ตอนที่ 458 พริบตาเดียวก็หมื่นปี

พันธกานต์ปราณอัคคี

เจ้าสำนักซู่ซินเปิดน้ำเต้าสุราใบหนึ่งแล้วสูดกลิ่น นางเงยหน้าขึ้นมองไปยังหนิงหลาน “น้ำค้างขาวดอกบ๊วยโรยจริงๆ ด้วย หนิงหลาน สหายเจ้ามายังราชันย์พำนักปรารถนาสิ่งใด”

 

 

“ท่านเจ้าสำนัก…”

 

 

เจ้าสำนักพูดเสียงเรียบ “น้ำค้างขาวดอกบ๊วยโรยเป็นสุราหายากชั้นดีในหมู่สุราวิญญาณ นางกล้าเอามันออกมา ย่อมต้องไม่ได้เพียงแค่มาเยี่ยมเยียนยายเฒ่าอย่างข้าหรอกกระมัง”

 

 

เจ้าสำนักซู่ซินเดิมทีแซ่เหมียว ชื่อเฉี่ยนหนิง ต่อมาได้สืบทอดแซ่มั่ว จึงมีชื่อว่ามั่วเฉี่ยนหนิง

 

 

นางเรียกตนว่ายายเฒ่า แต่ความจริงเมื่อดูแล้วนางอายุเพียงสามสิบกว่าเท่านั้น น้ำเสียงอ่อนหวาน กริยาอ่อนช้อย เมื่อเทียบกับหนิงหลานผู้ซึ่งอ่อนหวานเรียบง่าย ดูงามและมีวุฒิภาวะกว่ามาก ความสง่าที่สั่งสมผ่านกาลเวลาหาที่เปรียบไม่ได้นั้น มิใช่สิ่งที่หญิงสาวเยาว์วัยทั่วไปจะเทียบเทียมได้

 

 

หนิงหลานมองลง แล้วพูดด้วยความเคารพ “ท่านเจ้าสำนัก สหายข้ามายังราชันย์พำนัก เพราะอยากพบท่านปฐมาจารย์”

 

 

มั่วเฉี่ยนหนิงสีหน้าสงบ พิจารณาน้ำเต้าสีชมพูคล้ำในมือ “หือ อยากพบท่านปฐมาจารย์หรือ ดูเหมือนไม่มีคนขอเรื่องนี้มานานแล้ว นางบำเพ็ญเพียรระดับไหน”

 

 

“ก่อแก่นปราณขั้นกลางเจ้าค่ะ” หนิงหลานตอบ

 

 

“ก่อแก่นปราณขั้นกลางหรือ เจ้าได้บอกนางเรื่องค่ายกลหมื่นขาดพันถวิลหรือไม่” มั่วเฉี่ยนหนิงถาม

 

 

หนิงหลานพยักหน้า

 

 

“เช่นนั้นก็ให้นางลองดู ข้าจะออกคำสั่งไปยังลูกศิษย์ที่เฝ้าค่ายกล พรุ่งนี้ให้นางเข้าค่ายกลได้” มั่วเฉี่ยนหนิงพูดเสียงเรียบ สีหน้าสงบนิ่งไม่มีทีท่าประหลาดใจ ราวกับหมดความสนใจจะพูด และไม่คิดจะพบกับมั่วชิงเฉิน

 

 

ผลลัพธ์เช่นนี้ไม่ต่างจากที่หนิงหลานคาดเดาไว้ เจ้าสำนักเป็นถึงผู้บำเพ็ญระดับก่อกำเนิด หากไม่ใช่เรื่องราวพิเศษ ยากนักจะออกไปมีปฏิสัมพันธ์กับผู้บำเพ็ญที่ระดับต่ำกว่าระดับก่อกำเนิด เกรงว่าวันนี้พูดกับนางมากถึงเพียงนี้ คงเป็นเพราะถูกใจน้ำค้างขาวดอกบ๊วยโรยเข้าแล้ว

 

 

“เจ้าไปเถิด” มั่วเฉี่ยนหนิงหลับตา บนใบหน้าเจือด้วยความเบื่อหน่าย

 

 

“เจ้าค่ะ” หนิงหลานค้อมกายคำนับแล้วถอยออกไป ในใจรู้สึกหนักอึ้ง

 

 

