บทที่ 93 การชี้แนะ

นางสนมแพทย์อัจฉริยะ

บทที่ 93 การชี้แนะ
“เฟิ่งชิงเฉิน ข้าจะแนะนำเจ้าด้วยความหวังดีนะ”
เสียงนี้ ทำให้เฟิ่งชิงเฉินรอดพ้นจากความเจ็บปวด นางลืมคิดเรื่องเฉียนจิ้นไปแล้ว ตอนนี้นางกำลังใจจดใจจ่อกับคำพูดของตงหลิงจิ่ว
คำแนะนำ เสด็จอาเก้าจะให้คำแนะนำอย่างไรกับนางนะ?
นางอยากรู้จริงๆ
เฟิ่งชิงเฉินรีบคุกเข่าลงต่อหน้าตงหลิงจิ่วในทันที พร้อมกับกล่าวว่า “ชิงเฉินขอบพระทัยเสด็จอา เชิญเสด็จอาชี้แนะมาได้เลยเพคะ”
คำขอบคุณนี้ ไม่ได้เป็นเพียงการคำขอบคุณสำหรับคำชี้แนะของเสด็จอา แต่ยังเป็นการขอบคุณที่เสด็จอาช่วยชีวิตนางเอาไว้อีกด้วย
ตงหลิงจิ่วยังไม่ได้บอกให้เฟิ่งชิงเฉินลุกขึ้น แม้ในขณะที่เฟิ่งชิงเฉินกำลังพูด สายตาของเขาก็ไม่ชำเลืองมาที่เฟิ่งชิงเฉินแม้แต่น้อย ความน่าเกรงขามแบบเยือกเย็นของเขา ทำให้เขาดูน่ากลัวยิ่งนัก
“เฟิ่งชิงเฉิน จำคำข้าไว้นะ การเผชิญหน้ากับความแข็งแกร่งที่แท้จริงนั้น แผนที่ซับซ้อนซ่อนเงื่อนทุกรูปแบบย่อมไร้ประโยชน์ ดำกับขาว ถูกกับผิด เป็นเพียงคำกล่าวของผู้มีอำนาจเท่านั้น ความสามารถที่มีขีดจำกัดของเจ้า เมื่อหมดหนทางจริงๆแล้วอย่าทำอะไรไปเรื่อย ความเป็นความตายของคนไร้อำนาจเป็นสิ่งที่ไร้ค่าที่สุดในโลกนี้”
เช่นเดียวกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในวันนี้ องค์หญิงอันผิงมีอำนาจเหนือกว่าเฟิ่งชิงเฉินมาก ดังนั้นองค์หญิงอันผิงจึงสามารถบดขยี้นางได้ตามใจชอบ และยังสามารถโยนตราบาปให้กับนางได้อีกด้วย
องค์หญิงอันผิงต้องการกำจัดเฟิ่งชิงเฉิน แต่ด้วยคำพูดบางคำ และติดว่ามีคนบางคนและเรื่องบางเรื่องมาเป็นอุปสรรค องค์หญิงอันผิงจึงลงมือไม่สะดวกเท่าที่ควร
และการที่เขาเข้ามาช่วยเฟิ่งชิงเฉินก็ไม่ใช่เพราะว่าเขามีหลักฐานที่สามารถพิสูจน์ว่าเฟิ่งชิงเฉินไม่มีส่วนเกี่ยวข้องในการลอบฆ่า และก็ไม่ได้หมายความว่าเขาเชื่อว่าเฟิ่งชิงเฉินจะไม่มีวันลอบทำร้ายอันผิง
เฟิ่งชิงเฉินจะทำจริงหรือไม่ก็ไม่ได้สำคัญสำหรับเขา เพราะหากเขาบอกว่าเฟิ่งชิงเฉินทำจริง เฟิ่งชิงเฉินก็ต้องทำจริงๆ แม้ในความเป็นจริงนางจะไม่ได้ทำก็ตาม หากเขาบอกว่าเฟิ่งชิงเฉินไม่ได้ทำ ก็แปลว่าเฟิ่งชิงเฉินไม่ได้ทำ แม้ในความเป็นจริงนางจะเป็นคนทำก็ตาม
