ไม่พอใจ

ฮองเฮายิ้มออกมาพลางมองตรงไปยังเขา

“ไม่พอใจ นับเป็นเรื่องน่าแปลกอันใดได้” นางเอ่ยอย่างช้าๆ “บนโลกนี้มีผู้ใดที่ไม่เคยมีเรื่องไม่พอใจบ้าง หรือไม่เคยมีเลย”

แน่นอนว่าเคย

“เดิมทีก็ไม่พอใจอยู่แล้ว เหตุใดยังไม่รู้จักรักชีวิตตัวเองอีก” ฮองเฮาเอ่ยเสียงเรียบ “เดิมก็ไม่มีผู้ใดรักและหวงแหนอยู่แล้ว…”

จิ้นอันจวิ้นอ๋องโน้มตัวลงกับพื้นนิ่งอยู่อย่างนั้น ร่างสั่นเทาเล็กน้อย

“ขอบพระทัยฮองเฮาที่ช่วยชีวิตไว้พะย่ะค่ะ” เขาเอ่ยขึ้น

หากตอนนั้นไม่ได้ฮองเฮามาทันเวลาพอดี ซ้ำยังกล่าวโทษตัวเองเพื่อไกล่เกลี่ยสถานการณ์ล่ะก็ เกรงว่าเรื่องในวันนี้คงปิดฉากลงมิได้

ไม่ ไม่ มีเพียงเขาเท่านั้นที่หาทางลงมิได้ คนอื่นๆ จะต้องจัดการปิดฉากลงได้อย่างสมบูรณ์เรียบร้อยแน่

ฮองเฮาส่ายหน้า

“ไม่ต้องขอบคุณข้า ข้ามิได้ทำเพื่อเจ้า” นางเอ่ย สายตาทอดมองความมืดสลัวอันเหน็บหนาวภายในห้อง

‘ฮองเฮา ฮองเฮา ให้ข้าป้อนยาท่านเถอะ ท่านอย่ากลัวว่ามันจะขมเลยนะ…’

‘ฮองเฮา วันนี้ท่านอาจารย์เล่านิทานสนุกให้ข้าฟัง ข้าจะเล่าให้ท่านฟังพะย่ะค่ะ…’

ดังนั้นแล้วการได้มาแล้วเสียไปเป็นทุกข์ที่สุดในโลก หากไม่ได้มาครองตั้งแต่แรก ก็จะไม่มีอะไรให้ทุกข์

“…หลายปีมาแล้ว ที่เจ้าดูแลลิ่วเกอร์ อย่างน้อยหลายปีที่ผ่านมาเจ้าก็ได้ใช้ชีวิตอย่างมีความสุข” ฮองเฮาเอ่ย “ถึงอย่างไรเขาก็เรียกข้าว่าฮองเฮามาหลายปีเพียงนี้ ซ้ำสิ่งที่ข้าให้เขาก็ไม่เท่ากับที่เจ้าได้ให้เขาไป ครานี้ นับว่าข้าให้ความสุขแก่เขาก็แล้วกัน หากเขารู้เข้าว่าเจ้าเป็นอันตรายเพราะเรื่องนี้ เขาคงไม่มีความสุข”

จิ้นอันจวิ้นอ๋องที่โน้มตัวอยู่บนพื้นสะอึกสะอื้นจนไหล่สั่นไหว

เหตุใดลิ่วเกอร์จึงอยากให้เขาอยู่อย่างมีความสุขกันด้วยเล่า

ฮองเฮาปล่อยให้เขาร้องไห้อยู่พักใหญ่

“เจ้าก็ร้องอยู่ที่นี่เสียให้พอ ออกจากนี่ไปแล้ว ก็ตรองดูว่าจะทำเช่นไรต่อ แม้ข้าจะห้ามไม่ให้เจ้าทำผิดต่อไป แต่ความผิดวันนี้ได้ออกจากปากไปแล้ว” นางเอ่ยช้าๆ ทอดถอนใจยาว ราวกับถอนออกมาจนหมดลม “เจ้าคิดจะทำอันใดต่อไปก็เป็นเรื่องของเจ้าแล้ว เหลือแค่ตัวเจ้าเองแล้ว”

อันที่จริงมีเพียงตัวเราเองเท่านั้นที่จะอยู่กับเราบนโลกใบนี้

“สุดท้าย เจ้าต้องจำไว้ว่า” ฮองเฮามองจิ้นอันจวิ้นอ๋อง “ฝ่าบาทเป็นกษัตริย์ที่ฉลาดปราดเปรื่อง”