เจ้าสำนักเป็นถึงผู้บำเพ็ญระดับก่อกำเนิดขั้นกลาง ตอนนี้ใกล้ครบรอบวันเกิดแล้ว นี่หมายถึงบททดสอบเพื่อคัดเลือกเทพธิดาศักดิ์สิทธิ์ของพวกนางทั้งสามยิ่งเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ ส่งผลให้การแข่งขันยิ่งดุเดือดขึ้นตาม

 

 

หอบรรลุเซียน

 

 

ในเวลาเดียวกันที่เถ้าแก่เนี้ยได้รับข้อมูลที่นกพิราบวิญญาณนำมา ยังได้รับยาลูกกลอนขนาดเท่าไข่มุกสองเม็ด เม็ดหนึ่งแดงเม็ดหนึ่งเขียว 

 

 

เถ้าแก่เนี้ยนึกถึงวิธีการใช้ยาลูกกลอนสองเม็ดนี้ที่แจ้งมาในข่าว แอบชื่นชมว่าคุณหนูมีวิธีการช่างแยบยลยิ่งนัก นึกไม่ถึงว่าจะมีของแปลกพิสดารเช่นนี้ 

 

 

ยาลูกกลอนเม็ดหนึ่งแดงเม็ดหนึ่งเขียวสองเม็ดนี้ มีชื่อเรียกที่ฟังดูมีวรรณศิลป์อย่างมาก ชื่อนั้นคือ ‘เขียวพีแดงเพรียว’ ยาลูกกลอนสีแดงหากให้ใครกิน ก็สามารถขุดค้นความต้องการที่คนผู้นั้นเก็บซ่อนเอาไว้ในเบื้องลึกของหัวใจ ในขณะที่ยาออกฤทธิ์คนผู้นั้นก็จะออกตามหาคนที่ใจตนเฝ้ารักปรารถนาโดยไม่อาจบังคับตัวเองได้ แต่ผู้ที่กินยาลูกกลอนสีเขียว ในขณะที่ยาออกฤทธิ์คนผู้นั้นจะเห็นคนต่างเพศคนแรกที่พบเป็นคนที่อยู่ในใจ

 

 

‘เขียวพีแดงเพรียว’ เพียงแบ่งให้คู่ชายหญิงได้กิน ต่อให้เป็นชายหญิงผู้ซึ่งจิตใจบริสุทธิ์มั่นคง ก็ยังต้องประพฤติอย่างเช่นคู่สามีภรรยา

 

 

คุณหนูแจ้งว่าอาจารย์หนิงจะกลับพรุ่งนี้ หญิงแซ่มั่วผู้นั้นพรุ่งนี้จะเข้าฝ่าค่ายกล ดูทีพรุ่งนี้คงเป็นโอกาสดีที่สุดที่จะลงมือ เพียงแต่คุณชายถังและเณรน้อยผู้นั้นคงต้องหาวิธีล่อให้ออกห่างให้ได้

 

 

เมื่อนึกถึงถังมู่เฉิน เถ้าแก่เนี้ยก็ยิ้มบาง การจะล่อเขาออกมา ไม่ได้ยากอะไรมากมาย 

 

 

ที่สวนปี้ลั่วเกาะราชันย์พำนัก

 

 

โต้วหวั่นบีบทำลายยันต์สื่อสาร ยิ้มอยู่เงียบๆ

 

 

คิดไม่ถึงจริงๆ ว่า แม่นางมั่วผู้นั้นที่ตามหนิงหลานมาจะคิดบุกฝ่าค่ายกลหมื่นขาดพันถวิล และเซวียเสี่ยวเสี่ยว กลับคิดหาทางสังหารนางในค่ายกลอีกด้วย

 

 

ในหอบรรลุเซียน ย่อมมีสายสืบที่โต้วหวั่นจัดวางเอาไว้ พอคิดถึงข่าวที่ทางโน้นแจ้งมาเมื่อครู่ โต้วหวั่นแค่นเสียงหัวเราะหนึ่งที นางพึมพำขึ้นมา “เซวียเสี่ยวเสี่ยว แผนยิงศรดอกเดียวได้นกสองตัวของเจ้านี่ช่างดีเสียจริง เพียงแต่ข้าเกรงว่าเจ้าคงไม่รู้ว่าลูกศิษย์ที่เฝ้าค่ายกลกลายเป็นคนของข้าแล้ว หาไม่เช่นนั้นแล้ว ข้าก็คงไม่รู้ว่าเจ้าทำอะไรกับค่ายกลหมื่นขาดพันถวิล ขอเพียงหนิงหลานเสียตัว เรื่องของเจ้าก็จะถูกเปิดโปง ถึงตอนนั้นจะทำอย่างไรดีเล่า” 