นี่คือสิ่งที่เรียกว่าพลังอำนาจ การที่เขามานั่งอยู่ตรงนี้ ก็หมายความว่าเขามีความสามารถในการพลิกผันสิ่งต่างๆ เขามีอำนาจเด็ดขาด
เฟิ่งชิงเฉินพยายามทำความเข้าใจคำพูดเหล่านี้ หลังจากนั้นนางก็คำนับเสด็จอาเก้า “ชิงเฉินทราบแล้วเพคะ ขอบพระทัยเสด็จอาเก้าที่ทรงช่วยชี้แนะ”
ความเมตตาต้องใช้ให้ถูกทาง ความเมตตาไม่ใช่สิ่งที่ใครๆก็ทำได้ ปากพูดได้ว่าเห็นอกเห็นใจ แต่มันจะมีค่าอะไรล่ะ
“อืม ดูดีๆก็แล้วกัน” ตงหลิงจิ่วพยักหน้า
เฟิ่งชิงเฉินคนนี้รู้จักว่านอนสอนง่าย ไม่เสียแรงที่เขาปากเปียกปากแฉะพร่ำสอน
ตงหลิงจิ่วและเฟิ่งชิงเฉินถามตอบกันไปมา โดยยังอยู่ที่ประเด็นเรื่องอันผิงและลู่เส้าหลิน คำพูดของเสด็จอาเก้า สองคนนี้ไม่ได้รู้สึกอะไรเลย
ผู้มีอำนาจมากย่อมมีสิทธิ์พูดได้มากกว่า แต่อำนาจที่พวกเขามีนั้นก็ยังต้องทำตามฮ่องเต้ มีฮ่องเต้ทรงเป็นผู้ตัดสิน
ลู่เส้าหลินและอันผิงไม่สนใจคำพูดเหล่านี้ แต่กลับสนใจเรื่องท่าทีที่เสด็จอาเก้ามีต่อเฟิ่งชิงเฉิน
การที่เสด็จอาเก้าให้คำแนะนำหรือตักเตือนผู้อื่น ดูเผินๆก็เหมือนว่าเขาไม่พอใจคนๆนั้น แต่ลู่เส้าหลินและอันผิงต่างก็เข้าใจดีว่าการที่เสด็จอาเก้าว่ากล่าวตักเตือนผู้ใดนั้น เป็นเพราะว่าเขาชื่นชมคนๆนั้นต่างหาก เขามองว่าคนๆนั้นสามารถพัฒนาได้ก้าวไกลยิ่งกว่าเดิม
ในแผ่นดินตงหลิงนี้ ยังมีใครอีกหลายคนที่ปรารถนาจะได้รับการอบรมสั่งสอนจากเสด็จอาเก้า
ต้องบอกก่อนว่าหลายปีมานี้ฮ่องเต้ทรงอยากปลดรัชทายาทมาก แต่ที่ยังไม่ทรงลงมือทำอะไรสักที ไม่ได้เป็นเพราะทรงมีพระเมตตา แต่เป็นเพราะเสด็จอาเก้าเคยให้คำชี้แนะต่อรัชทายาทในเรื่องของคุณสมบัติของการเป็นผู้นำ
เพราะการชี้แนะนี้ ฮ่องเต้จึงยังไม่ทรงจัดการใดๆ เพราะรัชทายาทเป็นคนที่เสด็จอาเก้าคอยปกป้องเอาไว้ นี่จึงเป็นเหตุผลที่ฮ่องเต้ทรงอยากให้ตงหลิงจื่อลั่วได้อยู่ใกล้ชิดกับเสด็จอาเก้า
มาตอนนี้ เฟิ่งชิงเฉินก็ได้กลายมาเป็นคนที่เสด็จอาเก้าคอยปกป้องเอาไว้อีก
