ฟ้ายังไม่ทันสว่าง ลานบ้านยังคงมืดมิด

ปั้นฉินซักเสื้อผ้าเสร็จเรียบร้อย ก่อนจะเข้าครัวไปเคี่ยวข้าวต้ม หลังจากนั้นก็มายังหน้าประตูห้องของเฉิงเจียวเหนียง ทว่าประตูกลับเปิดอ้าไว้ตั้งแต่ก่อนหน้าแล้ว

เฉิงเจียวเหนียงที่เปลี่ยนชุดเรียบร้อยแล้วเดินออกมา

“นายหญิง พวกเราไปกันเถอะเจ้าค่ะ” ปั้นฉินเอ่ยด้วยรอยยิ้ม

เฉิงเจียวเหนียงยกเท้าก้าวออกไป

ภายในตรอกยามเช้าตรู่นั้นเงียบสงัด เหล่าเป็ดไก่ยังคงหลับใหล ส่วนสุนัขที่ได้ยินเสียงฝีเท้าก็กระดิกหางหูตั้ง แต่เพียงไม่นานก็หมอบลงดังเดิม เอาหัวมุดเท้าก่อนจะนอนหลับต่อ

ขณะที่เฉิงผิงเดินวนอยู่หน้าปากทางเป็นหนที่สาม ก็เห็นหญิงสาวกำลังเยื้องย่างเข้ามา นางสวมชุดคลุมสีเข้ม ผมดำขลับถูกมัดรวบไว้ข้างหลัง ใบหน้าขาวนวลไม่มีหมวกคลุมปกปิด ยามเช้าตรู่เช่นนี้ไม่ได้มีผู้คนเดินขวักไขว่ ขาวดำที่ตัดกันอย่างชัดเจน ยิ่งขับให้กันและกันโดดเด่นมากยิ่งขึ้น ท่ามกลางหมอกน้ำค้างยามเช้าของเหมันตฤดูเช่นนี้ หญิงสาวผู้นั้นราวกับนางฟ้านางสวรรค์มิปาน

“แม่นางเฉิง แม่นางเฉิง” เขาหัวเราะคิกคักพลางเอ่ยทักทาย “บังเอิญเสียจริง ท่านจะไปที่ใดหรือ”

วินาทีที่เฉิงเจียวเหนียงเห็นเขาก็ชะงักฝีเท้าไปในทันที

“นั่นสินะ” นางรอให้เขาพูดจบ จากนั้นก้มหน้ายิ้มตอบ “ข้าแค่ออกมาเดินเล่น”

เฉิงผิงสังเกตเห็นว่านางก้าวถอยหลังยามที่พูดกับตน แถมยังเบี่ยงตัวหันข้างให้อีกต่างหาก อย่าว่าแต่เงยหน้าพูดกับตนเลย ขนาดก้มหน้าอยู่นางยังไม่กล้ามองตรงมาด้วยซ้ำ

นี่คือกิริยาท่าทางที่ผู้น้อยปฏิบัติต่อผู้อาวุโสอย่างเห็นได้ชัด แต่ก็แปลกพิกลนัก ญาติผู้ใหญ่ของนางอยู่เรือนใหญ่ฝั่งนู้นมิใช่หรือ แถมสองสามวันนี้ก็พากันเทียวไปเทียวมา ทว่ากลับไม่เห็นนางมาต้อนรับหรือส่งกลับอย่างที่ลูกหลานสมควรทำเลยสักหน

เฉิงผิงมุมปากกระตุกเกร็งขึ้นมา

หรืออาจเป็นเพราะยังตกใจกับคำพูดของเขาอยู่

“แม่นางเฉิง หากไม่ต้องการดูแผนภูมิดวงชะตา แต่ขอข้าทำนายดวงให้ท่านอีกสักครั้งจะได้หรือไม่…” เขาเอ่ยขึ้นอย่างอดไม่ได้