 

 

หรือว่าครั้งนี้คงไม่จำเป็นให้นางต้องลงมือเอง เพียงแค่รออยู่เงียบๆ ก็พอแล้ว

 

 

วันรุ่งขึ้น 

 

 

“สหายมั่วเจ้าดูสิ นี่คือภูเขาศักดิ์สิทธิ์ของราชันย์พำนักพวกเรา ค่ายกลหมื่นขาดพันถวิลก็อยู่บนยอดเขาศักดิ์สิทธิ์นันช่นเอง”

 

 

มั่วชิงเฉินมองหนิงหลานค่อยๆ ร่อนลง ในขณะที่นางกำลังแนะนำอยู่ก็เห็นหญิงสาวในชุดสีขาวดั่งหิมะสองนางออกมาต้อนรับ

 

 

“อาจารย์อาหนิง” หญิงสาวทั้งสองแสดงคาราวะ แต่ใบหน้ากับนิ่งเฉย

 

 

ศิษย์ที่ทำหน้าที่เฝ้าค่ายกลมีตำแหน่งในสำนักค่อนข้างสูงเมื่อเทียบกับคนอื่น หนิงหลานเห็นบ่อยจนรู้สึกเคยชิน นางพยักหน้าแล้วพูด “เริ่มค่ายกลเถิด”

 

 

“เจ้าค่ะ” หญิงสาวทั้งสองพยักหน้าตอบรับ ในมือของแต่ละนางมีกระบี่ยาวสีขาวราวหิมะด้ามหนึ่งปรากฏขึ้น จากนั้นกระบี่ทั้งสองก็กระทบกัน มือที่ว่างมีอักขระวิญญาณแถบหนึ่งปรากฏขึ้นซึมซาบลงในตัวกระบี่ 

 

 

ตัวกระบี่ค่อยๆ ถูกแสงวิญญาณห่อหุ้ม กะพริบไหวอยู่ชั่วครู่แสงวิญญาณก็สว่างจ้าขึ้นทันที กระบี่คู่กระทบกันปล่อยลำแสงจรัสสายหนึ่งออกมา 

 

 

หญิงสาวทั้งสองพยักหน้าพร้อมกัน มือข้างที่ว่างยกขึ้น ทั้งสองโยนหยกครึ่งอันออกมา 

 

 

หยกสองชิ้นลอยหมุนไปในลำแสง ทันใดนั้นก็รวมเป็นหนึ่ง เสียงดังกังวานแว่วเข้ามา นกกระเรียนตัวหนึ่งกางปีกทะยานขึ้นสูงพุ่งตรงไปยังขอบฟ้า ฉีกท้องฟ้าออก ช่องว่างที่ปกคลุมด้วยไอสีขาวปรากฏขึ้น 

 

 

“ค่ายกลหมื่นขาดพันถวิลเปิดแล้ว เชิญเข้าไปเถิด!” หญิงสาวทั้งสองกระบี่ด้วยมือเปล่า พูดขึ้นพร้อมกัน 

 

 

มั่วชิงเฉินมองหนิงหลาน

 

 

หนิงหลานสีหน้าเคร่งเครียด “สหายมั่ว ตอนนี้เสียใจภายหลังก็ไม่ทันแล้วนะ”

 

 

มั่วชิงเฉินหัวเราะหนึ่งที สีหน้าอันตั้งมั่นนั้นเป็นคำตอบสำหรับหนิงหลานแล้ว 

 

 

หนิงหลานถอนใจหนึ่งที “สหายมั่ว ข้ามีภารกิจ คงต้องกลับไปแล้ว เจ้าก็ระวังให้จงมากนะ” 

 

 

“อืม ไว้ข้ากลับไป จะชวนศิษย์พี่และพี่ชายของข้า แล้วพวกเราดื่มเหล้าด้วยกันอีกนะ” มั่วชิงเฉินพูดจบ นางไม่ได้หันกลับ ย่ำเท้าลงบนผืนผ้าน้ำแข็งที่ค่อยๆ ลอยไปสู่ช่องว่างบนท้องฟ้านั้น

 

 

หนิงหลานยืนนิ่ง เงยหน้ามองร่างในชุดสีครามนั้นค่อยๆ หายไปกลางทางเข้า ท้องฟ้ากลับมาสงบอีกครั้ง ส่องสว่างจ้า หิมะขาวบนยอดภูเขาศักดิ์สิทธิ์สะท้อนแสงหนาวเหน็บออกมา

