ตอนที่ 148 หมากตาย (4)

ลวงเล่ห์ร้ายชายาร้อยพิษ

มั่วเสียนดวงตาฉายแววประหลาด แต่สีหน้ายังคงนอบน้อม “เรียนใต้เท้า ทั้งหมดมีสิบเอ็ดหลังคาเรือนที่เคยโดนปล้น นอกจากบ้านตระกูลเหมยใหญ่ที่สุดแล้ว ก็ต้องนับว่าคหบดีหลิวนี่แหละที่เป็นรายใหญ่ และเศรษฐีหลิวผู้นี้เป็นคนใจบุญสุนทาน ค่ำนี้เราไปคฤหาสน์ตระกูลหลิวก่อนดีไหมขอรับ”

 

 

ชิวเยี่ยไป๋ยิ้ม “ดี ไปบ้านเศรษฐีหลิวเลย”

 

 

นางหันไปสั่งโจวอวี่ “พาพวกพี่น้องไปด้วย หลายวันนี้อยู่แต่บนเรือ เร่งบ้างช้าบ้างไม่เคยเทียบท่าเลย พวกพี่น้องกินแต่ปลาทุกมื้อ น่าจะสมนาคุณกันหน่อย”

 

 

แม้โจวอวี่จะสงสัยเต็มอกแต่ก็ไม่แสดงออก เพียงประสานมือคารวะอย่างนอบน้อม “ขอรับ”

 

 

เหมยเซียงจื่อรอจนโจวอวี่กับมั่วเสียนไปแล้ว จึงกล่าวอย่างลังเลว่า “ใต้เท้า แล้วข้า…ข้าต้องไปด้วยหรือไม่ นานมาแล้วข้าเคยมาไหวนานกับบิดาและพี่ชาย คุ้นเคยกับตระกูลหลิว ข้าเกรงว่าพวกเขาจะจำข้าได้”

 

 

ชิวเยี่ยไป๋แลดูนาง ปลายนิ้วดีดฝุ่นผงออกจากบ่านาง กล่าวอย่างทองไม่รู้ร้อนว่า “เจ้าเคยเห็นนายคนไหนปล่อยให้หญิงรับใช้ประจำตัวถูกคนสงสัยหรือ เจ้าน่ะเป็นคนรับใช้ของข้านะ ให้เจ้าตามข้าไปย่อมมีเหตุผลของข้าเอง”

 

 

เหมยเซียงจื่องงงันที่จู่ๆ ชิวเยี่ยไป๋ก็พูดจานิ่มนวลลงมากและไม่วางมาดเหมือนเคย ทำเอานางชักไม่ชิน ยิ่งกว่านั้นนางเป็นดรุณีในห้องหอของตระกูลใหญ่ แทบจะไม่เคยอยู่ใกล้ชิดกับบุรุษเลย พริบตานั้นจึงหน้าแดงก้มศีรษะลง ตอบอย่างประหม่าว่า “เจ้าค่ะ”

 

 

ชิวเยี่ยไป๋เห็นท่าทางของนางแล้ว ก็ยิ้มที่มุมปากอย่างมิอาจคาดเดาความหมายได้

 

 

มั่วเสียนจัดแจงทุกอย่างเสร็จสรรพอย่างรวดเร็ว บ้านคหบดีหลิวซึ่งเคยต้อนรับข้าราชการและขุนนางมาไม่น้อย แม้ครั้งนี้ชิวเยี่ยไป๋จู่ๆ ก็มาถึงอย่างไม่รู้เนื้อรู้ตัว แต่ถึงอย่างไรก็เป็นคหบดีของตงอั้น เห็นโลกกว้างมามาก จึงเตรียมสุราอาหารได้อย่างสมบูรณ์และรวดเร็ว

 

 

จนกระทั่งคหบดีหลิวนั่งลงบนโต๊ะอาหาร เหมยเซียงจื่อจึงได้เข้าใจว่าทำไมชิวเยี่ยไป๋จึงให้นางมาด้วย

 

 

งานเลี้ยงมีสองโต๊ะ นอกจากสุราอาหารเลิศรสและนางรำที่คอยขับขานร่ายรำแล้ว ยังมีสตรีแต่งตัวงดงามโขยงใหญ่

 

 

“มาๆ รีบรับใช้บรรดาใต้เท้าจากเมืองหลวงให้ดี ถ้าใต้เท้าถูกอกถูกใจย่อมตกรางวัลให้” คหบดีหลิวพาบุตรชายสองคนมาช่วยรับแขกด้วย ลูบเครายิ้มน้อยๆ ออกคำสั่ง

 

 

