ตอนที่ 457 ราชันย์พำนักมีเกาะเซียน

พันธกานต์ปราณอัคคี

มั่วชิงเฉินเดินไปยังด้านหน้าเยี่ยเทียนหยวน เห็นเขาหน้าแดงไปถึงหู ท่าทีดูลนลาน ใจก็เต้นขึ้นมาไม่รู้ด้วยเหตุใด อดไม่ได้ยื่นนิ้วออกไป ลูบเบาๆ บนใบหน้าอันคมเข้มราวกับแกะสลักของเขา 

 

 

“ศิษย์…ศิษย์น้อง เจ้ามาได้อย่างไร” 

 

 

มั่วชิงเฉินมองคะเนเยี่ยเทียนหยวนทีหนึ่ง “ถ้าศิษย์พี่ไม่ต้อนรับ ข้าก็จะไป” 

 

 

เอ่ยเสร็จก็หันตัว ยังไม่ทันได้ก้าวเท้ามือก็ถูกรั้งเอาไว้ “ศิษย์น้อง อย่าไปเลย” 

 

 

มั่วชิงเฉินเม้มปากยิ้ม “เช่นนั่นศิษย์พี่ก็บอกข้าสิ ว่าเมื่อครู่ท่านกับถังมู่เฉินทำอะไรกัน” 

 

 

ยังไม่ทันได้รับคำตอบจากเยี่ยเทียนหยวน แสงวิญญาณก็สว่างขึ้นกลางห้อง มีอีกาหนึ่งตัวและอสูรเขาเดียวอีกหนึ่งตัวปรากฏขึ้น 

 

 

มั่วชิงเฉินฉงน “อู๋เย่ว์ เขาน้อย เจ้าออกมาได้อย่างไร” 

 

 

อู๋เย่ว์จูงเขาน้อย พูดขึ้นด้วยสีหน้าจริงจัง “โอ นายท่าน วันนี้อากาศไม่เลวเสียจริง ข้าเลยจะพาเขาน้อยออกไปตากแดดเล่นสักหน่อย” 

 

 

มั่วชิงเฉินหันหน้ามองออกไปนอกหน้าต่าง “ตอนนี้พลบค่ำแล้วไม่ใช่หรือ” 

 

 

อู๋เย่ว์มองออกไปนอกหน้าต่าง แล้วก็สะดุ้งโหยง ครั้นแล้วก็พูดด้วยสีหน้าเยือกเย็น “โอ ที่แท้ก็พลบค่ำแล้วสินะ เฮ้อ สัตว์อสูรที่อยู่แต่ในถุงสัตว์อสูรช่างน่าเวทนาเสียเหลือเกิน แยกไม่ออกแม้กระทั่งมืดหรือสว่าง กลางคืนก็ดี ข้ากับเขาน้อยอยากไปอาบแสงจันทร์อยู่พอดี” 

 

 

“อืมๆ” เขาน้อยกะพริบตาอันชุ่มฉ่ำ พยักหน้าตามไม่หยุด 

 

 

อีกาไฟแกว่งปีก “นายท่าน พวกเราไปก่อนนะ ไอยา ไม่ได้ตากแดดมาเสียนาน พวกเราอาจจะถือโอกาสตากแดดของวันพรุ่งนี้ไปด้วยเลย” 

 

 

“อืมๆ” เขาน้อยพยักหน้าต่อ 

 

 

มั่วชิงเฉินตั้งสติได้ ก็หน้าแดงก่ำไปทั้งแถบ “อู๋เย่ว์ เจ้าอย่าเหลวไหล!” 

 

 

อีกาไฟรีบจูงเขาน้อยเดินออกไปข้างนอก “ใครกันเหลวไหล นายท่าน หัดรู้อะไรหน่อยสิ ม้าควรพาออกไปเดินเล่นข้างนอกบ่อยๆ นะ” 

 

 

“อืมๆ” เขาน้อยพยักหน้าอีกครั้ง แล้วก็ได้สติขึ้นมา พูดขึ้นอย่างเคืองๆ “ใครคือม้านะ ใครคือม้า!” 

