“ไทเฮาเพคะ…”
น้ำเสียงแสนเจ็บปวดของหญิงสาวดังขึ้นพร้อมกับตำหนักที่เปิดออก ขันทีที่ยกกล่องอาหารเข้ามายืนนิ่งในทันใด ขันทีคนหนึ่งชะโงกหน้าออกมาส่งสายตาถาม ขันทีอีกคนหนึ่งส่ายหน้าเป็นเชิงว่ารอเดี๋ยว ทันใดนั้นประตูตำหนักปิดลงสกัดกั้นเสียงจากภายในไม่ให้เล็ดรอดเข้ามา
กุ้ยเฟยกุมหน้าร้องไห้
ไทเฮาที่อยู่เบื้องหน้าเอนกายพิงโต๊ะ ดวงตาแดงก่ำ ท่าทางเหนื่อยล้า
“เรื่องนี้ไม่มีผู้ใดรู้ เจ้าอย่าได้คิดมาก” นางเอ่ย
“ไทเฮาเพคะ โลกนี้ไม่มีกำแพงใดไม่มีหู ยามนี้ไม่มีผู้ใดรู้ แต่ว่าวันหน้าจะแน่ใจได้อย่างไร คนปากเปราะมีมากมาย จะไปตามอุดปากทั้งหมดได้หรือ” กุ้ยเฟยเอ่ยสะอื้น “แถมเขาถามเช่นนั้น ก็หมายความว่า…”
ไทเฮาทอดถอนใจ
“เหว่ยหลัง เขา…ไม่ได้หมายความเช่นนั้น เด็กก็ปากพล่อยเช่นนี้แล พบเจอเรื่องเศร้าโศกเช่นนั้น ก็คงแค่อยากถามไปตามประสา ไม่ได้คิดอะไรหรอก…” นางเอ่ยเสียงเนิบนาบ
ทว่าไม่ทันได้พูดจบกุ้ยเฟยก็เอ่ยแทรกขึ้น
“ไทเฮาเพคะ” น้ำเสียงของนางดังขึ้น “ท่านเชื่อคำพูดของเขาหรือ”
นี่เป็นครั้งแรกที่กุ้ยเฟยเอ่ยวาจาสามหาวเช่นนี้กับไทเฮา ทว่าไทเฮากลับไม่ได้ถือโทษโกรธเคืองแต่อย่างใด เพียงแต่นิ่งเงียบไม่พูดจา
“เมื่อครู่ซื่อเกอร์เป็นอย่างไร ท่านกับฝ่าบาทเองก็เห็นแล้ว” กุ้ยเฟยเช็ดน้ำตาเอ่ย “เขาเพิ่งอายุได้สิบเอ็ดขวบ เห็นน้องชายตัวเองเป็นอะไรไปต่อหน้าต่อตาเช่นนั้น ก็คงเสียใจไม่แพ้กัน…”
คิดถึงเมื่อครู่ยามที่องค์ชายใหญ่เจอกับพวกเขา ก็เอาแต่พูดว่าเป็นเพราะตนเองไม่ดึงน้องชายไว้ซ้ำแล้วซ้ำเล่า สีหน้าก็ดูตื่นกลัวราวกับวิญญาณหลุดออกจากร่าง เห็นได้ชัดว่าตกใจไม่น้อย ทั้งยังบอกว่าเมื่อไม่ได้นอนหลับดีๆ ฝ่าบาทก็อยู่กล่อมเขาเข้านอนที่ตำหนักอยู่นานสองนาน
ไทเฮาถอนหายใจอีกครั้ง
“ลิ่วเกอร์หายดีแล้วจะกลายเป็นคนเสียสติ ข้าว่าซื่อเกอร์คงเสียสติไปก่อนแล้ว” กุ้ยเฟยเอ่ยน้ำตานอง
ไทเฮาหน้าขึ้นสีโดยพลัน
“พูดจาเหลวไหลอะไรของเจ้า!” นางตวาดลั่น
คำตำหนินั้นกลับทำให้กุ้ยเฟยโล่งใจขึ้นมา
