ตอนที่ 456 ลิ้มชาร่ำสุรา

พันธกานต์ปราณอัคคี

การมารวมตัวกับถังมู่เฉิน มั่วชิงเฉินไม่อยากจะให้ล่าช้าไปกว่านี้อีก อยากจะไปยังราชันย์พำนักโดยเร็ว อย่างแรกเพื่อทำตามคำขอของหญิงสาว สองคือตามหาร่องรอยของบรรพบุรุษหญิง 

 

 

นางอยากไปดูสักหน่อย ว่าสตรีมหัศจรรย์ผู้นั้น จะหน้าตาเป็นเช่นไรกันแน่ บนตัวนาง เกิดเรื่องราวอัศจรรย์อันใดขึ้น 

 

 

การสัมผัสรับรู้เรื่องราวของบรรพบุรุษ แต่ไหนแต่ไรก็การฝึกฝนจิตอย่างหนึ่ง 

 

 

ดังนั้น นางจึงได้นัดหนิงหลานดื่มชา

 

 

“สหายมั่ว วันนี้สหายถังไม่มาใช่หรือไม่” หนิงหลานสีหน้ากระสับกระส่าย 

 

 

มั่วชิงเฉิงแทบจะหลุดขำออกมา “สหายหนิงวางใจได้ พี่ชายข้ากับศิษย์พี่พวกเขาออกไปข้างนอกกันแล้ว”

 

 

หนิงหลานท่าทีโล่งอกอย่างชัดเจน คิ้วคู่งามคลายออก “ในหอบรรลุเซียนนี้ จะให้สหายมั่วมาเลี้ยงชาได้อย่างไรกัน”

 

 

พูดแล้วก็เขย่ากระดิ่งในมือ เถ้าแก่เนี้ยผู้งามชดช้อยเดินเข้ามา โค้งคำนับหนึ่งที “อาจารย์อาหนิงมีอะไรต้องการให้รับใช้หรือเจ้าคะ”

 

 

ในสำนักซู่ซิน วิธีการเรียกศิษย์พี่และอาจารย์ไม่ต่างจากสำนักอื่น มีเพียงว่าที่เทพธิดาศักดิ์สิทธิ์ทั้งสามคนเท่านั้นที่ศิษย์สายตรงของพวกนางจะเรียกพวกนางว่าคุณหนู แน่นอนย่อมมีศิษย์สายตรงที่แอบซ่อนอยู่ในที่ลับ คนจำนวนมากไม่รู้ว่าสังกัดสำนักใด 

 

 

เถ้าแก่เนี้ยแห่งหอบรรลุเซียนแห่งนี้เอง ก็ถูกเซวียเสี่ยวเสี่ยวว่าที่เทพธิดาศักดิ์สิทธิ์อีกคนแอบซื้อตัวไป ทว่าในสายตาคนอื่น นางยังคงดูเหมือนวางตัวเป็นกลาง 

 

 

หนิงหลานยิ้มบาง “ยกชาหิมะโปรยชั้นดีมาที”

 

 

“เจ้าค่ะ” เถ้าแก่เนี้ยลอบกวาดสายตามองทั้งสองปราดหนึ่ง สีหน้าเรียบนิ่ง แล้วค้อมตัวคำนับถอยออกไป

 

 

ไม่นาน ก็ยกชาสองจอกกลับเข้ามาอีกครั้ง

 

 

สายตามั่วชิงเฉินมองไปยังจอกชากระเบื้องสีขาวที่ดูสมถะและเรียบง่ายนั้น

 

 

ในวันแรกที่ได้ดื่มชาหิมะโปรยของหอบรรลุเซียน คนยกยังไม่ทันถึงกลิ่นก็หอมรัญจวนมาแล้ว แต่ชาหิมะโปรยชั้นดีที่อยู่ต่อหน้านั้น กลับไม่มีกลิ่นหอมของชาเลยแม้สักนิด 

 

 

ในขณะที่รู้สึกสงสัย ก็ชำเลืองตาขึ้นมองไปยังหนิงหลานโดยไม่รู้ตัว

 

 