เฉิงเจียวเหนียงก้มหน้าคำนับ

“ไม่เป็นไร ท่านอย่าได้คิดมากไป ท่านทำนายถูกต้องแล้ว” นางเอ่ย “อย่าได้คิดมาก นั่นเป็นโชคชะตาของข้าจริงๆ”

เฉิงผิงลูบหัวแล้วส่งยิ้มให้

นั่นสินะ นั่นสินะ แม่นางผู้นี้ฉลาดหลักแหลมจะตายไป เก่งกาจเช่นนี้จะตื่นตระหนกเพราะคำพูดคนได้อย่างไร

“เช่นนั้นไม่ข้าไม่รบกวนแม่นางแล้ว” เขาคำนับให้ด้วยรอยยิ้ม

เฉิงเจียวเหนียงเบี่ยงตัวหลบเมื่อเขาก้มคำนับ ทั้งยังค้อมตัวต่ำเสียยิ่งกว่าเดิม ไม่เอ่ยคำใด

เฉิงผิงได้แต่เกาหัวมองดูหญิงสาวที่ท่าทางไม่อยากเสวนากับตนอย่างเห็นได้ชัด จึงทำได้เพียงก้าวเท้าเดินจากไป

หลังจากที่เขาเดินไปได้ไม่กี่ก้าว เฉิงเจียวเหนียงถึงจะเริ่มเดินต่อ จังหวะฝีเท้านั้นนิ่งสงบราวกับกำลังย่างเท้าบนปุยเมฆ

“คงเป็นเพราะข้านั้นมีพรสวรรค์ วันหน้าต้องเจริญรุ่งเรืองอย่างแน่นอน ผู้อื่นมองไม่เห็น แต่แม่นางผู้ชาญฉลาด ผู้มีดวงชะตาแสนแปลกประหลาดคนนั้นมองเห็น จึงได้ปฏิบัติต่อเขาอย่างเคารพนบนอบเช่นนี้…”

เฉิงผิงเอ่ยพึมพำกับตัวเอง ทว่าไม่ทันได้พูดจบ จู่ๆ ก็มีก้านผักจากที่ใดก็ไม่รู้ปาใส่หัวไหล่ของเขา

“ผิงเกอร์ เจ้านี่ร้ายไม่เบา”

หญิงนางหนึ่งเดินออกมาจากเรือนริมทาง นางเอ่ยด้วยรอยยิ้ม แถมในมือยังถือมีดหั่นผักอีกต่างหาก

“กลับมาถึงได้แค่สามวัน ก็บังเอิญได้พบแม่นางเฉิงแล้วหรือ”

เรื่องราวของเฉิงผิงเล่าลือไปทั่วฝั่งเฉิงใต้หลังจากที่หญิงทั้งสองนางกลับมา ยามที่ได้ยินครั้งแรกทุกคนต่างคิดว่าเฉิงผิงล่วงเกินนายหญิง ทว่าหญิงทั้งสองกลับปฏิเสธอย่างหนักแน่นว่าไม่ได้เป็นเช่นนั้น พวกนางคิดว่าเขาไม่ได้ล่วงเกินนายหญิง มิหนำซ้ำยังเคารพเขาอีกต่างหาก หากเป็นพวกเขาล่ะก็ คงทุบตีเฉิงผิงปางตายไปแล้วกระมัง ทว่านายหญิงนอกจากจะไม่ทุบตีเขาแล้ว แถมยังไปขอโทษเขาด้วยตนเองอีกต่างหาก

ยามนี้เฉิงเจียวเหนียงคือคนที่เก่งกาจที่สุด และได้ความเคารพนับถือมากที่จากคนฝั่งเฉิงใต้ คนที่นางเขาเคารพ พวกเขาก็ย่อมเคารพด้วย

ด้วยเหตุนั้นผู้จึงพากันนับหน้าถือตาเขา ไม่เหมือนแต่ก่อนที่เอาแต่เรียกเขาว่านักต้มตุ๋นไม่หยุดปาก ทว่าที่แต่ก่อนเรียกเช่นนั้นเพราะทุกคนสงสัยในประวัติที่มาที่ไปของเขา