พวกทหารของซือหลี่เจียนย่อมไม่อาจนั่งโต๊ะหลัก จึงนั่งรวมกันอีกโต๊ะหนึ่ง พวกบุรุษที่เดิมทีก็รักชอบดอกไม้ป่าอยู่แล้ว แล้วยิ่งพวกที่ตามมาคราวนี้ล้วนเป็นพวกหยิบหย่งที่มาจากตระกูลใหญ่ แม้จะถูกฝึกจนเหมือนผู้เหมือนคนอยู่บ้าง แต่อัดอั้นอยู่บนเรือสิบกว่าวัน ยามนี้จึงเบิกบานเป็นธรรมดา โอบกอดบรรดาหญิงงามอย่างไม่เกรงใจใคร

 

 

ฝ่ายคหบดีหลิวเห็นทางด้านโน้นเริ่มมือซนแล้ว ดวงตาก็ฉายแววดูแคลนวูบหนึ่ง แล้วหันไปมอง

 

 

ชิวเยี่ยไป๋ซึ่งเป็นหนึ่งเดียวที่มิได้โอบกอดใครไว้ในอ้อมอก เขาแววตาวิบวับ กล่าวกลั้วหัวร่อว่า “ใต้เท้าไม่ถูกใจแม่นางพวกนี้หรือ ถ้าเช่นนั้นข้าจะคัดสรรที่ดีที่สุดมาให้นะ”

 

 

ชิวเยี่ยไป๋เพียงกล่าวเนือยๆ ว่า “ท่อนแขนเรียวงามที่มีคนนอนหนุนมาแล้วเป็นพัน ข้าเป็นคนรักความสะอาดจึงพามาเอง ไม่ต้องไปข้องแวะกับพวกสตรีธรรมดาเหล่านี้หรอก”

 

 

โฉมงามที่นั่งข้างๆ พลันรู้สึกคับข้องและไม่พอใจ จะดีจะเลวนางก็เป็นถึงดาวเด่นของหอคณิกา คราวก่อนก็เคยรับใช้พวกที่มาสืบคดี ขุนนางที่อายุน้อยกว่าใช่ว่าจะไม่มี นึกไม่ถึงว่าเชียนจ่งคนนี้จะพูดตรงจนไร้มารยาท!

 

 

แต่พอนางเห็นชิวเยี่ยไป๋จูงมือคนที่มาด้วย ก็มีอาการงงงันและถอยไปอย่างเจียมตัว

 

 

“ใต้เท้าตาถึงจริงๆ มีหญิงรับใช้หน้าตาดีขนาดนี้อยู่ข้างกาย คนอื่นย่อมกลายเป็นดอกหญ้าแล้ว” เศรษฐีหลิวแลดูคนที่ชิวเยี่ยไป๋จูงมาให้นั่งลงก็ฉายแววยกย่อง และรีบรินสุราจอกหนึ่งให้ชิวเยี่ยไป๋อย่างประจบประแจง

 

 

สตรีผู้นี้แม้จะไว้ผมประหน้าผากและก้มศีรษะต่ำ ท่าทางเหมือนเอียงอาย แต่หน้าตาคิ้วคางงดงามมาก นับเป็นคนงามที่ยากจะพานพบ

 

 

ชิวเยี่ยไป๋แย้มยิ้มรับจอกสุราจากเศรษฐีหลิวแล้วดื่ม รินจอกหนึ่งให้เหมยเซียงจื่อเอง กระซิบข้างหูอย่างมีเลศนัยว่า “นั่นนะสิ เซียงเอ๋อร์ของข้าย่อมเป็นของดี คนอื่นไม่รู้หรอกว่าดีอย่างไร หอมมากเชียวนะ ฮ่าๆ!”

 

 

วาจาเชิงลวนลามเช่นนี้หลุดจากปาก บุรุษทั้งโต๊ะใครจะไม่รู้ว่าหมายถึงอะไร จึงพากันหัวร่ออย่างลามก

 

 

แม้เหมยเซียงจื่อจะไม่รู้ว่าพวกเขาหมายถึงอะไร แต่ลมหายใจของชิวเยี่ยไป๋ที่รดข้างแก้มทำเอานางเขินอายเป็นที่สุด จึงค้อนใส่ชิวเยี่ยไป๋อย่างดุร้าย

 

 

ชิวเยี่ยไป๋หัวร่อลั่น รีบกรอกสุราเหมยเซียงจื่ออีกจอก “เจ้าพริกขี้หนูน้อย ตีสีหน้าใส่คุณชายสี่ของเจ้าหรือ”

 

 

เหมยเซียงจื่อหน้าแดงถึงหูแต่ก็ปฏิเสธมิได้ จึงถูกบังคับให้ดื่มไปหลายอึก

 