ในขณะเดียวกันนั้นเอง นอกวังหลวงก็กำลังมีคนพูดประเดียวกันนี้ขึ้น

“…เมื่อก่อนอาจจะไม่ใช่ ทว่ายามนี้เป็นแล้วแน่นอน” นายใหญ่เฉินเอ่ยขึ้น

สิ่งที่เรียกว่ากษัตริย์ผู้ปราดเปรื่องนั้น มิได้หมายความว่าฮ่องเต้ฉลาดเฉลียวมีอำนาจมากมาย กลับกันทรงยุติธรรมเป็นอย่างมาก เหล่าขุนนางกลับไม่อยากได้ฮ่องเต้ที่เก่งกล้าสามารถเช่นจิ๋นซีฮ่องเต้หรือฮั่นอู่ตี้ พวกเขาอยากได้แบบฉลาดสักหน่อย กระทั่งมีปัญญาเพียงเล็กน้อยก็ไม่เป็นไร ขอเพียงตรงตามเงื่อนไขก็จะสรรเสริญว่าเป็นโอรสสวรรค์แล้ว

เงื่อนไขนี้ก็คือตระหนักรู้

ตระหนักรู้ว่าตนเองเป็นใคร ตระหนักรู้ว่าตนเองต้องทำอันใด ขอเพียงรู้ว่าตนเองต้องทำอันใด ก็จะรู้ได้ว่าตนเองไม่อาจทำสิ่งใดได้

เรื่องที่ง่ายที่สุดบนโลกใบนี้ กลับเป็นเรื่องที่ทำได้ยากที่สุดเช่นกัน อย่างไรเสียคนที่สามารถมองออกได้อย่างทะลุปรุโปร่งนั้นมีมากมาย แต่คนที่ปล่อยวางได้นั้นกลับมีน้อยนิด

สำหรับฮ่องเต้ที่ทรงมีทายาทยากซ้ำยังพระวรกายอ่อนแอ ขอเพียงเขาเป็นกษัตริย์ที่ฉลาดปราดเปรื่อง องค์ชายบาดเจ็บไปองค์หนึ่งเช่นนั้นย่อมโศกเศร้าเสียใจไม่น้อยเป็นแน่ ทว่านี่ก็เพียงพอที่จะทำให้ฝ่าบาททำเรื่องที่ไร้เหตุผลออกมาได้ นอกจากจะเป็นพ่อคนแล้ว ฝ่าบาทยังแบกตำแหน่งฮ่องเต้ดูแลแผ่นดินเอาไว้อีก

“อย่าว่าแต่เรื่องขององค์ชายรองเป็นอุบัติเหตุเลย ต่อให้เป็น…” นายใหญ่เฉินเอ่ย

ยังกล่าวไม่ทันจบ เฉินเซ่าก็กระแอมออกมาขัดเอาไว้

แม้จะนั่งอยู่ในบ้าน แต่คำพูดที่ไม่ภักดีบางคำก็ไม่อาจพูดออกมาได้

ข่าวคราวที่ลือจากวังหลวงก็คลุมเครือ แต่พวกเขาก็รับฟังแต่ที่ควรจะฟังเท่านั้น ยิ่งไม่ต้องพูดเรื่องที่พูดต่อ

นายใหญ่เฉินแย้มยิ้มออกมา กลืนคำพูดนั้นไป

“…ฝ่าบาททรงคำนึงถึงรัชทายาทที่จะมาปกครองราชสำนัก หรือพระองค์จะให้ความสำคัญแก่องค์ชายใหญ่จริงๆ” เขาเอ่ยต่อ

แน่นอนว่าไม่ ยามนี้รัชทายาทของฮ่องเต้เหลือเพียงองค์ชายใหญ่คนเดียวแล้ว เกรงว่าต้องประคบประหงมเอาไว้ ไม่ให้เขาได้รับความทุกข์ความยากอันใดเป็นแน่

“ฝ่าบาทก็อายุมากแล้ว” นายใหญ่เฉินเอ่ยอย่างมีนัยยะ

อย่าว่าแต่สุขภาพพลานามัยของฝ่าบาทในยามนี้จะมีทายาทได้อีกหรือไม่เลย ต่อให้มีทายาทได้ ฝ่าบาทที่ร่างกายเจ็บป่วยอ่อนแอจะรอจนองค์ชายเติบใหญ่ได้หรือ อีกทั้งองค์ชายจะสามารถเติบใหญ่ได้หรือไม่นั้นยิ่งไม่ต้องพูดถึง