“เจ้าออกไปก่อนเถิด” หนิงหลานพูดแล้วก็มองไปยังมั่วชิงเฉิน สีหน้าดูเปี่ยมด้วยความภาคภูมิใจของหญิงสาว “สหายมั่ว วันนี้เจ้าลองชิมดูก่อน ว่าชาหิมะโปรยในวันนี้มีอะไรบ้างที่ต่างเมื่อวันนั้น”

 

 

พูดเสร็จก็ยืดนิ้วบางเรียวยาวออกมา หยิบฝาจอกชาอันเล็กกระจิริดออก

 

 

ในจอกชา มีแสงวิญญาณสว่างพุ่งออกมา แล้วก็ก่อตัวเป็นเมฆก้อนเล็กๆ อยู่ด้านบนอย่างรวดเร็ว เมฆเบาบางค่อยๆ เปลี่ยนสภาพ กลายเป็นหิมะโปรยปรายลงมา ดูราวกับขนห่านนับหมื่นปลิวว่อน งดงามตระการตาอย่างยิ่ง

 

 

กลิ่นอันหอมหวานเย็นชื่นลอยปะทะหน้า ประหนึ่งว่าอาบน้ำอยู่กลางฤดูหนาวในวันที่แสงตะวันอบอุ่นสาดส่อง ทั้งๆ ที่เย็นเยือก แต่กลับอุ่นถึงหัวใจ

 

 

หนิงหลานยื่นมือออก “สหายมั่ว เชิญ”

 

 

มั่วชิงเฉินได้เปิดโลกทัศน์ รู้สึกอารมณ์ดี ยกจอกชาขึ้นชิ้นหนึ่งคำ แล้วกล่าวชมใหญ่ “ช่างเป็นชาที่ดีจริงๆ!”

 

 

หนิงหลานยิ้มน้อยๆ หนึ่งที “ทุกคนต่างรู้ว่าชายหิมะโปรยปรายแห่งหอบรรลุเซียนนั้นเปี่ยมไปด้วยพลังวิญญาณ เย็นชุ่มถึงกระดูก เป็นของศักดิ์สิทธิ์มีฤทธิ์ขับร้อน แต่น้อยคนนักจะรู้ว่าชาหิมะโปรยที่ดีที่สุดนั้น ความจริงแล้วคือแฝงอุ่นในเย็น เหมาะสำหรับสตรีอย่างยิ่ง”

 

 

ในห้องรับรอง หญิงสาวทั้งสองนั่งตรงข้ามกัน ค่อยๆ ลิ้มรสชา สงบเงียบสบายอารมณ์

 

 

มั่วชิงเฉินรู้เมื่อย่างเข้าสู่เกาะราชันย์พำนักแล้ว ความรู้สึกสบายอารมณ์เช่นนี้คงจะไม่มีอีก แต่ก็ทำให้ตื่นเต้นขึ้นมาพอดู เมื่อดื่มชาวิญญาณหมด ใช้มือพลิกหน้าโต๊ะอีกด้านขึ้นก็ปรากฏน้ำเต้าสีชมพูคล้ำสองใบอยู่ นางยิ้มหวานแล้วพูดขึ้น “สหายหนิง ได้รับแล้วไม่ให้กลับคืนนั้นไร้มารยาท เจ้าเลี้ยงชาข้า ข้าของเลี้ยงเหล้าเจ้าแล้วกัน”

 

 

แววตาหนิงหลานดูตื่นเต้นเล็กน้อย นางพูดขึ้นอย่างลังเลว่า “สหายมั่ว ข้าดื่มเหล้าไม่เก่ง”

 

 

มั่วชิงเฉินยกน้ำเต้าสีชมพูคล้ำขึ้น “เหล้าในน้ำเต้านี้ ข้าหมักมาเองกับมือ มีชื่อว่าน้ำค้างขาวดอกบ๊วยโรย สตรีเหมาะจะดื่มที่สุด เช่นเดียวกับชาหิมะโปรยของเจ้า”

 

 

“น้ำค้างขาวดอกบ๊วยโรยหรือ” หนิงหลานรู้สึกฉงนขึ้นมาทันที จากนั้นก็ทำหน้าอัศจรรย์ใจ ร้องขึ้นด้วยความประหลาดใจ “สหายมั่ว เจ้าสามารถทำน้ำค้างขาวดอกบ๊วยโรยได้ด้วยหรือ”