“ข้าพูดจาเหลวไหลอย่างนั้นหรือเพคะ ซื่อเกอร์เกือบจะถูกใส่ร้ายเข้าให้แล้ว เช่นนั้นกลายเป็นคนเสียสติไปยังจะดีเสียกว่า” นางเอ่ยสะอื้น
ขณะไทเฮาหน้าบึ้งตึงกำลังจะเอ่ยปากพูด ประตูก็ถูกขันทีเปิดออกอย่างแผ่วเบ่า
บอกแล้วไม่ใช่หรือว่าห้ามผู้ใดรบกวน ผู้ใดกล้าเข้ามากัน
ไทเฮาขมวดคิ้วหันไปมอง ก็เห็นว่าเป็นขันทีเฒ่าประจำตัวนาง
“ไทเฮาขอรับ” เขาเอ่ยคำนับเสียงแผ่ว
“มีอะไรหรือ” ไทเฮาถามอย่างไม่สบอารมณ์นัก ทว่านางกลับสงบสติอารมณ์ไว้ ไม่ไล่ตะเพิดเขาออกไป ทั้งยังถามกลับอีกต่างหาก
ขันทีเฒ่าใช่ว่าจะมองไม่ออก ที่เขากล้าเข้ามาเช่นนี้ย่อมต้องมีเหตุผลแน่นอน
“คนของจิ้นอันจวิ้นอ๋องบอกว่าเกิดเรื่องพ่ะย่ะค่ะ…” ขันทีเฒ่าเอ่ยเสียงแหลม
กุ้ยเฟยหยุดร้องไห้ ขยับตัวนั่งหลังตรงในทันใด ก่อนจะขมวดคิ้วเหลียวไปมอง
“เขา…” เสียงแหลมของนางร้องเอ่ยขึ้น
ไทเฮาพูดแทรกขึ้น
“เกิดเรื่องอะไรหรือ” นางถามก่อนจะส่งสายตาตักเตือนกุ้ยเฟย
“บอกว่า… อาละวาดพ่ะย่ะค่ะ…” ขันทีเฒ่าตอบ
อาละวาดอย่างนั้นหรือ
กุ้ยเฟยแค่นหัวเราะอยู่ในใจ ขณะที่กำลังจะเอ่ยปากพูด ก็เห็นว่าไทเฮานั้นลุกขึ้นยืนแล้ว
“ข้าจะไปดูเขา” นางเอ่ย
“ไทเฮาเพคะ!” กุ้ยเฟยลุกขึ้นเอ่ยอย่างร้อนรน
“จะเกิดเรื่องในวังไม่ได้อีก” ไทเฮาเอ่ยเสียงเคร่งขรึม ก่อนจะเรียกขันทีผู้หนึ่งเข้ามา
ก่อเรื่องอีกสิ ก่อเรื่องอีกสิ ยิ่งเรื่องใหญ่เท่าใดก็ยิ่งดี
ทั้งๆ ที่ควรไสหัวออกจากวังไปตั้งนานแล้วแท้ๆ แต่กลับไม่ยอมไปเสียที แต่คราวนี้เจ้าเป็นคนรนหาที่ตายเองนะ
ยามไทเฮามาถึงตำหนักของจิ้นอันจวิ้นอ๋อง ก็ได้ยินเสียงโหวกเหวกโวยวายมาแต่ไกล พอก้าวเข้าประตูมาก็เดินไปตามต้นเสียงที่ท้ายตำหนัก ก็เห็นเหล่าขันทียืนกันเต็มลานของตำหนัก สีหน้าดูตื่นกลัวร้อนรนเป็นอย่างมาก บ้างก็ร้องตะโกน บ้างก็เกลี้ยกล่อม
“เกิดอะไรขึ้น” ไทเฮาถาม
เหล่าขันทีที่อยู่กลางลานคุกเข่าลง พลางมองนำออกไป ไทเฮาก็เห็นจิ้นอันจวิ้นอ๋องที่อยู่ในตำหนัก
พอเห็นดังนั้นก็ตกใจจนแทบขวัญกระเจิง
ในมือของจิ้นอันจวิ้นอ๋องถือคบเพลิงอยู่
“เหว่ยหลัง เจ้าจะทำอะไร!” ไทเฮาตะโกนเสียงสั่น
“ไทเฮา ข้าจะเผาสิ่งนี้ทิ้งเสีย” จิ้นอันจวิ้นอ๋องเอ่ย