 

 

เห็นสัตว์อสูรทั้งสองตัวจากไปรวดเร็วดั่งสายลม ซ้ำยังปิดประตูดังโครมหนึ่งที มั่วชิงเฉินก็ตาค้าง จากนั้นก็รู้สึกเหมือนจะร้องไห้แต่ไม่มีน้ำตา ไม่รู้ว่านางทำกรรมอะไรมา จึงต้องมาพัวพันกับสัตว์อสูรคู่นี้ 

 

 

บรรยากาศเปลี่ยนไปฉับพลัน กลายเป็นความเงียบอันอึมครึม 

 

 

“ศิษย์น้อง” เยี่ยเทียนหยวนรวบไหล่มั่วชิงเฉิน 

 

 

เมื่อนึกถึงเรื่องที่สัตว์อสูรสองตัวนั้นจงใจออกมาเพื่อเปิดทางสะดวกแก่พวกเขา มั่วชิงเฉินก็อดไม่ได้ที่จะอายจนแทบอยากมุดแผ่นดิน  

 

 

ทั้งโลกแห่งการบำเพ็ญเพียร ความกระดากอายเช่นนี้นอกจากนางแล้วจะมีใครอีกที่สามารถรับรู้ 

 

 

“แค่กๆ ศิษย์พี่ ท่านยังไม่ได้ตอบคำถามข้านะ” มั่วชิงเฉินทำทีสงบนิ่งสลัดตัวออกจากมือเยี่ยเทียนหยวน 

 

 

เยี่ยเทียนหยวนเองก็ทำเป็นสงบนิ่ง “สหายถังก็แค่เข้ามาคุยอะไรเรื่อยเปื่อยเท่านั้น” 

 

 

“คุยอะไรเรื่อยเปื่อยหรือ” มั่วชิงเฉินยื่นคาง หรี่ตามองเยี่ยเทียนหยวน “คุยอะไรเรื่อยเปื่อย แล้วทำไมพอข้าเข้ามาพวกเจ้าต้องลนลานถึงกับชนเก้าอี้ล้มด้วย” 

 

 

ดวงตาทรงดอกท้อเป็นประกายไหว เยี่ยเทียนหยวนใจกระเพื่อม พูดด้วยเสียงทุ้มต่ำ “ศิษย์น้องอยากรู้จริงหรือ” 

 

 

“เอ่อ แน่นอน…” มั่วชิงเฉินรู้สึกหวั่นใจขึ้นมายังบอกไม่ถูก  

 

 

เยี่ยเทียนหยวนมองนิ่งไปยังมั่วชิงเฉิน ทันใดนั้นก็ก้มหน้าลงไปข้างหูนาง แล้วพ่นไออุ่นเข้าไปในหูนาง รู้สึกทั้งชาและจักจี้ “ศิษย์น้อง”  

 

 

พูดแล้วก็อมต่างหูเล็กกระจิริดของนางไว้ แล้วเลียเบาๆ 

 

 

มั่วชิงเฉินเกร็งไปทั้งตัว แล้วผลักออกอย่างลนลาน “ศิษย์พี่ เจ้าทำอะไร” 

 

 

เยี่ยเทียนหยวนออกแรง รวบมั่วชิงเฉินไว้ในอ้อมกอด แล้วพูดขึ้นด้วยเสียงที่ทั้งเบาและแหบพร่า “ศิษย์น้องอยากรู้ไม่ใช่หรือ” 

 

 

มือเทอะทะค่อยๆ แหวกคอเสื้อนางออก จุมพิตอันเร่าร้อนประทับลง 

 

 

“ศิษย์พี่?” มั่วชิงเฉินมองถลึงตาโต ไม่เข้าใจว่าทำไมเยี่ยเทียนหยวนจึงกลายเป็นราวกับอีกคน 

 

 

เยี่ยเทียนหยวนโน้มตัวกลมเหนือตัวนาง เสียงทุ้มต่ำแต่สะกดความรู้สึกความรู้สึกเอาไว้ดังขึ้น “ศิษย์น้อง เมื่อก่อนข้าโง่เขลา ทำได้ไม่ดี…” 

 

 

มั่วชิงเฉินหลับตาปี๋ ขนตาสั่นระริก แล้วโพล่งออกมาสองคำว่า “คนโง่…”  

 

 

“ตอนนี้ ตอนนี้ดีหรือยัง” หยดเหงื่อร้อนผ่าวหยดแล้วหยดเล่ายาดร่วงลงมา 

 

 

“คนโง่” มั่วชิงเฉินหลับตาสนิท แล้วดึงเขาเอาไว้เบาๆ 

 

 

ระหว่างเขาและนางต่างมีไฟที่ดึงดูดกันและกัน ไม่เห็นต้องทำเช่นนี้เลย แต่จะว่าไปเช่นนี้ ก็รู้สึกดีไม่น้อย…  

 

 

สวรรค์ นี่ข้าคิดอะไรอยู่! 

