ตอนที่ 459 ศัตรูตัวฉกาจ

พันธกานต์ปราณอัคคี

มั่วชิงเฉินขยับนิ้ว ไม่สามารถคว้าหิมะที่อยู่เบื้องหน้าได้อีก 

 

 

ไอสีขาวที่พ่นออกมาเฉียดผ่านหลังมือ เย็นยะเยือกไปทั้งแถบ 

 

 

มั่วชิงเฉินคอตก ใบหน้าทั้งดวงแนบกับหิมะบนพื้น 

 

 

รู้สึกอุ่นขึ้นมาเล็กน้อย จิตสำนึกอันเลือนรางของนางคิด 

 

 

เหมือนกับศิษย์พี่ ภายนอกเยือกเย็นดั่งหิมะ แต่เมื่อได้เข้าใกล้จริงถึงได้รู้ว่าแผงอกนั้นช่างอบอุ่นเหลือเกิน จนหัวใจนางแทบละลาย 

 

 

“นายท่าน ท่านจะหลับไม่ได้นะ อย่าได้หลับเป็นอันขาด” ในถุงสัตว์อสูร ดวงตาเขาน้อยเบิกโพลงทั้งน้ำตา ร้องเรียกอย่างเศร้าโศก 

 

 

ขนตามั่วชิงเฉินสั่นระริก นางไม่ตอบ 

 

 

เขาน้อยลุกพรวดขึ้นยืน พยามพุ่งออกไปด้านนอก แต่หางกลับถูกอีกาไฟดึงเอาไว้ 

 

 

“พี่หญิงอู๋เย่ว์ ท่านอย่ารั้งเขาน้อย” 

 

 

อีกาไฟเบียดเข้าไปด้านหน้า แล้วตบที่หัวเขาน้อย “เจ้าออกไปก็ไม่มีประโยชน์ ให้ข้าไปดีกว่า อย่างน้อยข้าก็ตัวเล็กหน่อย ฟ้าผ่าไม่โดนหรอก” 

 

 

กลางค่ายกลหมื่นขาดพันถวิล นอกจากมั่วชิงเฉินก็ไม่มีสิ่งมีชีวิตอื่นใด หลายเดือนก่อนหน้านี้พวกมันอยากออกมาช่วยนาง แต่ทันทีที่โผล่หน้าออกมาอสนีบาตก็โจมตีไปทั่วทุกทิศ จนกระทั่งพวกมันกลับเข้าไปในถุงสัตว์อสูรอีกครั้งจึงหยุดลง 

 

 

“พี่หญิงอู๋เย่ว์ ท่านระวังนะ” เขาน้อยสะบัดหาง 

 

 

“อย่าจุ้นนะ” อีกาไฟพูด มันตั้งสติ แล้วทะยานพุ่งออกไป 

 

 

ไม่ผิดคาด สายฟ้าระลอกแล้วระลอกเล่าฟาดผ่าลงมา 

 

 

อีกาไฟใช้ปีกข้างหนึ่งป้องหัว ปีกอีกข้างพยายามรวบรวมกำลังตบหน้ามั่วชิงเฉิน “นายท่าน นายท่าน ตื่นเดี๋ยวนี้นะ” 

 

 

ท่ามกลางภวังค์ มั่วชิงเฉินได้ยินเสียงเจื้อยแจ้วของอีกาไฟ ก็ขมวดคิ้วขึ้นโดยไม่รู้ตัว เสียงของเจ้านี่ทำไมยิ่งฟังยิ่งรำคาญหูเหลือทน 

 

 

เสียงดังขึ้นเปรี้ยง อสนีบาตลูกหนึ่งฟาดลงกลางหัวอีกาไฟ ทำให้ปีกของมันไหม้เกรียมทันที ขนแต่ละเส้นปลิวว่อนไปทั่ว กลิ่นหอมของเนื้อย่างโชยออกมา 

 

 

อีกาไฟร้องครวญคราง น้ำเสียงเจ็บปวดทรมานนั้นทำให้มั่วชิงเฉินได้สติตื่นขึ้นมาทันใด 

 

 

เมื่อเห็นมั่วชิงเฉินลืมตาขึ้น อีกาไฟก็แทบทนต่อไปไม่ไหว มันรีบวิ่งพล่านมุดเข้าไปในถุงสัตว์อสูรในพริบตาพลางพูดทิ้งท้ายว่า “นายท่าน หากท่านออกไปไม่ได้ ต่อไปก็คงจะมีหญิงอื่นมาร่วมหลับนอนกับสามีท่านแล้ว…ไอยา เจ็บจะตายแล้ว!” 