 

 

หลายปีก่อน เจ้าสำนักซู่ซินได้น้ำค้างขาวดอกบ๊วยโรยมาสองไห ยกให้เป็นของล้ำค่า มีเพียงในงานคัดเลือกว่าที่เทพธิดาศักดิ์สิทธิ์สามคนประจำสำนักปีนั้นที่หยิบออกมาให้พวกนางทั้งสามชิม

 

 

โชคดีที่ได้ดื่มอยู่สองสามจอก แม้ว่าจะไม่ถนัดดื่มสุรา แต่ก็สามารถสัมผัสได้ถึงรสชาติอันสุดล้ำเลิศของเหล้านั้น จนถึงตอนนี้ก็ยังยากจะลืมมันลง

 

 

มั่วชิงเฉินเห็นท่าทีประหลาดใจของหนิงหลาน ก็พูดออกมาด้วยรอยยิ้ม “ที่แท้สหายหนิงก็เคยได้ยินเกี่ยวกับน้ำค้างขาวดอกบ๊วยโรยมาก่อน”

 

 

หนิงหลังเพิ่งบอกว่าดื่มเหล้าไม่เก่ง ตอนนี้ได้ยินมั่วชิงเฉินว่าดังนั้น ก็รีบร้อนอธิบาย “ในปีก่อนโชคดีได้ชิมจากเจ้าสำนัก เจ้าสำนักหวงแหนน้ำค้างขาวดอกบ๊วยโรยอย่างมาก บังเอิญได้มาสองไห ไหหนึ่งแบ่งให้พวกเราได้ดื่ม อีกไหก็เก็บไปไม่ยอมเอามันออกมาอีกเลย”

 

 

มั่วชิงเฉินแม้ไม่รู้ว่าหนิงหลานเป็นว่าที่เทพธิดาศักดิ์สิทธิ์แห่งสำนักซู่ซิน เมื่อได้ยินนางพูดเช่นนั้นก็เข้าใจว่าสิ่งที่ตนคาดการณ์นั้นไม่ผิด นางดื่มน้ำค้างขาวดอกบ๊วยโรยจากเจ้าสำนักได้ เพียงพอจะรู้ว่าฐานะนางในสำนักซู่ซินนั้นไม่ธรรมดา

 

 

ใคร่ครวญอยู่พักใหญ่ ก็เอ่ยปากพูดขึ้นว่า “สหายหนิง ข้าจะไม่ปิดบังเจ้า ข้าไปยังเกาะราชันย์พำนักครั้งนี้ เป็นเพราะได้รับภารกิจอย่างหนึ่งมา ภารกิจนี้ อาจจะเกี่ยวข้องกับสำนักของเจ้า ไม่รู้ว่าเจ้าจะพอช่วยพาข้าไปแนะนำให้รู้จักกับเจ้าสำนักได้หรือไม่”

 

 

“เช่นนั้นเองหรือ” หนิงหลานย่นคิ้ว แล้วพูดว่า “สหายมั่วมีบุญคุณต่อหนิงหลาน หากหมายพบเจ้าสำนัก หนิงหลานย่อมควรเป็นธุระแนะนำให้อยู่แล้ว เพียงแต่อยากขอถามละลาบละล้วงสักข้อ ว่าภารกิจของสหายมั่วนั้นคือ…”

 

 

นางไม่ได้ต้องการจะสืบสาวราวลึก แต่หากพาบุคคลผู้เป็นอันตรายต่อสำนักเข้าไป ก็ยากจะเลี่ยงการนำภัยมาภายหลังได้

 

 

มั่วชิงเฉินเข้าใจความกังวลของนาง เมื่อนึกถึงว่าสำนักซู่ซินเป็นสำนักใหญ่แห่งเดียวของเกาะราชันย์พำนัก ภารกิจนั้นย่อมต้องเกี่ยวข้องกับสำนักซู่ซิน เช่นนั้นจะมุ่มบ่ามบุกเข้าไป ก็คงไม่ดีเท่าสืบหาจากหนิงหลานที่อยู่ตรงนี้

 

 