 

 

ในขณะที่มั่วชิงเฉินอายจนโกรธ ทั้งสองคนในที่สุดก็หลอมรวมเป็นหนึ่ง แสงวสันต์สาดส่องไร้ขอบเขต  

 

 

วันรุ่งขึ้น 

 

 

“ศิษย์น้อง เจ้าคิดจะฝ่าค่ายกลหมื่นขาดพันถวิลหรือ” เยี่ยเทียนหยวนฟังมั่วชิงเฉินบรรยาย สีหน้าเรียบ 

 

 

“อืม” มั่วชิงเฉินพยักหน้าอย่างหนักแน่น 

 

 

เยี่ยเทียนหยวนยื่นมือออกไป ลูบเรือนผมมั่วชิงเฉินเบาๆ “ได้ ข้าเข้าใจแล้ว ข้าจะหลอมของอย่างหนึ่งให้เจ้า มะรืนตอนเจ้าจะออกเดินทาง ให้รอข้าก่อน” 

 

 

“อืม” มั่วชิงเฉินรับคำ มือขยับหนึ่งทีลูกปัดคู่หนึ่งก็ปรากฏขึ้น “ศิษย์พี่ นี่คือมุกผูกมัดใจเดียว พวกเราหยดเลือดหนึ่งหยดลงไปบนลูกปัดคนละเม็ดแล้วแลกกัน” 

 

 

จากนั้นก็อธิบายวิธีการใช้มุกผูกมัดใจเดียว 

 

 

หยดเลือดของทั้งสองหยดลง ครั้นแล้วก็แลกลูกปัดกัน ประสานตาส่งเสียงหัวเราะ 

 

 

เวลาสองวันผ่านไปราวพริบตา 

 

 

ที่ท่าเรือ ถังมู่เฉินและที่เหลือยืนอยู่ด้วยกัน มาส่งมั่วพวกชิงเฉินทั้งสองเดินทาง 

 

 

เรือเบาลำหนึ่งจอดเทียบท่า หญิงถ่อเรือท่าทีอรชรอ่อนช้อย เงยหน้ามองหนิงหลาน “คุณหนู ได้เวลาเดินทางแล้วเจ้าค่ะ” 

 

 

หนิงหลานมองไปยังมั่วชิงเฉิน 

 

 

มั่วชิงเฉินเม้มปาก “ขออีกสักครู่เถิดนะ” 

 

 

“ได้” หนิงหลานพยักหน้า 

 

 

ถังมู่เฉินเหยียดปาก “น้องสาว เจ้าอย่ารีบร้อน หากสหายลั่วหยางมาไม่ทัน ข้าจะจัดการเขาแทนเจ้าเอง” 

 

 

เสียงหนึ่งแว่วมาเบาๆ “เรื่องนี้ไม่ต้องเดือดร้อนสหายถังหรอก” 

 

 

“ไอยา ในที่สุดเจ้าก็มาแล้ว” ถังมู่เฉินตบไหล่เยี่ยเทียนหยวน 

 

 

ทั้งดวงตาเยี่ยเทียนหยวนเส้นเลือดแดงฉาน ริมฝีปากทั้งสองแห้งกร้าน เดินเข้ายื่นของสิ่งหนึ่งหน้ามั่วชิงเฉิน “ศิษย์น้อง เจ้าเอาสิ่งนี้ไป” 

 

 

มั่วชิงเฉินยื่นมือไปรับแล้วเก็บลงกำไลเก็บของอย่างรวดเร็ว เพียงครู่สั้นๆ ก็รับรู้ได้ว่านั่นคือลูกดอกลับ 

 

 

ในใจรู้สึกอบอุ่นขึ้นมาอย่างห้ามมิได้ ศิษย์พี่คิดรอบคอบจริงๆ ลูกดอกลับเป็นอาวุธชั้นดีสามารถใช้ลอบโจมตีระยะประชิดได้ 

 

 

“ศิษย์พี่ พี่ใหญ่ หู่โถว ข้าไปก่อนนะ” มั่วชิงเฉินพูดด้วยรอยยิ้ม 

 