เฉิงผิงบอกกับนายใหญ่เฉิงว่าปู่ของตนเป็นคนตระกูลเฉิง ยามหนุ่มทำงานเลี้ยงชีพที่ต่างเมือง จนสุดท้ายลงหลักปักฐานอยู่ที่ซู่โจว แต่เพราะยากจนและชรามากแล้ว แม้จะอยากกลับบ้านเกิดเพียงใดก็ไร้เรี่ยวแรง จึงได้ฝากฝังกับท่านพ่อของเขาไว้แทน ทว่าท่านพ่อก็ทำไม่สำเร็จจึงได้ส่งต่อปณิธานนี้ให้แก่เขา เขาฝ่าฟันอุปสรรคมาอย่างยากลำบากกว่าจะกลับมาที่นี่ได้

‘ลูกหลานรุ่นที่สาม ข้าเติบโตที่ซู่โจว ทว่ากลับพูดสำเนียงเจียงโจวชัดแจ๋ว’ เฉิงผิงเอ่ยตาเป็นประกาย

ยามนี้ไม่มีผู้ในสงสัยในตัวตนของเขาอีกแล้ว ทั้งยอมรับว่าเป็นคนในตระกูล จึงทำให้ปฏิบัติต่อเขาต่างไปจากเดิม

“เจ้านี่บ้าบิ่นดีแท้ หลอกได้แม้กระทั่งนายหญิง ไม่กลัวถูกตีหรืออย่างไร” หญิงผู้นั้นเอ่ยด้วยรอยยิ้ม

เฉิงผิงเองก็ส่งให้ยิ้มเช่นกัน ก่อนจะโบกมือให้แก่นาง

“แม่นางเข้าใจผิดแล้ว แม่นางเข้าใจผิดแล้ว ข้าไม่ได้หลอก ข้ารู้ดีว่าเป็นเพียงแค่คำเรียก แม่นางผู้นั้นก็รู้ดี คนอื่นก็รู้ดี ในเมื่อทุกคนรู้ เช่นนั้นก็ย่อมเป็นเรื่องจริงที่พูดได้อย่างเต็มปาก” เขาเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “ทำการใดบนโลกนี้ ย่อมต้องทำให้ผู้อื่นเห็นความจริงใจ หาใช่พูดให้ฟ้ง เพราะคำพูดนั้นโกหกกันได้”

หญิงนางนั้นส่งเสียงถุย

“หากพูดเช่นนั้นแล้วอย่างไรเจ้าก็เป็นฝ่ายถูกน่ะสิ” นางเอ่ยพลางแกว่งมีดหั่นผักในมือไปมา “พูดมากไปก็ไม่ทำให้ท้องอิ่มหรอกนะ เจ้าอยากกินผักก้นหม้อหรือไม่”

เฉิงผิงหัวเราะแห้ง ร่างสูงโน้มลงมาคำนับ

“ขอบใจแม่นางนัก” เขายืดตัวขึ้น “แต่ว่าไม่เป็นไร ข้าไปดูเขาสร้างบ้านตรงนู้นเสียหน่อย จะได้ไปดูฮวงจุ้ยสักเล็กน้อย”

หญิงผู้นั้นถุยออกมาอีกครั้ง

เฉิงผิงหัวเราะชอบใจ ทว่าไม่ต่อปากต่อคำแต่กลับเดินจากไป

“ข้าวปลาอาหารที่ให้คนสร้างบ้านฝั่งโน้นกิน ไม่เลวเลยล่ะ” หญิงนางนั้นเอ่ยพึมพำกับตัวเองเสียงตึงตังทำลายความเงียบสงบในยามเช้าตรู่ เสียงนั้นยิ่งดังขึ้นเรื่อยๆ เป็ดไก่และเหล่าสุนัขพากันร้องโหยหวน เด็กน้อยร้องไห้งอแง ผู้ใหญ่เองก็ก่นด่าไม่หยุดปาก วันใหม่อันแสนวุ่นวายได้เริ่มต้นขึ้นแล้ว