นางมองออกว่าหนิงหลานมีใจต่อศิษย์พี่ แต่พื้นฐานแล้วกลับไม่ได้เป็นคนเลวร้าย

 

 

มนุษย์ไม่ใช่โพธิสัตว์ ยิ่งไม่ต้องพูดถึงหญิงสาวในวัยเพ้อฝัน ชายหนุ่มในวัยแสวงรัก นั่นเป็นเรื่องสามัญยิ่งนักสำหรับมนุษย์ เพียงแต่ความคิดอันมืดดำบางอย่างนั้น ใครบ้างจะสามารถยืนยันได้ว่าชีวิตนี้มันไม่เคยผุดขึ้นในห้วงความคิดของตน

 

 

สามารถสะกดความคิดอันมืดดำนั้นไว้ได้ ไม่ได้กระทำอันใดจนทำร้ายผู้อื่นขึ้นมาจริงๆ คนผู้นั้นก็นับว่าควรค่าจะคบหาแล้ว 

 

 

“สหายหนิง พวกเรารู้จักกันมาก็หลายวัน ข้าคิดว่าเจ้าเป็นลูกศิษย์ผู้เก่งกาจในสำนักซู่ซินแน่นอน เพียงมีเรื่องอยากถามสักหน่อย หากเจ้าสะดวกที่จะบอก แต่ถ้าหากเกี่ยวข้องกับความลับของสำนักเจ้า เช่นนั้นก็ถือว่าข้าเสียมารยาทแล้ว”

 

 

เห็นมั่วชิงเฉินสีหน้าจริงจัง หนิงหลานก็เหยียดตัวตรง มองลึกไปในดวงตานาง “สหายมั่วว่ามาเถิด”

 

 

มั่วชิงเฉินอ้ำอึ้งอยู่ชั่วครู่ ก็พูดว่า “ปฐมาจารย์ผู้ก่อตั้งสำนักท่าน มีแซ่ว่ามั่วหรือเปล่า” 

 

 

หนิงหลานหัวเราะ “ใช่แล้ว เรื่องนี้แม้ว่าไม่ใช่ทุกคนจะรู้กันทั่ว แต่คนที่รู้ก็มีไม่น้อย”

 

 

มั่วชิงเฉินแอบบอกตัวเองว่าเป็นตามที่คิด นางหัวเราะ “ข้าไม่เพียงรู้ว่านางแซ่มั่ว ยังรู้อีกว่าชื่อของนางมีอักษรเพียงหนึ่งตัวคือ ‘ถง’ ”

 

 

“เจ้ารู้ได้อย่างไรกัน” หนิงหลานสะดุ้งไปทั้งตัว

 

 

มั่วชิงเฉินเล่าเกี่ยวกับภารกิจนั้นออกมาพอสังเขป แน่นอนว่าไม่ได้พูดเรื่องที่หญิงผู้นั้นเห็นมั่วถงเป็นศัตรูความรัก เพียงแต่บอกว่านางคือคนของมั่วถง ในขณะที่ยังอยู่บนโลกนี้อยากพบหน้ามั่วถงสักครั้ง

 

 

หนิงหลานเงียบอยู่นาน นานจนมั่วชิงเฉินคิดว่านางคงไม่ตอบแล้ว ในที่สุดก็เอ่ยปากต่อ “ปฐมาจารย์นาง…หายสาบสูญไปเมื่อหลายปีก่อน”

 

 

“หายสาบสูญหรือ”

 

 

คำตอบนี้ ไม่ได้เกินความคาดหมายของมั่วชิงเฉิน มั่วถงคือผู้บำเพ็ญระดับระดับก่อกำเนิดเมื่อพันปีก่อน ถึงตอนนี้ หากระดับไม่พัฒนาขึ้น เช่นนั้นก็น่าจะหมายความว่าเสียชีวิตไปนานแล้ว หากระดับพัฒนาเกินระดับ อาจจะต้องออกไปท่องโลกเงียบๆ สำหรับผู้คนทั่วไป คงมองว่าเป็นหายสาบสูญ

 

 

“หากเป็นเช่นนั้น ภารกิจของข้าคงไม่อาจสำเร็จ” ถอนหายใจเบาๆ

 

 