หลักการนี้ใครๆ ก็รู้ มิฉะนั้นเจ้าคิดว่าเพราะเหตุใดฮองเฮาจึงไปร้องห่มร้องไห้ขอรับโทษที่ตำหนักกันเล่า

ไม่ใช่ลูกชายของตัวเองแท้ๆ บาดเจ็บก็บาดเจ็บไปสิ ขอเพียงนางรักษาตำแหน่งฮองเฮาให้มั่นคงไว้ ภายหน้าไม่ว่าองค์ชายองค์ใดขึ้นครองราชย์นางก็ได้เป็นไทเฮาอยู่ดี แต่หากยามนี้มัวแต่มาถามว่าเรื่องนี้เป็นเพราะพี่ที่ทำร้ายน้องจริงหรืออยู่ล่ะก็ ทั้งยังไร้ประโยชน์ แล้วยังจะทำให้ฮ่องเต้กับไทเฮาห้ามเอาด้วย พอองค์ชายใหญ่ขึ้นครองราชย์แล้ว ย่อมไม่เอาสตรีที่เคยทำกับตนเช่นนั้นมาเป็นไทเฮาแน่ หากนางสามารถรักษาตำแหน่งฮองเฮาไว้อย่างมั่นคงจนถึงวันนั้นนะ

เรื่องของราชวงศ์เหล่านี้…

แค่องค์ชายองค์หนึ่งบาดเจ็บเท่านั้น อีกทั้งมิใช่ว่าไม่เคยบาดเจ็บมาก่อน อีกอย่างในราชสำนักยังมีองค์ชายอยู่อีกองค์ ดังนั้นอุบัติเหตุในวังหลวงวันนี้ สำหรับเหล่าขุนนางแล้วไม่ใช่เรื่องใหญ่โตอันใด พอส่ายหน้าถอนใจคราหนึ่งเรื่องความลำบากของรัชทายาทองค์ฮ่องเต้ก็ทิ้งไปกับลมแล้ว

เฉินเซ่าส่ายหน้า ทิ้งเรื่องนี้ไปไม่พูดต่ออีก แล้วเปลี่ยนข้อสนทนาไปคุยเรื่องอื่นกับบิดาแทน

“นี่ไม่นับว่าเป็นเรื่องใหญ่อันใด…”

เวลาดึกดื่นเข้าไปแล้ว ลมราตรีหวีดหวิวพัดแรงขึ้นเรื่อยๆ ภายในตำหนักองค์ชายใหญ่ยังคงสว่างไสว มีขันทีและนางกำนัลยืนอยู่บนระเบียงมากมายจนนับไม่ถ้วน

แต่ภายในห้องกลับไร้ผู้คน มีเพียงกุ้ยเฟยที่นั่งอยู่บนเตียง ตบปลอบองค์ชายใหญ่ที่ขวัญหายไปพลาง เอ่ยด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนไปพลาง

“…เจ้าไม่รู้ เด็กๆ ต่างเลี้ยงยากกันทั้งนั้น พวกภูติผีเอย ปีศาจเอยต่างมารุมล้อม มิฉะนั้นเหตุใดเด็กเล็กๆ จึงมักจะเจ็บตัวได้ง่ายๆ กันเล่า เดินเดินไปก็ล้มแล้วมิใช่หรือ”

องค์ชายใหญ่อารมณ์ค่อยๆ คลายลง เขาเงยหน้ามองนาง

“พะ…เพราะเหตุใดหรือ” เขาถามเสียงสั่นเครือ

“ก็เพราะว่าพวกภูติผีปีศาจเหล่านั้นทำให้เกิดอุบัติเหตุขึ้น” กุ้ยเฟยมองเขาแล้วยิ้มตอบ นางยื่นมือไปลูบติ่งหูของเขา “ดังนั้นเด็กคนหนึ่งจะโตมาอย่างดีนั้นมิใช่เรื่องง่าย”

องค์ชายใหญ่กลืนน้ำลาย แววตายังคงวิตกอยู่

“จะ…จริงหรือ” เขาถามเสียงสั่น

น้ำหนักมือที่ลูบติ่งหูองค์ชายใหญ่ของกุ้ยเฟยพลันแรงขึ้น องค์ชายใหญ่ร้องออกมาด้วยความเจ็บ

“ย่อมจริงดังนั้น ข้าจะหลอกเจ้าเพื่ออะไร! เจ้าจำเอาไว้ให้ดี” กุ้ยเฟยมองเขา ขมวดคิ้วมุ่น “ลิ่วเกอร์อายุยืนไม่พอ สวรรค์จึงมารับกลับไป ไม่เกี่ยวกับใครทั้งนั้น!”