ลู่เส้าหลินและองค์หญิงอันผิงรู้แล้วว่า นับจากนี้เป็นต้นไป จะประมาทเฟิ่งชิงเฉินไม่ได้แล้ว
องค์หญิงอันผิงโมโหมาก ส่วนลู่เส้าหลินกลับโล่งใจที่ตนเองยังไม่ทันได้ทรมานเฟิ่งชิงเฉิน
เฟิ่งชิงเฉินลุกขึ้น เมื่อหันหลังไปก็เห็นว่าเนื้อบริเวณมือขวาของเฉียนจิ้นถูกเฉือนเป็นชิ้นๆ แต่ละชิ้นบางเฉียบยิ่งนัก
เฟิ่งชิงเฉินไม่รู้สึกอะไร นางทำหน้านิ่ง ราวกับว่ามองไม่เห็นความเจ็บปวดของเฉียนจิ้นแม้แต่น้อย
“ท่านอ๋อง?” ลู่เส้าหลินเห็นดังนั้นแล้วก็เดินเข้าไปถามตงหลิงจิ่วว่าควรจะทำเช่นไรต่อไปดี
“จัดการตามขั้นตอนขององครักษ์เสื้อโลหิตได้เลย ข้าจะไม่ก้าวก่ายการทำงานของใต้เท้าลู่”
เขาพูดสั้นๆแต่ฟังดูทรงพลังยิ่งนัก
นี่แหละคืออำนาจ
เฟิ่งชิงเฉินเข้าใจแล้ว
องค์หญิงอันผิงอยากจะเอ่ยปากพูดอะไรบางอย่าง แต่สุดท้ายก็ได้แต่เงียบไว้
นางเชื่อเสด็จอาเก้า เรื่องนี้จะทำอย่างโจ่งแจ้งไม่ได้ นางจะไม่ยอมให้เรื่องนี้ไปพัวพันกับเสด็จแม่ของนางเป็นอันขาด
“ทรมานด้วยเหล็กร้อน” ลู่เส้าหลินสั่งการแล้วก็เดินออกไป หลังจากนั้น องครักษ์เสื้อโลหิตก็เดินมาจัดการ
แผ่นเหล็กที่เคลือบไฟจนแดงวาบ เจ้าหน้าที่เลือกดูแผ่นเหล็ก แล้วก็หยิบแผ่นเหล็กที่มีขนาดเท่ากับมือทารกออกมา
“อื้อๆๆ……” ปากของเฉียนจิ้นถูกฝากาน้ำชาอุดไว้จนไม่อาจพูดอะไรได้ มีแต่เสียงอื้อๆในลำคอ ทั้งเลือดและน้ำลายไหลย้อย ดวงตาของเขาเบิกโพลง
แม้ว่าเขาจะตกอยู่ในสภาพเช่นนั้น แต่ก็ไม่มีใครคิดจะปล่อยเขาไป
ในสายตาของลู่เส้าหลินแล้ว นี่เป็นการลงโทษสถานเบาเท่านั้น ยังไม่ได้ครึ่งหนึ่งตามแบบแผนขององครักษ์เสื้อโลหิตเสียด้วยซ้ำ
เฟิ่งชิงเฉินอ่านใจเขาไม่ออกเลย แววตาของเสด็จอาเก้าดูแน่นิ่งเหลือเกิน แววตาของคนเรา บางครั้งก็มองไม่ค่อยออก
เหมือนแววตาของหลานจิ่วชิง ทุกครั้งที่เฟิ่งชิงเฉินมองตาหลานจิ่วชิง นางมักจะดูไม่ออกอยู่บ่อยครั้ง
แต่ลึกๆในใจแล้ว เฟิ่งชิงเฉินรู้สึกว่าเสด็จอาเก้าไม่ใช่คนเลือดเย็น เขาเพียงแค่ต้องการให้เรื่องของเฉียนจิ้นมาทำให้นางได้เข้าใจ ว่าหากมีอำนาจไม่มากพอ ก็จงปฏิบัติตามแนวทางของสังคม มิฉะนั้นจะพบกับจุดจบเช่นเดียวกับเฉียนจิ้น