เห็นมั่วชิงเฉินหน้านิ่ว หนิงหลานลังเลอยู่สักครู่ก็พูดขึ้น “ภารกิจนี้สำคัญสำหรับสหายมั่วมากหรือ”

 

 

มั่วชิงเฉินพยักหน้ารับ “สำคัญมาก”

 

 

หนิงหลานนิ่งเงียบไปอีกครั้ง

 

 

มั่วชิงเฉินใจเต้นตุบ รีบพูดขึ้นว่า “สหายหนิง หากยังมีวิธีการอื่น ข้าจะรู้สึกขอบคุณเป็นอย่างยิ่ง”

 

 

หนิงหลานรีบตอบ “สหายมั่วคือผู้มีบุญคุณของหนิงหลาน พูดเช่นนี้ข้ารู้สึกผิดนัก วิธีการก็ยังพอมีอยู่หนึ่งวิธี เพียงแต่…”

 

 

“เพียงแต่อย่างไรหรือ”

 

 

หนิงหลานขบฟัน “เพียงแต่วิธีการนี้มันอันตรายอย่างมาก ข้าคิดว่าสหายมั่วอย่าลองเลยจะดีที่สุด”

 

 

มั่วชิงเฉินนิ่งเงียบ แล้วพูดขึ้นอย่างสงบนิ่ง “สหายหนิงลองว่ามาก่อนเถิด”

 

 

“ปฐมาจารย์นั้นมีความคิดแปลกพิเศษ แม้ว่าจะหายตัวไปหลายปีแล้ว แต่ก็ยังทิ้งข่าวคราวไว้ เกรงว่าในวันหลังจะมีคนจำนวนไม่น้อยออกตามหานาง หากเป็นเช่นนั้น สำนักไม่จำเป็นต้องเข้าไปขัดขวาง คนที่ต้องการพบนางได้เพียงแต่ต้องฝ่าค่ายกลหมื่นขาดพันถวิลจึงจะสามารถพบกับเสี้ยวจิตที่นางทิ้งเอาไว้ เพียงแต่ค่ายกลหมื่นขาดพันถวิลอันตรายผิดสามัญ มันสามารถยกระดับอานุภาพขึ้นได้ตามระดับการบำเพ็ญเพียรของผู้บุกรุก สหายมั่ว ลองใคร่ครวญดูเถิด” หนิงหลานพูดสีหน้าจริงจัง 

 

 

มั่วชิงเฉินแอบยินดีกับตัวเองในใจที่หนิงหลานพูดเช่นนั้น นี่สามารถคลี่คลายหลายสิ่งหลายอย่างได้อย่างรวดเร็ว ครุ่นคิดอยู่ชั่วครู่ก็พูดว่า “ค่ายกลหมื่นขาดพันถวิล ข้าอยากลองสักครั้ง”

 

 

แม้ว่าค่ายกลจะแสดงอานุภาพแปรผันตามระดับการบำเพ็ญ แต่ด้วยความสามารถที่เหนือระดับเดียวกันของนาง โอกาสสำเร็จนับว่าไม่น้อย

 

 

“สหายมั่ว หลายปีมานี้ มีคนจำนวนไม่น้อยทยอยกันบุกฝ่าค่ายกลไม่ขาด แต่ถ้าไม่ตายก็ล้วนแต่บาดเจ็บไม่มีผู้ใดจะสำเร็จเลยสักคน” หนิงหลานเตือนนางอีกครั้ง

 

 

มั่วชิงเฉินยิ้มน้อยๆ หนึ่งที “ขอบคุณสหายหนิงที่เตือน แต่ข้าก็ยังอยากลองดูสักครั้ง”

 

 

ลังเลอยู่ชั่วครู่ หนิงหลานก็พูดขึ้นว่า “แล้วสหายเยี่ยรู้หรือเปล่า เรื่องการฝ่าค่ายกลน่ะ สหายมั่วไม่ลองปรึกษากับสหายเยี่ยอีกสักครั้งดูก่อนหรือ”

 

 

มั่วชิงเฉินกะพริบตา “ข้าจะบอกเขาอยู่แล้ว แต่เรื่องนี้เป็นเรื่องที่ข้าจำเป็นต้องทำ”

 

 