 

 

ถอนหายใจออกมาหนึ่งที แล้วหนิงหลานก็บินออกไปไกล

 

 

แสงสว่างพร่าตา ทางเข้าค่ายกลเลือนหายไป มั่วชิงเฉินรู้สึกว่าตัวหนักอึ้ง นางร่อนลงไป แล้วจึงเริ่มมองไปรอบๆ อย่างพินิจพิเคราะห์

 

 

สิ่งที่ปรากฏสู่สายตาคือหิมะขาวไปทั้งแถบ ทอดยาวออกไปไกลถึงขอบฟ้าไม่มีที่สิ้นสุด ราบเรียบไปทั้งสี่ทิศ ราวกับเป็นทุ่งหิมะให้หมู่อาชาโลดวิ่ง

 

 

มั่วชิงเฉินเอาธนูเขียวซ่อนเร้นออกมา คะเนอยู่ชั่วครู่ รู้สึกว่าทุกอย่างล้วนเงียบสงัด จนแทบได้ยินเสียงเข็มหล่น

 

 

ที่แห่งนี้นอกจากหิมะแล้ว ก็มีเพียงแต่เสียงลม หรือว่านี่คือความหมายแฝงของค่ายกลหมื่นขาดพันถวิลหรือ

 

 

มองไปรอบทิศ ทุกอย่างล้วนเหมือนกันไปหมด มั่วชิงเฉินเลือกทิศทางหนึ่งแล้วเริ่มเดินทาง 

 

 

ท่ามกลางดินแดนแห่งหิมะ เวลาดูราวกับถูกยืดยาวออกไป มั่วชิงเฉินรู้สึกว่าได้เดินมาเป็นเวลานานแล้ว แต่ก็ยังเดินไม่ถึงจุดสิ้นสุดเสียที รอยเท้าที่อยู่ด้านหลังปรากฏบนความว่างเปล่า ค่อยๆ ประทับลึกลงไป

 

 

ภายหลังจากนั้น ขาทั้งคู่ราวกับถูกเทตะกั่วเอาไว้ แต่ละก้าวล้วนแต่หนักอึ้งจนหายใจหอบ 

 

 

หนิงหลานเคยบอกไม่ใช่หรือ ว่าสามเดือนก็สามารถเดินผ่านออกไปได้ แต่ทำไมตอนนี้ถึงยังไม่เห็นจุดสิ้นสุดเสียที 

 

 

ทอดสายตามองออกไปไกลๆ ความรู้สึกสิ้นหวังอย่างหนึ่งจู่โจมเข้ามารอบด้าน

 

 

มั่วชิงเฉินกัดลิ้นหนึ่งที รสชาติฝาดคาวทำให้นางรู้สึกตื่น 

 

 

นางยิ้มเหยเกถ่มฟองเลือดออกมา มั่วชิงเฉินหรี่ตาลง

 

 

ค่ายกลอาคมนี้ ยังสามารถลดทอนปณิธานของคนได้ด้วยอีกหรือนี่

 

 

นางไม่ยอมเชื่อ ว่าจะไม่สามารถเดินออกจากค่ายกลอาคมนี้ได้ตลอดกาล 

 

 

ทุกก้าวเท้ายังคงหนักหน่วง แต่หากความเชื่อว่าจะออกไปได้นั้นมั่นคง ความรู้สึกด้านลบเหล่านั้นก็ไม่อาจจู่โจมได้

 

 

ในการรับรู้เวลาของมั่วชิงเฉิน ดูเหมือนเดินทางมาหลายเดือนแล้ว ฝ่าเท้าเสียดสีจนเป็นตาปลา ขาทั้งคู่ชาจนไม่รู้สึกเจ็บ ได้แต่เดินต่อไปราวกับเครื่องจักร

 

 

นางเข้าใจดี ตอนนี้พึ่งพาได้เพียงปณิธานอันแก่กล้า หากนางหยุดลง ก็จะไม่สามารถลุกขึ้นยืนได้อีก 

 

 

เลียริมฝีปากที่แตกแห้ง มั่วชิงเฉินเอาน้ำเต้าสุราออกมาซดหนึ่งอึก ความรู้สึกชุ่มฉ่ำแผ่ซ่านไปทั่วทั้งกาย ร่างกายที่อ่อนแรงจนแทบทรุดก็เกิดกำลังขึ้นมาเล็กน้อยจากความว่างเปล่า