“เฉิงเจียวเหนียง เจ้ามันน่าไม่อาย…”

เสียงเล็กแหลมของหญิงนางหนึ่งดังเลยออกมาจากลานบ้าน ผู้คนรอบทิศได้ยินดังนั้นก็ขมวดคิ้วขึ้นมา

“คนตระกูลเฉิงมาอีกแล้ว…”

“ที่นายใหญ่ป่วย เป็นเพราะเขาทำตัวเอง เพราะเอาแต่หาเรื่องนายหญิงอยู่ที่นี่ได้ทั้งวันน่ะสิ…”“นายหญิงเองก็ใจเย็นแท้ เหตุใดถึงปล่อยให้พวกนางเข้ามาได้…”

“นั่นสิ เอาธนูมาไล่ยิงออกไปเสียไม่ดีหรือ…”

เสียงถกเถียงจากภายนอกไม่มีผลอันใดกับภายในเรือนเลย แม่นางเฉิงหกที่ยืนอยู่หน้าประตูใบหน้าซีดเผือด น้ำตาคลอเบ้า มองดูหญิงสาวที่นั่งอยู่ในห้องพลางหายใจหอบกระชั้น

นางเอนกายพิงโต๊ะ ยกถ้วยชาขึ้นมา ทว่ากลับค้างไว้อยู่อย่างนั้น ไม่ไหวติง ไม่เอ่ยคำใด หากไม่ยกน้ำขึ้นดื่มเป็นครั้งคราว คงนึกสงสัยว่าเป็นตุ๊กตาดินเผาแล้ว

“ยามนี้ตระกูลเฉิงกลายเป็นที่หัวเราะเยาะของคนทั้งเมือง! เฉิงเจียวเหนียง เจ้ายังอยากใช้แซ่เฉิงอยู่หรือไม่!”

แม่นางเฉิงหกตะโกนลั่น พอนึกถึงเรื่องราวที่เกิดขึ้นตอนนี้ น้ำตาก็ไหลออกมาอย่างห้ามไม่อยู่

แต่ก่อนนางกลัวเด็กบ้าผู้นี้นัก กลัวเพราะว่าปากเบี้ยวตาเหล่ น้ำมูกน้ำลายไหลย้อย ทั้งนางยังตกใจเพราะใบหน้านั้นถึงสองหน แถมยังฝันร้ายตอนกลางคืนอีกต่างหาก

ตอนนี้นางนั่งอยู่ตรงหน้าของหญิงนางนั้น ไม่มีใบหน้าอันน่ากลัวอีกต่อไป มีเพียงความงามอันน่าตกตะลึง ไม่มีเหตุที่จะต้องกลัวแท้ๆ แต่ในใจนางกลับรู้สึกเย็นยะเยือกขึ้นมา ความตื่นกลัวเช่นนี้มิได้ทำให้นางนอนฝันร้าย แต่จะทำให้นางสะดุ้งตื่นกลางดึก เพราะความรู้สึกเย็บวาบนั้นแล่นผ่านกระดูกออกมา

สูญสิ้นแล้วตระกูลเฉิง…

กลายเป็นเพียงเรื่องตลกของชาวเจียงโจว…

เหล่าตระกูลที่เคยมาสู่ขอก็เงียบหายไป…

แต่ก่อนเป็นเพราะในตระกูลมีเด็กบ้า ยามพบเจอผู้ใดก็ถูกล้อเลียน แต่ถึงแม้คำว่ากล่าวล้อเลียนนั้นจะไม่เกี่ยวกับนาง ทั้งยังไม่ได้ทำให้นางรู้สึกเจ็บปวดแต่อย่างใด บางครานางยังนึกดีใจอีกต่างหาก เพราะจะได้ใช้มันเป็นข้ออ้างยามพบเจอเรื่องไม่สมดังใจหมาย