หนิงหลานถอนใจหนึ่งที “ในเมื่อเป็นเช่นนั้น สามวันหลังจากนี้ข้าจะกลับไปที่เกาะพอดี สหายมั่วตามหนิงหลานไปพร้อมกันเถิดนะ เพียงแต่ข้ายังมีภารกิจที่หอบรรลุเซียนอยู่ ไม่อาจอยู่เป็นเพื่อนสหายหมั่วบนเกาะได้”

 

 

มั่วชิงเฉินยิ้มสดใส “ขอบคุณสหายหนิงอย่างมาก มา พวกเราดื่มเหล้ากัน”

 

 

ไม่รู้ด้วยเหตุใด ในใจหนิงหลานกลับรู้สึกหนักอึ้ง รู้สึกได้ถึงลางสังหรณ์ไม่ดีบางอย่างเกี่ยวกับการฝ่าค่ายกลของมั่วชิงเฉิน นางยื่นมือไปยกน้ำเต้าขึ้นมาเพื่อรินสุราโดยไม่รู้ตัว 

 

 

แล้วก็ถูกมือมั่วชิงเฉินกดเอาไว้ “สหายหนิง ดื่มเช่นนี้น่าเบื่อออก ยกน้ำเต้าขึ้นดื่มจะเลยสะใจกว่า” 

 

 

กล่าวจบก็เปิดฝาน้ำเต้ายกขึ้นดื่มหนึ่งอึก พลางมองไปยังนางด้วยรอยยิ้ม 

 

 

หนิงหลานเห็นรอยยิ้มของมั่วชิงเฉินก็คึกขึ้นมา ยกน้ำเต้าขึ้นซดเสียอึกใหญ่

 

 

กลิ่นหอมสุรายังติดค้างอยู่ในปาก ไหลผ่านลงสู้ท้อง สลายความมัวหมองในจิตใจ

 

 

น้ำค้างขาวดอกบ๊วยโรย เป็นสุราชั้นเลิศจริงๆ!

 

 

เวลาผ่านไปอย่างง่ายดาย ชั่วพริบตาก็เข้าสู่ช่วงพลบค่ำ มั่วชิงเฉินคิดแล้วก็ไปยังหน้าประตูห้องเยี่ยเทียนหยวน “ศิษย์พี่ ข้าเข้าไปได้หรือไม่”

 

 

เสียงดังโครมใหญ่แว่วออกมา  มั่วชิงเฉินใช้ขาข้างหนึ่งเตะประตูเปิดออก ฉากในห้องนั้นทำให้นางต้องอึ้ง

 

 

เห็นเยี่ยเที่ยนหยวนทำสีหน้าไม่ถูก ถังมู่เฉินกอดขาแสยะเขี้ยวเคี้ยวฟัน เก้าอี้ที่อยู่ด้านข้างล้มลงกับพื้น เกี่ยวกับชายเสื้อของเขาเอาไว้ 

 

 

“พวกท่านทำอะไรกันน่ะ” มั่วชิงเฉินพูดไม่ออก เมื่อตัวอับโชคผู้นี้มาถึง ก็เกิดเรื่องขึ้นตามคาด

 

 

“ไม่มีอะไร!” ทั้งสองร้องขึ้นพร้อมกัน จากนั้นคนหนึ่งอึ้งนิ่งมองไปยังมั่วชิงเฉิน อีกคนหนึ่งก็ยิ้มร้ายไปยังมั่วชิงเฉิน  

 

 

คนอย่างถังมู่เฉินต้องไม่มีเรื่องดีแน่!

 

 

ทันทีที่ความคิดนี้ปรากฏขึ้นในหัว มั่วชิงเฉินก็พูดขึ้นอย่างโมโหว่า “ออกไปเดี๋ยวนี้”

 

 

“เอ่อ” ทั้งสองคนลุกขึ้นยืน แล้วเดินออกไปยังประตูอย่างว่าง่าย 

 

 

มั่วชิงเฉินสงบอารมณ์ลง “ศิษย์พี่ นี่คือห้องของท่าน ท่านจะตามออกไปทำไมเล่า”

 

 

“ฮ่าๆๆ” ถังมู่เฉินหัวเราะลั่น แล้ววิ่งออกประตูไป