สีหน้าของเขาตื่นตระหนก แววตาเหม่อลอย น้ำเสียงแข็งทื่อ กำลังเสียสติอย่างเห็นได้ชัด
สิ่งที่วังหลวงกลัวที่สุดคือไฟ หลายปีก่อนวังหลวงถูกฟ้าผ่าจนไฟไหม้ จวบจนตอนนี้ก็ยังซ่อมแซมไม่เสร็จ ยิ่งฤดูหนาวเช่นนี้หากไฟไหม้แล้วใช่ว่าจะดับได้ง่ายๆ แม้ตำหนักของจิ้นอันจวิ้นอ๋องจะอยู่ห่างจากวังหลวงนัก แต่หากลุกไหม้ขึ้นมาก็คงวุ่นวายไม่น้อย
“เหว่ยหลัง เหว่ยหลัง เจ้าอย่าได้ทำเรื่องเหลวไหล รีบวางคบเพลิงลง มาหาข้าเร็ว” ไทเฮาเกลี้ยกล่อมด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน
จิ้นอันจวิ้นอ๋องส่ายหน้า ก่อนจะหัวเราะออกมา
“ไทเฮา ข้าทำร้ายลิ่วเกอร์ สิ่งนี้ทำร้ายลิ่วเกอร์… ข้าจะเผาพวกมัน ข้าจะเผาตัวข้า…” เขาเอ่ยเสียงพึมพำ
นี่โทษตัวเองว่าทำร้ายลิ่วเกอร์แล้วอีกคน…
ไทเฮาขมวดคิ้ว จ้องมองจิ้นอันจวิ้นอ๋องอย่างพินิจพิจารณา
เขา…คิดเช่นนั้นจริงๆ หรือ
ทว่าตอนนี้ไม่ใช่เวลาจะมาคิดเรื่องนี้ แย่งคบเพลิงมาให้ได้ก่อนแล้วค่อยว่ากัน
“เหว่ยหลัง” ไทเฮาก้าวไปข้างหน้า แสร้งทำเป็นยิ้มแย้ม “ข้ามาเพื่อบอกเรื่องนี้กับเจ้าพอดี เร็วเข้า ลิ่วเกอร์เพิ่งฟื้นเมื่อครู่นี้เอง”
เมื่อสิ้นเสียง จิ้นอันจวิ้นอ๋องก็ดีใจในทันใด ก่อนจะกำคบเพลิงเดินเข้ามาใกล้
“จริงหรือขอรับ ลิ่วเกอร์…” เขาตะโกนลั่นพลางยกเท้าเตรียมวิ่ง
“รีบจับตัวเขาไว้…” ไทเฮาชี้นิ้วตะโกนในทันที
ขันทีรอบกายที่เตรียมพร้อมอยู่นานแล้วกรูเข้าไป
“ไทเฮา ท่านหลอกข้า ท่านหลอกข้า…”
เสียงตะโกนของจิ้นอันจวิ้นอ๋องดังก้องไปทั่วตำหนัก
“ลิ่วเกอร์ยังไม่ฟื้น ลิ่วเกอร์ยังไม่ฟื้น…”
คำพูดนั้นดังขึ้นซ้ำแล้วซ้ำเล่า เสียงร้องโหยหวนในยามแรกกลายเป็นเสียงแหบพร่า จนกระทั่งเหลือเพียงเสียงสะอื้น
จิ้นอันจวิ้นอ๋องที่ถูกมัดนอนตะแคงอยู่บนพื้นได้แต่สะอื้นเอ่ย
ไทเฮาจ้องมองเขา
“เจ้าคิดว่าตัวเองคิดเช่นนั้นเพียงผู้เดียวหรือ ในวังหลวงแห่งนี้ใครไม่คิดบ้าง” นางร้องเอ่ย “เช่นนั้นแล้วพวกเขาไม่ต้องเผาตำหนักกันหมดเลยหรือ”
นางเงยหน้ามองเข้าไปภายในตำหนักเบื้องหน้า อาละวาดเสียจนเละเทะขนาดนี้เชียวหรือ