แต่ยามนี้นั้นเปลี่ยนไปแล้ว นอกจากเรื่องที่ในตระกูลจะมีคนบ้าแล้ว ยังมีดคีความของตระกูลเฉิง ตระกูลเฉิงที่ถูกเด็กบ้าฟ้องร้องจนขึ้นโรงขึ้นศาล ชื่อเสียงของตระกูลเฉิงจึงแปดเปื้อนเช่นนี้

หากคนในตระกูลถูกฟ้องร้องเพียงคนเดียว ตระกูงเฉิงก็คงตกต่ำลงไม่นาน แต่นี่ถูกฟ้องร้องทั้งตระกูล เช่นนั้นก็เท่ากับฟ้องร้องทุกคนอย่างนั้นน่ะสิ

เพราะมีตระกูลถึงได้มีตัวตน หากสูญสิ้นซึ่งชาติตระกูลแล้ว พวกนางจะเหลืออะไร

“เฉิงเจียวเหนียง คนอย่างเจ้าไม่ได้ตายดีหรอก!”

แม่นางเฉิงหกตะโกนลั่นแล้วลุกยืนขึ้น ทว่าไม่มีโอกาสได้โถมตัวเข้าหาอีกฝ่าย เพราะปั้นฉินที่เฝ้าอยู่หน้าประตูเข้ามาขวางเอาไว้เสียก่อน เหล่าผู้ติดตามที่เตรียมตั้งรับอยู่ที่ลานบ้านก็พากันก้าวเข้ามาไปแล้ว

“ปล่อยข้า พวกบ่าวสถุล!”

แม่นางเฉิงหกผลักปั้นฉิน จ้องมองเฉิงเจียวเหนียงที่ท่าทางไร้กังวลด้วยสายตาแค้นเคือง ก่อนจะหันหลังปาดน้ำตาวิ่งหนีไป

“เฉิงเจียวเหนียง เจ้าลบหลู่บรรพบุรุษของตระกูล ทำผิดจารีตประเพณี ทำเรื่องเลวร้ายเช่นนี้ ไม่มีทางได้ตายดีแน่!”

เสียงร้องไห้ดังออกไปไกลถึงถนนจอแจหน้าประตู ทว่าในลานบ้านกลับเงียบสงัด

“อันที่จริงจะตายดีหรือไม่ ไม่เกี่ยวว่าตนนั้นได้เคยทำเรื่องใดมา”

เฉิงเจียวเหนียงเอ่ย ขยับกายนั่งหลังตรง ก่อนจะวางถ้วยชาในมือลง

ปั้นฉินที่อยู่ริมระเบียงหัวเราะคิกคัก

“นายหญิงตั้งใจฟังนางถึงขนาดนั้นเชียวหรือเจ้าคะ” นางเอ่ยน้ำเสียงหงุดหงิด

“ฟังสิ พูดจาฉะฉาน น้ำเสียงก็ไพเราะ ดีกว่าฮูหยินใหญ่เฉิงเป็นไหนๆ” เฉิงเจียวเหนียงเอ่ยพลางลุกยืนขึ้น “วันนี้จะมีผู้ใดมาอีก”

ปั้นฉินได้ยินดังนั้นก็หัวเราะออกมาอีกครั้ง สีหน้าดูเหนื่อยใจไม่น้อย

เพราะวันนั้นนายใหญ่เฉิงเป็นลมหมดสติไปที่หน้าประตู แม้จะช่วยชีวิตไว้ได้ แต่หมอก็สั่งห้ามไม่ให้เขาลงจากเตียง ทั้งยังบอกว่าหากเกิดอาการเช่นนี้อีก จะไปขอพรจากเทพเซียนองค์ใดก็ยากจะช่วย ทันใดนั้นในเรือนตระกูลเฉิงก็อลหม่านขึ้นมา ฮูหยินใหญ่เฉิงจึงพาคนมาด่าทอถึงที่ แน่นอนว่าไม่ได้เป็นไปตามที่นางคาดหมายไว้ แต่นับจากนั้นเป็นต้นมา ก็มีคนมาที่เรือนไม่หยุดหย่อน มาว่ากล่าวบ้าง มาร้องไห้ฟูมฟายบ้าง หลากหลายอารมณ์ผสมปนเปกันไปหมด