 

 

หนึ่งปี

 

 

สองปี

 

 

สามปี

 

 

ท่ามกลางดินแดนหิมะหนาวเย็น หญิงสาวในชุดสีครามผู้หนึ่งกำลังคลานไปด้วยความลำบาก

 

 

เรือนนิ้วเรียวบางขาวผ่องกำหิมะแน่น ใช้กำลังน้อยๆ ไหวขยับตัวไปด้านหน้า

 

 

เล็บมือที่เดิมทีเงางามดั่งเม็ดไข่มุกตอนนี้ได้เขียวไปแล้ว มีรอยแตกเกิดขึ้น ทุกครั้งที่ออกแรง ก็ทำให้รู้สึกเจ็บไปจนถึงขั้วหัวใจ ย้อมหิมะขาวโพลนนั้นให้กลายเป็นสีแดงอ่อน

 

 

บนภูเขาศักดิ์สิทธิ์ ทันใดนั้นก็มีหญิงสาวในชุดสีม่วงผู้หนึ่งร่อนลงมา

 

 

“อาจารย์อาเซวีย” หญิงสาวในชุดหิมะทั้งสองนางแสดงความเคารพพร้อมกัน

 

 

เซวียเสี่ยวเสี่ยวส่ายมือ “ไม่จำเป็น เป็นอย่างไรบ้าง ในค่ายกลยังไม่มีความเคลื่อนไหวอีกหรือ”

 

 

ผู้ซึ่งเข้าสู่ค่ายกลหากเสียชีวิตลง ค่ายกลอาคมก็จะส่งร่างผู้นั้นออกมาอัตโนมัติ

 

 

เวลาในค่ายกลหมื่นขาดพันถวิลต่างกับภายนอก ด่านแรกนั้นไม่มีลูกเล่นอะไรมากมาย ก็แค่ผู้บำเพ็ญจะสามารถเดินออกมาได้ด้วยปณิธานอันแข็งกล้าหรือไม่เท่านั้น

 

 

เพียงแต่เดิมทีตั้งไว้ที่สามเดือน แต่เซวียเสี่ยวเสี่ยวได้เปลี่ยนเป็นสามปี

 

 

มั่วชิงเฉินเดินอยู่กลางโลกแห่งน้ำแข็งและหิมะมาสามปีแล้ว แต่ภายนอกนั้น เวลาผ่านไปเพียงแค่ครึ่งชั่วยามเท่านั้น

 

 

“ใช่เจ้าค่ะ พี่สาวแซ่มั่วผู้นั้นยังเดินอยู่ในค่ายกล” หญิงสาวผู้หนึ่งพูดขึ้น

 

 

เซวียเสี่ยวเสี่ยวย่นคิ้ว เกิดความกังวลกลัวมั่วชิงเฉินขึ้นมาลึกๆ ในใจ

 

 

“เอาคันฉ่องส่องหิมะมาให้ข้าดู” เซวียเสี่ยวเสี่ยวยื่นมือไป

 

 

“อาจารย์อาเซวีย นี่มันผิดกฎนะเจ้าคะ” หญิงสาวในชุดขาวดำหิมะผู้หนึ่งพูด

 

 

เซวียวเสี่ยวเสี่ยวโกรธจัด สะบัดแขนเสื้อ “ผิดกฎอะไรกัน ข้าก็แค่ดูสถานการณ์ในค่ายกลเท่านั้นไม่ใช่หรือไม่ได้เข้าไปแทรกแซงเสียสักหน่อย!” 

 

 

“แต่…” หญิงสาวในชุดขาวดั่งหิมะพูดต่อ แต่หญิงสาวอีกคนก็ดึงเสื้อของนางเงียบๆ

 

 

หญิงสาวในชุดขาวดังหิมะหยิบคันฉ่องส่องหิมะออกมา แล้วเรียกอักขระวิญญาณพิเศษออกมาซึมแทรกตรงกลางคันฉ่อง “เชิญอาจารย์อาเซวียดูเจ้าค่ะ”

 

 

เซวียเสี่ยวขวาคันฉ่องส่องหิมะหมับ แล้วมองเข้าไป 

 

 