ตำหนักแห่งนี้เป็นที่เก็บของขวัญที่จวนฉวีโจวส่งมาให้เด็กคนนี้ ทว่ายามนี้กลับเหลือเพียงเศษซากกระจายเต็มพื้นไปหมด สิ่งของที่ถูกทุบจนพังล้วนแต่เป็นสมบัติล้ำค่าของเด็กคนนี้…
“ไทเฮา ไทเฮา นั่นไม่ใช่อุบัติเหตุ…”
เสียงพึมพำของจิ้นอันจวิ้นอ๋องดังขึ้นข้างหู
ไทเฮาได้สติกลับมาโดยพลัน ก่อนจะมองเข้าด้วยความสงสัย
จิ้นอันจวิ้นอ๋องไม่ได้มองนาง ร่างที่นอนอยู่บนพื้นไม่ได้ดีดดิ้นทุรนทุรายอีกต่อไป ทว่ากลับเอาแต่มองพื้นที่อยู่หน้าตัวเอง หยดน้ำตาค่อยๆ ไหลริน
“เป็นเพราะข้า เป็นเพราะข้า เขามาชวนข้าออกไปด้วย ทว่าข้าไม่ไป…”
เป็นเช่นนั้น…หรอกหรือ
ไทเฮามองเขาไม่เอ่ยคำใด
“ข้าไม่ได้ไปด้วย ข้าอยากจะมาดูสิ่งของพวกนี้ ของพวกนี้มีอะไรน่าดูกัน… ข้าโกหกไทเฮา ข้าโกหกลิ่วเกอร์ พอข้าเห็นของพวกนี้ ความจริงแล้วข้าไม่ดีใจเลยสักนิด ข้าเพียงแค่ไม่อยากให้พวกท่านสมเพชข้า… พวกเขาลืมข้าไปตั้งนานแล้ว… ลืมข้าไปแล้ว ของที่พวกเขาส่งมา… มีแต่ของเดิมไม่เคยเปลี่ยน… หากแต่ลิ่วเกอร์ยิ้มให้ข้า ข้ายังจะมีความสุขมากเสียกว่า… เหตุใดข้าถึงได้เสแสร้งต่อหน้าเขา… เหตุใดข้าถึงไม่บอกเขา… เหตุข้าต้องมาดูสิ่งของที่ไม่คู่ควรกับข้าพวกนี้ด้วย… หากวันนั้นข้าไป ข้ามีแรงคงดึงเขาไว้ได้แน่… ข้าต้องดึงเขาไว้ได้แน่ๆ…”
มองดูเด็กหนุ่มที่นอนคุดคู้อยู่บนพื้น ฟังเขาเอ่ยพึมพำกับตนเอง ในที่สุดไทเฮาก็กลั้นน้ำตาไว้ไม่อยู่ นางคุกเข่านั่งลง ก่อนจะยื่นมือออกไปลูบหัวไหล่ของจิ้นอันจวิ้นอ๋อง
“เด็กโง่เอ๋ย เหตุใดถึงได้คิดเหลวไหลเช่นนี้…” นางเอ่ยเสียงสะอื้น “เช่นนั้นก็เรียกว่าอุบัติเหตุน่ะสิ…”
“ข้าผิดเอง ข้าผิดเอง ความจริงแล้วข้าไม่มีอะไรเลยสักอย่าง ข้ามีเพียงแค่ลิ่วเกอร์ ข้ามีแค่ลิ่วเกอร์ เหตุใดข้าถึงไม่ไปกับเขา เหตุใดข้าถึงต้องแสร้งทำเป็นคิดถึงเหล่าน้องชายที่จำไม่ได้แม้แต่ชื่อของข้า… ข้าไม่เคยสนใจพวกเขาเลยสักนิด พวกเขาเองก็ไม่สนใจข้าเลยเช่นกัน.. เหตุใดข้าถึงต้องแสร้งทำเช่นนั้น…” จิ้นอันจวิ้นอ๋องยังคงเอ่ยพึมพำอยู่อย่างนั้น