องค์ชายใหญ่เจ็บจนอ้าปากร้องออกมาพลางพยักหน้าไม่หยุด

กุ้ยเฟยดึงมือออก เปลี่ยนท่าทีเป็นอ่อนโยนลูบหัวไหล่เขา

“ซื่อเกอร์ เจ้าต้องจำไว้ว่า ยามนี้เจ้าเป็นโอรสเพียงคนเดียวของเสด็จพ่อแล้ว เจ้าต้องสืบทอดดูแลแผ่นดินต่อในอนาคต เจ้าคือทายาทที่มีสายเลือดของราชวงศ์ฟาง ไม่มีใครกล้ามาทำอันใดเจ้าได้” นางค่อยๆ พูดอย่างช้าๆ “และไม่มีใครมาทำอันใดเจ้าได้”

องค์ชายใหญ่มองนาง พยักหน้าทั้งน้ำตา

กุ้ยเฟยมองเขาแล้วยิ้มบางๆ

“เด็กดี” นางเอ่ยแล้วหุบยิ้มลง เปลี่ยนเป็นสีหน้าโศกเศร้า “โทษที่เจ้าอายุยังน้อย โตไม่พอ มิฉะนั้นก็คงดึงลิ่วเกอร์ไว้ได้แล้ว…”

ประโยคนี้เอ่ยออกไป องค์ชายใหญ่ที่เพิ่งจะสงบก็เริ่มหน้าซีดเผือดขึ้นมาอีกครั้ง

กุ้ยเฟยกอดไหล่เขาไว้ กอดร่างเขาไว้อย่างมั่นคง มองสบดวงตาเขา

“เจ้าพูดตามข้า!” นางกดเสียงต่ำ “โทษที่ข้าอายุน้อย ไม่มีเรี่ยวแรง มิฉะนั้นคงดึงลิ่วเกอร์ไว้ได้แล้ว!”

องค์ชายใหญ่สั่นไปทั้งร่าง ฟันกระทบกันหงึกหงัก เอ่ยอย่างตะกุกตะกัก

เขา…เขา…ไม่ได้ดึงเอาไว้…

“พูด โทษที่ข้าอายุน้อย ไม่มีเรี่ยวแรง มิฉะนั้นคงดึงลิ่วเกอร์ไว้ได้แล้ว!”

“พูด พูดอีก”

เสียงแผ่วเบาเอ่ยซ้ำอยู่คราแล้วคราเล่า จนกระทั่งลมราตรีหยุดลงไม่รู้ในยามใด ท้องฟ้าก็ค่อยๆ สว่างขึ้น

องค์ชายใหญ่หายสั่นแล้ว เขาหาวออกมา

“โทษที่ข้าอายุน้อย…” เขาพึมพำ “ไม่มีเรี่ยวแรง มิฉะนั้นคงดึงลิ่วเกอร์ไว้ได้แล้ว…”

พูดถึงตรงนี้ ปลายจมูกของเขาก็กระตุก

จริงด้วย โทษที่ข้าอายุน้อย ตอนนั้นเขาดึงไว้ไม่อยู่จริงๆ…

“ไทเฮา โทษที่ข้าอายุน้อย ดึงลิ่วเกอร์ไว้ไม่อยู่ เขาตะโกนเรียกข้าท่านพี่ ท่านพี่ แต่ข้าช่วยเขาไว้ไม่ได้…”

องค์ชายใหญ่ร้องไห้โฮออกมายกใหญ่

กุ้ยเฟยที่มององค์ชายใหญ่ร้องไห้ฟูมฟายจึงถอนหายใจออกมาในที่สุด ใบหน้าแย้มยิ้มบางแล้วรีบปิดบังมันไว้ ยกมือขึ้นโอบไหล่ลูกชายอีกครั้ง ปลอบประโลมด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน

แม้ว่าองค์ชายรองจะถูกวินิจฉัยว่าหมดทางเยียวยารักษาได้ ทว่าก็ยังไม่ตาย คืนวันในวังหลวงก็จะไม่ถูกทำลายลง เวลาเช้าตรู่ของวัน มื้อเช้าได้ถูกตระเตรียมเพื่อส่งไปยังตำหนักต่างๆ เรียบร้อยแล้ว