ในคันฉ่องปรากฏในเห็นโลกที่ห่อหุ้มไปด้วยสีเงิน ท้องฟ้าและพื้นดินล้วนแต่เต็มไปด้วยหิมะ มีเพียงร่างในชุดสีครามค่อยๆ คลานไปช้าๆ มีจุดเล็กๆ สีแดงราวดอกบ๊วยกระจายอยู่เบื้องหลัง มีรอยทางสีแดงคดเคี้ยวปะติดปะต่อรอยหนึ่ง ดูสะดุดสายตาอย่างน่าฉงน

 

 

หญิงสาวในชุดสีครามนั้น ทั้งๆ ที่อ่อนแอจนเกินทนแล้ว แต่ใบหน้ากับสงบนิ่ง ค่อยๆ ขยับคลานไปช้าๆ มือข้างหนึ่งยันพื้น อีกข้างที่ว่างอยู่คว้าน้ำเต้าสุราออกมา เงยหน้าดื่มเข้าไปสองสามอึก 

 

 

ดื่มเสร็จก็ไม่พักแม้นาทีเดียว ยังคงคลานต่อไปช้าๆ

 

 

เซวียเสี่ยวเสี่ยวรู้สึกขนหัวลุกเย็นวาบ สตรีเช่นนี้ นางจะยอมให้มีชีวิตต่อไม่ได้ ช่างน่ากลัวเสียจริงๆ!

 

 

ณ หอบรรลุเซียนเมืองหลิวเยียน

 

 

ในห้องรับรอง เยี่ยเทียนหยวนกับพวกนั่งล้อมวงกัน ต่างจ้องไปยังหนิงหลาน

 

 

“แม่นางหนิง เจ้ากลับมาแล้ว น้องสาวข้าเป็นอย่างไรบ้าง” ถังมู่เฉินเลิกคิ้ว หัวเราะคิกๆ ถามนาง

 

 

หนิงหลานพยายามสะกดขาที่แทบจะก้าวออกวิ่งหนีเอาไว้ แล้วปั้นหน้ายิ้มออกมา “สหายมั่ววันนี้เข้าไปในค่ายกลแล้ว”

 

 

บรรยากาศเงียบงันขึ้นมาทันที

 

 

ผ่านไปสักพักใหญ่ เยี่ยเที่ยนหยวนก็พูดขึ้น “อย่างไรจึงจะเรียกว่าฝ่าด่านสำเร็จ ต้องใช้เวลานานเพียงใด”

 

 

หนิงหลานตอบ “ชั่วพริบตาผ่านไปหมื่นปี การไหลของเวลาในค่ายกลหมื่นขาดพันถวิลนั้นต่างจากภายนอก จะฝ่าค่ายกลได้หรือไม่นั้น ล้วนแต่อยู่ในวันนี้ สำหรับจะฝ่าค่ายกลได้อย่างไรนั้น ข้ารู้เพียงแต่ว่าด่านแรกคือการเดินบนดินแดนแห่งหิมะ ดูจากการเดินทางของผู้บำเพ็ญเพียร หากยืนหยัดได้เป็นเวลาสามเดือนก็จะสามารถเดินออกไปได้ นั่นก็ถือว่าผ่านด่านแล้ว สำหรับด่านที่สองด่านที่สามนั้น ข้าไม่รู้เลย เพราะเหตุการณ์ในด่านที่สองนั้นจะเปลี่ยนแปลงไปขึ้นอยู่กับแต่ละคน” 

 

 

ถังเฉินมู่ตบไหล่เยี่ยเทียนหยวน “เอาล่ะ สหายลั่วหยาง ไม่ต้องคิดมากแล้ว ชิงเฉินเก่งกาจเพียงนั้น ข้าเคยเห็นเพียงคนอื่นต่างหากที่ลำบากเพราะนาง ยังไม่เคยเห็นนางพลาดท่าให้ใคร”

 

 

เยี่ยเทียนหยวนนิ่งเงียบไม่พูดจา แขนเสื้อที่กุมไว้อยู่ในฝ่ามือ กำลังกุมไข่มุกประสานใจที่ส่องประกายอยู่รางๆ

 

 

ในขณะนั้นเถ้าแก่เนี้ยก็ยกชาเดินเข้ามา “อาจารย์หนิง คุณชายทั้งหลาย ดื่มชาก่อนเถิดเจ้าค่ะ”

 

 

พูดจบก็ยกจอกชาวางไว้ด้านหน้าทุกคนคนละจอก ยอบกายคำนับแล้วถอยออกไป 

 

 

“ใช่ๆ ดื่มชาเถิด ดื่มชาเถิด” ถังมู่เฉินยกจอกชาที่อยู่ด้านหน้าขึ้น