 

ถังมู่เฉินถอนหายใจ “น้องสาว รีบกลัมาแล้วกัน พี่ใหญ่รอกลับไปดื่มเหล้ามงคลของเจ้าอยู่นะ” 

 

 

“ข้าด้วยๆ” หู่โถวรีบพูด 

 

 

มั่วชิงเฉินตบศีรษะหู่โถวเบาๆ “พระเณรดื่มเหล้าไม่ได้นะ” 

 

 

หู่โถวเผยอปาก “ใครบอกเล่า พระอาจารย์ของข้า สหายพระอาจารย์ข้า ศิษย์พี่ของข้า พวกเขาล้วนแต่ดื่มทั้งนั้น” 

 

 

นี่คือสำนักสงฆ์อะไรกัน 

 

 

มั่วชิงเฉินยกมุมปาก มองไปยังเยี่ยเทียนหยวน “ศิษย์พี่ อย่าได้เป็นห่วงเลย” 

 

 

เยี่ยเทียนหยวนเม้มปากแน่น 

 

 

ค่ายกลหมื่นขาดพันถวิลนั้นอันตรายเพียงใด ที่ว่าไม่ต้องห่วงนั้นน่าขันเสียจริง แต่เขานอกเสียจากหลอมอาวุธให้ศิษย์น้องแล้ว ก็ไม่สามารถทำสิ่งใดได้เลย 

 

 

เกาะราชันย์พำนักไม่อนุญาตให้บุรุษย่ำกรายก็จริง แต่ไม่ว่าจะอย่างไรก็ถือว่าตัวเขาไม่มีความสามารถเพียงพอ 

 

 

กฎเกณฑ์คือผู้แข็งแกร่งกำหนด หากเขาคือระดับก่อกำเนิด และก้าวเท้าเข้าไปยังเกาะราชันย์พำนักขึ้นมาจริง แล้วจะทำอะไรเขาได้ 

 

 

แต่ตอนนี้ เขาไม่อาจสู้รบเคียงบ่าเคียงไหล่กับศิษย์น้อง และไม่อาจขัดขวางการตัดสินใจของนางได้ ทำได้เพียงสนับสนุนนางให้มากที่สุด 

 

 

ก้าวไปข้างหน้าหนึ่งก้าว โอบตัวมั่วชิงเฉินเอาไว้ แล้วลดเสียงต่ำพูดขึ้นเบาๆ “ ศิษย์น้อง เจ้าไปเถอะ”  

 

 

ศิษย์น้อง หากเจ้าไม่กลับมา ข้าก็จะไปหาเจ้า ไม่ว่าเช่นไร พวกเราจะต้องอยู่ด้วยกันให้ได้  

 

 

เรือน้อยค่อยๆ ลอยลำไกลออกไป คนที่อยู่ริมฝั่งเฝ้ารออยู่นานจึงค่อยจะไป 

 

 

บนเกาะราชันย์พำนัก เซวียเสี่ยวเสี่ยวรับพิราบวิญญาณ เห็นพิราบวิญญาณนำข่าวมา ก็เผยรอยยิ้มออกมา “วันนี้ก็มาถึงแล้วหรือ หึๆ หนิงหลานเอ๋ยหนิงหลาน ข้ามองเจ้าสูงเกินไป แม้แต่ความกล้าที่จะช่วงชิงก็ไม่มี มายอมแพ้เสียง่ายๆ ฮึ ข้าเกลียดใบหน้าดูเป็นคนดีของเจ้าที่สุดรู้บ้างหรือเปล่า ในเมื่อเจ้าไม่มีความกล้า ข้าก็จะช่วยเจ้าแล้วกัน” 

 

 

พูดถึงตรงนี้น้ำเสียงก็ต่ำลง “อยากจะฝ่าค่ายกลหมื่นขาดพันถวิลหรือ ไม่รู้ว่าถ้าหญิงผู้นั้นตายกลางค่ายกล หนิงหลานจะใจกล้าขึ้นบ้างหรือเปล่า หากชายผู้นั้นได้ครอบครองกายนางแล้วมาทอดทิ้งนางเพราะว่าคู่บำเพ็ญตายจากไป เรื่องราวจะสนุกขึ้นบ้างหรือเปล่านะ ในเมื่อกล้าใช้แซ่มั่ว นางก็สมควรแล้ว!” 