ขันทีมองอาหารที่ส่งมาพลางยื่นมือส่งสัญญาณให้วางลง รอจนพวกนั้นกลับไปแล้ว เขาก็มิได้เปิดประตูห้องบรรทมของจิ้นอันจวิ้นอ๋องเข้าไป แต่เดินไปด้านหลังแทน

ประตูห้องเก็บของที่วางของขวัญปีใหม่จากจวนฉวีโจวอ๋องไว้เปิดอ้าอยู่ พอมองผ่านประตูเข้าไปก็เห็นจิ้นอันจวิ้นอ๋องกำลังนั่งอยู่ในนั้น เขายังคงสวมชุดผ้าไหมชุดเดิมอยู่ เท้าที่วางอยู่บนเบาะรองนั่งก็ยังคงสวมถุงเท้าคู่เดิม นอกจากถุงเท้าที่เปื้อนจากการวิ่งอย่างรีบร้อนแล้ว อย่างอื่นล้วนเหมือนกับเมื่อวานไม่เปลี่ยนแปลง

แม้ขันทีจะหยุดฝีเท้าลง ทว่าเสียงฝีเท้าก็ยังคงทำให้จิ้นอันจวิ้นอ๋องตกใจอยู่ดี ทำเขาหันมามองอย่างอดไม่ได้

“ท่านพี่ ท่านพี่ เราไปดูแผนที่ที่อยู่กับเสด็จพ่อกันเถอะ”

องค์ชายรองพูดเสียงดังด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้ม

“เอาสิ เอาสิ ข้าจะไปกับเจ้าด้วย” จิ้นอันจวิ้นอ๋องรีบยืนขึ้น เอ่ยด้วยความรีบร้อนราวกับว่ากลัวจะสายเกินที่จะพูดออกไป

ทว่าก็ยังสายไปอยู่ดี ประโยคนี้เอ่ยออกไป เด็กน้อยตรงหน้าก็กลับกลายเป็นอากาศ มีเพียงขันทีที่ยืนอยู่ตรงนั้นมองเขาด้วยสีหน้าเศร้าสลด

จิ้นอันจวิ้นอ๋องค่อยๆ หันกลับไปอย่างช้าๆ กวาดสายตามองชั้นวางภายในห้อง กวาดผ่านสิ่งของล้ำค่ามากมายบนนั้น

เขาค่อยๆ เดินเข้าไปหา ยกมือลูบทีละชิ้น ทีละชิ้น

ความจริงแล้วของพวกนี้เหมือนเดิมทุกปี ความจริงแล้วของพวกนี้เขาไม่ชอบแม้แต่น้อย ความจริงแล้วของเหล่านี้เขาเห็นเข้าก็ไม่ชอบแล้ว เขาล้วนแสร้งทำทั้งนั้น…

เสแสร้งว่าชื่นชอบ เสแสร้งเพราะอยากให้คนอื่นได้รู้ว่าเขายังมีครอบครัวที่คอยห่วง

ความจริงแล้วไม่มีเลยสักคน ไม่มีใครเป็นห่วงเขา ไม่มีใครคิดเตรียมของขวัญให้เขาเลย

ไม่มีเลยสักคน! ไม่มีเลย!

เหตุใดเขาต้องหลอกตัวเอง! เหตุใดต้องหลอกคนอื่น! จะมีใครมาสนใจกัน! ใครจะมาสนใจ!

ใครจะอยากดูของขวัญปีใหม่ที่ไม่ชอบเหล่านี้! ท่าทางเสแสร้งว่าชอบดู! สร้างภาพเหล่าญาติมิตรขึ้นมาเพื่อหลอกตัวเองว่ามีคนคอยห่วงใย! สุดท้ายกลับสูญเสียคนข้างกายที่แตะต้องได้ สัมผัสได้ มองเห็นได้ที่ห่วงใยเขาไป!

ตื่นได้แล้ว!

จิ้นอันจวิ้นอ๋องยื่นมือไปดึงดาบล้ำค่าบนชั้นวางออกมา ฟันลงบนกล่องของขวัญที่ใส่ผ้าต่วนผ้าไหมตรงหน้าอย่างแรง กล่องใบนั้นตกลงมา ผ้าขาดวิ่น เสียงดังโครมครามขึ้นภายในห้อง

ตื่นได้แล้ว ตื่นได้แล้ว เจ้าไม่มีอะไรทั้งนั้น ไม่มีอะไรทั้งนั้น เมื่อก่อนไม่มี ยามนี้ไม่มี วันหน้าก็จะไม่มี!