้าเช็ดหน้าปิดปากและจมูก 

 

 

หลังวุ่นวายอยู่พักใหญ่ ชิวเยี่ยไป๋และโจวอวี่กับพวกจึงจัดแจงที่พักได้ พอคนของกองปู่เฟิงไปกันหมดแล้ว ทุกห้องก็ว่าง ชิวเยี่ยไป๋จึงย้ายไปอยู่ห้องที่เดิมตู้อวี่เทียนพักอยู่ 

 

 

หลังจัดแจงข้าวของลวกๆ ชิวเยี่ยไป๋ก็เรียกโจวอวี่และมั่วเสียนมาสั่งการ 

 

 

โจวอวี่งงงัน “ใต้เท้าจะไปสืบคดีคืนนี้เลยหรือ” 

 

 

ยามนี้ใกล้เวลาอาหารค่ำแล้ว การไปบ้านเศรษฐีเวลานี้มิเท่ากับบังคับให้อีกฝ่ายต้องเลี้ยงต้อนรับขับสู้หรอกหรือ! 

 

 

กลับเป็นมั่วเสียนที่กลอกตารอบหนึ่งแล้วหัวร่อกล่าวว่า “ใต้เท้าเป็นคนขยัน ข้าน้อยขอยกย่อง จะรีบไปจัดการ ณ บัดนี้” 

 

 

ชิวเยี่ยไป๋พยักหน้า “อืม ดูสิว่าแถวนี้นอกจากบ้านตระกูลเหมยแล้วยังมีใครบ้างที่ถูกปล้นสินค้าไป เลือกสักบ้านก่อนดีกว่า”