ตอนแรกคิดว่าเฉิงเจียวเหนียงคงไม่อนุญาตให้คนพวกนั้นเข้าพบ หรืออาจจะทำตามคำแนะนำของพ่อบ้านเฉาและปั้นฉินที่ให้ย้ายที่อยู่ ทว่าคราวนี้เฉิงเจียวเหนียงผู้รักความสงบกลับไม่ยอมไปไหน แต่ยังยอมให้คนตระกูลเฉิงเข้ามาในเรือนอีกต่างหาก

แม้จะไม่เคยต่อล้อต่อเถียงกับพวกเขา แต่ก็ดูเหมือนว่านางจะตั้งใจฟังอยู่ไม่น้อย

ปั้นฉินไม่ได้กังวลว่าคำพูดของคนตระกูลเฉิงจะทำร้ายจิตใจของเฉิงเจียวเหนียงแต่อย่างใด เพียงแต่นางรู้สึกประหลาดใจก็เท่านั้น

“นายหญิง เหตุใดท่านถึงต้องเสียเวลากับพวกเขาด้วย” นางเอ่ย

นายหญิงไม่ใช่คนแบบนั้น นางไม่เคยต่อล้อต่อเถียงกับผู้ใด และก็ไม่เคยฟังคำพูดน่ารำคาญพวกนั้นจากปากผู้อื่นอีกด้วย

เฉิงเจียวเหนียงยกมือขึ้นมามัดรวบแขนเสื้อ นางนิ่งไปครู่หนึ่งเมื่อได้ยิน

“ข้าเพียงแค่ไม่อยากปล่อยตัวเองให้ว่าง” นางเอ่ย

หากว่างแล้วก็จะฟุ้งซ่าน ยามนี้นางไม่อาจครุ่นคิดเรื่องอันใดได้มากนัก จะทำการใดต้องคิดที่ละเรื่อง หากคิดมากไปก็กลัวว่าตัวนางเองจะรับไม่ไหว

พอลืมตาตื่นขึ้นมาก็ออกไปเดิน ยามกลางวันก็มีคนมาพูดคุยด้วยบ้างด่าทอบ้าง จากนั้นก็ฝึกยิงธนู คัดอักษรอ่านหนังสือ ตกกลางคืนก็หลับตานอนอีกครั้ง แบบนี้สิดี แบบนี้สิถึงจะดี

ปั้นฉินหลบตาลง ก่อนจะเหลือบตามองนางอีกครั้งอย่างอดไม่ได้ จากนั้นจึงเข้าไปช่วยนางมัดแขนเสื้อ แล้วปลดธนูคันยาวที่ข้างฝาลงมา

คืนวันผ่านไป ความหนาวเหน็บของเดือนสิบสองยิ่งทวีความรุนแรงมากขึ้นเรื่อยๆ

ขันทีสองคนกำลังเดินไปตามโถงทางเดินของตำหนักแห่งหนึ่งอย่างรีบร้อน ในมือถือถังน้ำใบใหญ่ ภายในมีเสื้อผ้าที่ส่งกลิ่นฉี่คละคลุ้งไปทั่ว เหล่าขันทีและนางในพากันขมวดคิ้วยามพวกเขาเดินผ่าน บ้างก็ยกมือขึ้นอุดจมูกเพราะทนไม่ไหว แต่พอทำเช่นนั้นก็มักจะถูกคนที่อยู่ข้างกันทุบเข้าให้อย่างแรง