“หยุดพูดจาเหลวไหลได้แล้ว หยุดพูดจาเหลวไหลได้แล้ว” ไทเฮาเอ่ยน้ำตานอง “เด็กโง่เอ๋ย เจ้าไม่ได้เสแสร้ง ข้ารู้ดี ลิ่วเกอร์เองก็รู้ดี เจ้ากลัวว่าพวกข้าจะเป็นห่วง เจ้าอยากให้พวกข้ารู้ว่าเจ้าเองนั้นก็มีความสุข เด็กโง่เอ๋ย พวกเรารู้ดี เช่นนี้ไม่ได้เรียกว่าเสแสร้งหรอก แต่เรียกว่าเข้าใจคน…”
นางตะโกนเรียกขันทีให้แก้มัดแล้วพยุงตัวเขาลุกขึ้น เหล่าขันทีที่นั่งคุกเข่าอยู่โดยรอบวิ่งเข้ามาในทันใด แก้มัดพยุงร่างกันจนวุ่นวายไปหมด ทว่ากลับไม่มีผู้ใดสังเกตเห็นฮ่องเต้ที่ยืนอยู่หน้าประตู
ขันทีผู้หนึ่งเดินมาจากอีกฝั่งท่าทางรีบเร่ง
“วันนั้นองค์ชายรองมาหาจวิ้นอ๋องก่อน ตอนนั้นจวิ้นอ๋องเพิ่งได้รับของขวัญปีใหม่จากฉวีโจวพะย่ะค่ะ…”
กุ้ยเฟยก้มหน้าพลางถอยหลังไปหลายก้าว พอได้ยินเสียงแผ่วเบาของขันทีไม่กี่ประโยค นางก็เงยหน้าขึ้นมาอย่างอดไม่ได้ ก่อนจะมองใบหน้าด้านข้างของฮ่องเต้ แม้สีหน้าจะดูไร้อารมณ์ดังเดิม แต่เพราะอยู่ด้วยกันมานานหลายปี กุ้ยเฟยก็มองออกว่ายามนี้เขาอารมณ์เย็นลงไม่น้อยแล้ว ก่อนจะมองไปยังจิ้นอันจวิ้นอ๋องที่มีคนคอยพยุงตามหลังไทเฮามาด้วยสายตาแค้นเคือง
หากรู้ว่าจะเป็นเช่นนี้นางคงไม่เรียกฮ่องเต้มา กลับกลายเป็นว่าเขาได้ประโยชน์เสียงอย่างนั้น เจ้าเด็กเปรตนี่!
ยามท้องฟ้าเริ่มมืดลง กุ้ยเฟยเดินเข้ามาในตำหนักของไทเฮาอย่างรีบร้อน ทั้งไทเฮาและฮ่องเต้ล้วนแต่อยู่ที่นั่น
“ซื่อเกอร์หลับแล้วหรือยัง” ไทเฮาถาม
“ยังเพคะ เพิ่งจะปลอบให้กินข้าวได้สำเร็จ” นางเอ่ยพลางคุกเข่านั่งลง “ไทเฮาเพคะ ท่านให้จวิ้นอ๋องย้ายเข้ามาอยู่ในวังหรือเพคะ”
ไทเฮาขานรับ
“หากให้เขาอยู่ที่นั่นต่อ ข้ากังวลนัก” นางเอ่ย
มีอันใดให้กังวลกัน!
“คราวนี้จิตใจเขาถูกกระทบกระเทือนอย่างหนัก หากยังให้เขาเห็นของพวกนั้นอยู่ แม้จะเตรียมการตั้งรับมาดีเพียงใด ก็คงไม่อาจห้ามเขาไม่ให้เผาตำหนักได้” ไทเฮาเอ่ยพลางหันไปมองฮ่องเต้ “เจ้าว่าควรทำอย่างไรดีกับของจากฉวีโจวพวกนั้น ถูกพังเสียจนไม่มีชิ้นดีแล้ว หากทางฉวีโจวรู้เข้า คงต้องเกิดเรื่องเข้าใจผิดเป็นแน่”
มีอันใดให้เข้าใจผิดกัน! ก็ล้วนแต่เป็นฝีมือของลูกชายพวกเขาทั้งนั้น!