 

เดิมทีพวกเขายังคิดว่าชิวเยี่ยไป๋จะเป็นคนเข้าถึงยากเหมือนกับคหบดีเผิงก่อนโน้นที่ตายไปแล้ว นึกไม่ถึงว่ากลับบุ่มบ่ามยิ่งกว่าพวกซือหลี่เจียนรุ่นก่อนที่เคยมาเสียอีก

 

 

คหบดีหลิวสบตากับมั่วเสียนแล้วพลันหัวร่อพร้อมกัน พากันคารวะสุราต่อชิวเยี่ยไป๋ ชิวเยี่ยไป๋ก็ไม่ปฏิเสธแม้แต่น้อย ดื่มทุกจอกจนบรรยากาศครึกครื้นอย่างยิ่ง

 

 

เสียงซอเสียงหัวร่อของหญิงงามผสมปนเปกันล่องลอยจนถึงนอกห้อง

 

 

ดื่มสุราไปสามรอบ คนบนโต๊ะก็ฟุบไปกว่าครึ่งค่อน คนหยิบหย่งของกองคั่นเฟิงสองคนมุดเข้าใต้โต๊ะแล้วไม่โผล่ออกมาอีกเลย

 

 

มั่วเสียนแลดูคนที่เหลือซึ่งซุกอยู่กับอกโฉมงามด้วยสายตาดูแคลน และแลดูหญิงรับใช้ที่ดื่มจนหน้าแดงก่ำซบอยู่กับไหล่ของชิวเยี่ยไป๋ จึงลุกขึ้นบอกใบ้เศรษฐีหลิวด้วยสายตาแล้วหัวร่อกล่าวว่า “ดูท่าคืนนี้ท่านหลิวคงต้องเตรียมห้องหับอีกหลายห้องรับรองใต้เท้าของเรากับพวกแล้ว”

 

 

คหบดีหลิวย่อมอมยิ้มพยักหน้าเป็นธรรมดา “ไม่มีปัญหา ย่อมไม่มีปัญหา”

 

 

จากนั้นมั่วเสียนก็เรียกคนที่ตนเองพามาช่วยกันจัดแจงให้ชิวเยี่ยไป๋กับพวกไปพักในห้องรับรองตระกูลหลิว

 

 

มั่วเสียนเห็นเหมยเซียงจื่อยืนโซเซก็หัวเราะหึๆ กล่าวว่า “แม่นาง รบกวนช่วยดูแลใต้เท้าของเจ้าให้ดีนะ” พูดจบก็สั่งให้คนนำอ่างน้ำและผ้าเช็ดตัวมาให้ แล้วถอยออกไปโดยคร้านจะเหลียวแลชิวเยี่ยไป๋ที่เมาจนหมดสติ

 

 

เหมยเซียงจื่อถูกกรอกสุราไปไม่น้อย ถ้ามิใช่เคยลิ้มชิมสุรามาบ้างในยามที่หมักสุราดอกเหมยตอนอยู่เจียงหนาน เกรงว่าตอนนี้คงยืนไม่ไหวแล้ว เพียงแต่ตอนที่นางอยู่ในเรือได้เรียนรู้เรื่องการรับใช้เจ้านายกับเสี่ยวเหยียนจื่อก็รู้แค่เปลือกนอกและไม่เคยรับใช้ชิวเยี่ยไป๋อย่างเป็นกิจจะลักษณะมาก่อน

 

 

นางแลดูชิวเยี่ยไป๋ที่นอนแผ่กับพื้นอย่างลังเลอยู่นาน ยังคงหน้าแดงฉานหยิบผ้าขนหนูจุ่มน้ำด้วยท่าทางงกๆ เงิ่นๆ แล้วเดินเซเข้าหา

 

 

ใต้แสงเทียน บุรุษเยาว์วัยที่หลับตาพริ้มนั้นหล่อเหลาอย่างน่าประหลาด ผิวพรรณที่คล้ายโปร่งใสมีประกายแดงเรื่อๆ จากฤทธิ์สุราช่างเป็นคุณชายที่งดงามราวสลักจากหยกจริงๆ

 

 

เหมยเซียงจื่อดูจนตะลึงลาน ดวงตาฉายแววสับสน แล้วเอื้อมมือไปหมายจะลองเช็ดหน้าให้ชิวเยี่ยไป๋ นึกไม่ถึงว่ามือเรียวยาวข้างหนึ่งพลันโอบเอวคอดกิ่วไว้แล้วกดหลังนาง เหมยเซียงจื่อจึงตกสู่อ้อมอกบนตัวชิวเยี่ยไป๋ในพริบตา