“อยากตายหรืออย่างไร” คนหนึ่งเอ่ยกระซิบเตือน ก่อนจะเหลียวไปมองข้างในตำหนัก

อีกคนหนึ่งถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่ก่อนจะลดมือลง

“ลิ่วเกอร์เปลี่ยนเสื้อผ้าเสร็จแล้ว เรามากินอะไรกันหน่อยดีหรือไม่”

จินอันจวิ้นอ๋องรวบชุดนั่งลงที่ข้างเตียง ก่อนจะเอื้อมมือไปหยิบข้าวชามที่เท่าไหร่แล้วก็ไม่รู้บนโต๊ะ

องค์ชายรองนั่งขัดสมาธิอยู่บนเตียง ใบหน้าขึ้นสีระเรื่อนั้นกำลังอมยิ้ม ผ้าพันแผลบนศีรษะถูกปลดออก เปลี่ยนเป็นหมวกแทนเพื่อปกปิดบาดแผล มองผิวเผินก็ดูเหมือนดังเดิม ทว่าน้ำลายที่ไหลย้อยพร้อมกับรอยยิ้มและดวงตาที่เลื่อนลอยนั้น คอยย้ำเตือนให้คนตรงหน้ารู้ว่าทุกอย่างได้เปลี่ยนไปแล้ว

ทุกอย่างได้เปลี่ยนไปแล้ว

เขายกมือยกไม้โยกตัวเต้น ปากก็ส่งเสียงร้องไม่เป็นภาษาออกมา

จิ้นอันจวิ้นอ๋องรีบเอื้อมมือไปกดแขนของเขาลง เพราะเกรงว่าชามข้าวจะหกกระเด็น ทว่าใบหน้ายังคงยกยิ้มปลอบประโลม

“กินข้าว กินข้าว กินข้าวเสร็จแล้ว พี่จะพาเจ้าไปเที่ยว” เขาเอ่ย

ช้อนเงินตักข้าวในถ้วยทองเข้าปากองค์ชายรอง กลืนลงไปครึ่งหนึ่ง พ่นออกมาอีกครึ่งหนึ่ง น้ำลายไหลย้อยอยู่บนผ้า ช่างเป็นภาพที่เห็นแล้วพาลให้คนรู้สึกกระอักกระอ่วนยิ่งนัก

ข้าวหนึ่งถ้วยป้อนได้กึ่งหนึ่ง หกเลอะเทอะไปอีกกึ่งหนึ่ง พอใกล้จะหมดแล้วก็ไม่วายถูกมือไม้ที่ยกขึ้นเพื่อกระโดดโลนเต้นปัดกระเด็นไปอีก เสียงโครมครามดังก้องไปทั่วทั้งตำหนัก

บนกายของจิ้นอันจวิ้นออกก็เปรอะไปหมดอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ เหล่าขันทีรีบลงไปนั่งคุกเข่าเช็ดให้ในทันที

“องค์ชาย ท่านไปเปลี่ยนชุดเถิดพะย่ะค่ะ…” ขันทีคนหนึ่งเอ่ยขึ้นเสียงแผ่วเบา

จิ้นอันจวิ้นอ๋องที่อยู่เบื้องหน้าในตอนนี้ราวกับรูปปั้นแกะสลัก มองดูองค์ชายรองโบกมือโยกย้ายอยู่บนเตียง น้ำลายไหลย้อยเปรอะเปื้อน ราวกับไม่ได้ยินเสียงทีขันทีพูด

“ลิ่วเกอร์ เจ้าแค่ป่วย แค่ป่วยเท่านั้น” จู่ๆ เขาก็โพล่งขึ้นมา พลางยื่นมือออกไปลูบบ่าขององค์ชายรอง “ในเมื่อป่วย ข้าจะพาเจ้าไปรักษาเอง รักษาโรคเจ้าให้หายดี”