พึงจำเอาไว้ว่า ใช่ว่าคนเราจะโชคดีเสมอไป
องครักษ์เสื้อโลหิตกดแผ่นเหล็กเข้าไปที่กระดูกของเฉียนจิ้น
“อักๆๆ……” เฉียนจิ้นดิ้นพล่านอยู่กับแท่นทรมาน ศีรษะของเขากระแทกกับแท่นทรมานอยู่บ่อยครั้ง
นี่เป็นความเจ็บปวดเกินกว่าจะสามารถบรรยายได้
กลิ่นไหม้และกลิ่นเหม็นลอยมา เป็นกลิ่นที่ชวนให้อาเจียนยิ่งนัก
มันน่าอาเจียนจริงๆเลย……
ผู้ที่มีอาการอยากอาเจียน ก็คือหมอหลวงที่มากับองค์หญิงอันผิง
หมอหลวงคนนี้ ปกติจะทำงานอยู่แต่ในสำนักหมอหลวง เขายังเป็นคนสนิทของฮองเฮาและองค์หญิงอันผิง จึงไม่เคยเห็นเหตุการณ์เช่นนี้มาก่อน
กลิ่นคาวเลือดนี้ มอบสัมผัสที่ดูโหดร้ายเสียเหลือเกิน
เฟิ่งชิงเฉินไม่ได้ยิ้มเยาะเขา นางได้แต่มองเขาด้วยความเห็นใจ
เฟิ่งชิงเฉินเข้าใจดี ต่อจากนี้เป็นต้นไป หมอหลวงคนนี้คงไม่มีที่ยืนเป็นแน่ ฮองเฮาและองค์หญิงอันผิงไม่มีทางปล่อยให้เสด็จอาเก้าไม่พอใจเพราะคนเช่นนี้เป็นอันขาด
เนื่องจากนางเตรียมใจมาก่อนหน้านี้แล้ว บวกกับคำพูดของเสด็จอาเก้า ตอนนี้เฟิ่งชิงเฉินจึงชินแล้ว นางมองอยู่นิ่งๆ ทำเหมือนกับว่าเรื่องราวที่เกิดขึ้นไม่เกี่ยวข้องกับตัวเอง
ฉ่า……องครักษ์เสื้อโลหิตนำด้ามเหล็กมาจุ่มลงในน้ำ
กระดูกมือของเฉียนจิ้นมีรอยบุ๋มสีดำ รอยบุ๋มนั้นยังมีควันคุกรุ่น
องครักษ์เสื้อโลหิตหยิบด้ามเหล็กอันที่ 2 ออกมา คราวนี้องค์หญิงอันผิงก็อยากอาเจียนบ้าง “เสด็จอา อันผิงกลัวเพคะ……”
ไม่รู้ว่าพูดจริงหรือเสแสร้ง องค์หญิงอันผิงหน้าตาซีดเซียว แถมยังทำท่าทางแสนอ่อนแอ
ตงหลิงจิ่วพยักหน้าแล้วยกมือขึ้นมาสั่งหยุด “วันนี้พอเท่านี้ก็แล้วกัน”
เมื่อลู่เส้าหลินและองครักษ์เสื้อโลหิตได้ยินดังนั้นแล้วก็นำอุปกรณ์ทรมานไปไว้อีกทางหนึ่ง
คนขององครักษ์เสื้อโลหิต หากทำการลงทัณฑ์ผู้ใดแล้ว ก็ต้องทำให้ครบทุกรูปแบบ
องครักษ์เสื้อโลหิตชอบใช้อุปกรณ์ลงทัณฑ์ให้ครบชุดเสียก่อน แล้วเรื่องอื่นค่อยว่ากันทีหลัง
วันนี้ ถือว่าเฉียนจิ้นรอดตัวไป
แต่ก็ไม่รู้ว่าเขาจะรู้จักใช้โอกาสอันโชคดีนี้ให้เกิดประโยชน์ได้หรือไม่
หากเขาพูดผิด คนที่ซวยก็คือเขานั่นเอง……