กุ้ยเฟยกัดฟันกรอด
“ปิดที่นั่นไว้ แล้วค่อยให้คนมาเก็บกวาด” ฮ่องเต้เอ่ย
พูดคุยกันต่อได้ไม่กี่คำ ไทเฮาผู้แสนเหนื่อยล้าก็ขอให้ทุกคนกลับไปก่อน ทั้งๆ ที่เดินเพิ่งพ้นประตูตำหนักออกมา กุ้ยเฟยก็เอ่ยปากขึ้นอย่างอดรนทนไม่ไหว
“ฝ่าบาท หากให้จวิ้นอ๋องย้ายเข้ามาอยู่ในวังคงไม่เหมาะกระมังเพคะ” นางเอ่ย “เขาโตเป็นหนุ่มแล้ว จะมาวนเวียนอยู่ที่วังหลังได้อย่างไร…”
ฮ่องเต้หยุดฝีเท้าลงแล้วหันไปมองนาง
กุ้ยเฟยถูกจ้องมองจนรู้สึกหวาดหวั่น ก่อนจะกลืนคำพูดที่เหลืออยู่ลงคอไป
“รอให้พ้นช่วงนี้ไปก่อน ข้าวางแผนไว้แล้ว” ฮ่องเต้ตอบก่อนจะชะงักไปครู่หนึ่ง “หากเจ้ายินยอมจะให้ซื่อเกอร์มาอยู่ด้วยก็ได้”
องค์ชายใหญ่ทั้งคน นางย่อมสบายใจที่สุดหากเห็นเขาอยู่ในสายตาตลอด จะให้ไปอยู่ที่ใดก็ไม่อาจวางใจได้
กุ้ยเฟยถอนหายใจ
“ไทเฮาดูแลเพียงคนเดียวก็เหนื่อยพอแล้วเพคะ” นางเอ่ยพลางครุ่นคิดอยู่คู่หนึ่งแล้วหันไปมองฮ่องเต้ “อีกอย่าง จวิ้นอ๋องกับซื่อเกอร์นั้น…”
ฮ่องเต้ชะงักฝีเท้าลง
“เขาไม่ได้มีอะไรในใจกับซื่อเกอร์หรอก เขามีกับตัวเขาเอง” เขาเอ่ย
“ฝ่าบาท” กุ้ยเฟยเดินเข้ามาใกล้ “ฝ่าบาทเชื่อคำพูดของจวิ้นอ๋องหรือเพคะ”
ฮ่องเต้เหลียวมามองนาง
“แล้วเจ้าเชื่อคำพูดของข้าหรือไม่” เขาถาม
กุ้ยเฟยตะลึงงันเมื่อถูกถาม ก่อนจะรีบย่อตัวคำนับ
“ข้ามิบังอาจเพคะ” นางเอ่ยอย่างร้อนรน
ฮ่องเต้ยิ้ม
“ข้าจะบอกว่า ที่เกิดเรื่องเช่นนั้นขึ้นกับลิ่วเกอร์ เป็นเพราะคำพูดพล่อยๆ ของข้า” ฮ่องเต้เอ่ยก่อนจะหันไปมองท้องฟ้ายามคำคืนที่กำลังคืบคลานเข้ามา “หากไม่ใช่เพราะข้าชมเขา เขาก็คงไม่….”
“ฝ่าบาท” กุ้ยเฟยเอ่ยน้ำตาคลอ
“ข้าเชื่อเพคะ ข้ารู้ว่าฝ่าบาทเองก็ทรมานใจ” นางเอ่ยเสียงสะอื้น
“เพราะอย่างนั้นข้าถึงเชื่อเหว่ยหลัง” ฮ่องเต้ตอบ
กุ้ยเฟยนิ่งไปครู่หนึ่ง ท้ายสุดก็ทำเพียงก้มหน้าไม่เอ่ยคำใดต่อ
มองดูฮ่องเต้และกุ้ยเฟยที่เดี๋ยวเดินเดี๋ยวหยุดพากันออกนอกประตูตำหนักไป จิ้นอันจวิ้นอ๋องที่ยืนอยู่ตรงหน้าต่างของตำหนักปีกข้างก็ละสายตากลับมา เขาหันหลังกลับพลางกวาดสายตามองภายใน
ยามราตรีเข้ามาเยือน สายตาก็พลันมืดมิดลง
“ฟ้ามืดแล้ว” เขาเอ่ย
ฟ้ามืดแล้ว ฟ้ามืดแล้ว
จิ้นอันจวิ้นอ๋องก้าวเท้าเดินเข้าไปในความมืดมิดนั้น
ขันทีข้างกายได้ยินดังนั้นก็หันมาสบตากัน
“จุดไฟ จุดไฟ” คนหนึ่งเอ่ยขึ้นในทันใด
จุดไฟ จุดไฟ
น้ำเสียงนุ่มนวลค่อยๆ ไกลออกไป ตะเกียงสว่างขึ้นทีละดวงภายในตำหนักอันมืดมิด ราวกับหมู่ดาวท่ามกลางท้องนภายามราตรี