 

 

“น้องเซวียพูดอะไรอยู่คนเดียว” หญิงสาวในชุดสีมรกตผู้หนึ่งค่อยๆ ร่อนลงสู่พื้น เดินเข้ามาพร้อมรอยยิ้ม  

 

 

ความไม่พอใจฉายผ่านใบหน้าเซียวเสี่ยวเสี่ยวแล้วเลือนไป นางรีบปรับสีหน้า พูดขึ้นด้วยรอยยิ้ม “พี่หญิงโต้วน้อยนักจะมาเยือน ไยจึงมาถึงที่นี่ได้” 

 

 

ผู้มาเยือนคือว่าที่เทพธิดาศักดิ์สิทธิ์อันดับหนึ่ง โต้วหวั่น 

 

 

โต้วหวั่นจีบปากพูด “น้องเซวียคำพูดนี้ทำให้ข้าเสียใจยิ่งนัก วันนี้เป็นวันที่เจ้าสำนักทำการตรวจสอบผลภารกิจขั้นต้นของพวกเราสามคน น้องหนิงก็ใกล้จะกลับมาถึงแล้ว ข้าเพียงแต่อยากร่วมทางกับน้อง ไปรับน้องหนิงด้วยกัน” 

 

 

เซวียเสี่ยวเสี่ยวอยากปฏิเสธเหมือนอย่างเคย แต่พอนึกถึงผู้ซึ่งหนิงหลานพามาด้วยก็เปลี่ยนความคิด นางยิ้มแล้วพูด “ดีเจ้าค่ะ” 

 

 

พูดเสร็จก็เป็นฝ่ายจูงแขนโต้วหวั่นก่อน 

 

 

แววตาโต้วหวั่นดูล้ำลึก นางยิ้มขึ้นหนึ่งที 

 

 

หนิงหลานยืนมองสองคนที่ยืนอยู่ริ่มฝั่ง ท่าทีดูหวั่นใจเล็กน้อย แต่ก็ปรับอารมณ์กลับได้อย่างรวดเร็ว “พี่โต้วและน้องเซวียมารับข้าด้วยกัน หนิงหลานยินดีจนทำตัวไม่ถูกเลย” 

 

 

โต้วหวั่นกะพริบตา “เพราะน้องเซวียมาทำให้เจ้ายินดีจนทำตัวไม่ถูกเลยสินะ เอ๋ น้องสาวผู้นี้คือ…” 

 

 

โต้วหวั่นอยู่ในระดับก่อแก่นปราณขั้นปลาย เรียกมั่วชิงเฉินว่าน้องสาวก็ไม่ได้ผิดอะไร 

 

 

ได้ยินผู้บำเพ็ญระดับก่อแก่นปราณเรียกกันเดี๋ยวพี่เดี๋ยวน้อง มั่วชิงเฉินรู้สึกไม่คุ้นหู แต่ใบหน้ากับสงบนิ่ง แสดงความเคารพต่อคนวัยเดียวกัน “คารวะสหายทั้งสอง” 

 

 

จากนั้นก็มองใบหน้าอบอุ่นเป็นมิตรของสตรีทั้งสามด้วยแววตาเยือกเย็น ในความจริงแล้วกระแสอันเยือกเย็นเหินห่างนั้นได้พัดออกจากกลางเกาะนี้เอง 

 

 

หลังจากแจ้งที่พักให้กับมั่วชิงเฉินแล้ว หนิงหลานก็ไปพบเจ้าสำนัก  

 

 

เจ้าสำนักตรวจสอบทั้งสามคนอยู่รอบหนึ่ง ในตอนที่สั่งให้พวกนางแยกย้ายก็เห็นหนิงหลานอยู่ต่อ 

 

 

“หนิงหลาน มีเรื่องอะไรหรือเปล่า” 

 

 

น้ำเต้าสุราคู่หนึ่งปรากฏขึ้นในมือหนิงหลาน นางยื่นมือทั้งคู่ส่งมอบ “ท่านเจ้าสำนัก ครั้งนี้หนิงหลานพาสหายกลับมาด้วยหนึ่งคน สุราน้ำค้างขาวดอกบ๊วยโรยนี่ นางมอบให้กับท่าน” 

 

 

“โอ้” เจ้าสำนักกวักมือหนึ่งที น้ำเต้าสุราก็ลอยไปบนมือนาง