 

 

จากนั้นก็ตามด้วยเสียงของเขาน้อย “เอ๊ะ กลิ่นหอมจากไหนกัน” 

 

 

“หุบ…ปาก!” อีกาไฟร้องเสียงดังก้อง จนทำให้มั่วชิงเฉินได้สติมากยิ่งขึ้น 

 

 

นึกถึงเหตุการณ์เมื่อครู่ มั่วชิ่งเฉินก็เย็นสันหลังวาบ หากไม่มีพวกอู๋เย่ว์ เกรงว่านางคงรอดมาไม่ได้แน่ 

 

 

สามปีแล้ว ขอเพียงยืนหยัดต่อไป บางทีทางออกก็อยู่อีกไม่ไกล 

 

 

หยิบน้ำเต้าสุราออกมา แล้วเอาน้ำเต้าสุรานั้นกรอกลงไป แล้วมั่วชิงเฉินจึงยื่นมือออกไปข้างหน้าค่อยๆ ขยับเคลื่อนกายไปทีละนิด ทีละนิดอีกครั้ง 

 

 

“รู้แต่แรกว่าเป็นเช่นนี้ ข้าควรลดความอ้วนแต่แรก” มั่วชิงเฉินหัวเราะเยาะตัวเอง แล้วย้ายความสนใจไป 

 

 

ร่างกายค่อยๆ ขยับเคลื่อนไปช้าๆ ไม่รู้ว่าใช้เวลานานเท่าไหร่ กว่าจะคืบหน้าไปได้สักสิบกว่าจั้ง 

 

 

มั่วชิงเฉินรวบรวมพลังเงยหน้าขึ้น หรี่ตามองไปยังเบื้องหน้า  

 

 

น่าแปลกเสียจริง เบื้องหน้ามีเนินอยู่ลูกหนึ่ง  

 

 

คิดได้เช่นนั้นนางก็รู้สึกยินดีขึ้นมาในใจ อยู่ที่นี่มานานขนาดนี้ ล้วนแต่เป็นการเดินทางที่ราบมาโดยตลอด จู่ๆ ก็ปรากฏเนินขึ้น หมายความว่านี่เป็นจุดเปลี่ยนหรือไม่นะ 

 

 

ดังนั้นในใจก็เกิดพละกำลังขึ้นมาทันที มั่วชิงเฉินขบริมปากแน่น ความรู้สึกเจ็บหน่วงเกิดขึ้นท่ามกลางความชา ความเจ็บหน่วงนี้ทำให้นางยิ่งมีกำลังวังชาเพิ่มขึ้น นางเริ่มคลานขึ้นไปอย่างยากลำบาก  

 

 

“อู๋เย่ว์…เขาน้อย ข้าเดานะ ข้าต้องนับหนึ่งถึงร้อยถึงจะปีนขึ้นไปได้” มั่วชิงเฉินพูดเสียงหอบ  

 

 

เขาน้อยรีบพูดปลอบว่า “ไม่หรอก นายท่านนับถึงเก้าสิบก็ไปถึงแล้ว ทักษะคำนวณเลขของเขาน้อยดีเยี่ยมมาตลอด ถ้าไม่เชื่อเขาน้อยจะนับให้ดู” 

 

 

“เชอะ” อีกาไฟทายาบนปีกที่โดนย่างจนสุกเกือบครึ่งหนึ่งไปพลาง จีบปากจีบคอพูดไปพลาง “เก้าสิบจะเป็นไปได้อย่างไร ต้องสองร้อยต่างหาก อย่างน้อยต้องสองร้อยจึงจะไปถึง” 

 

 

“ข้าไม่เชื่อ” มั่วชิงเฉินพูดพลางหัวเราะ  

 

 

ในขณะที่พูดคุยกัน ร่างกายก็ขยับเคลื่อนไปอีกเล็กน้อย  

 

 

ดวงตาอีกาไฟเผยแววหมดความอดทน แค่นเสียงเยาะออกจากปาก “ไม่เชื่อเจ้าก็ลองดู ลองดูสิว่าใครพูดถูก” 

 

 

“ได้” มั่วชิงเฉืนขบฟัน ค่อยๆ คลานขึ้นไป 

 

 

หนึ่งคนสองอสูรนับไปพร้อมกัน  

 

 

“หนึ่ง สอง สาม…” 

 

 

“เก้าร้อยเก้าสิบเก้า…” ในวินาทีที่คลานจนถึงยอด มั่วชิงเฉินก็รู้สึกตัวเบาไปทั้งร่าง ร่วงสู่แสงสว่างสีขาวดวงหนึ่ง จากนั้นเสียงก็ค่อยๆ เลือนหาย “ข้ารู้ว่าพวกเจ้าล้วนแต่ไม่ได้ความ…” 

 

 

มั่วชิงเฉินตื่นขึ้นมา ก็พบว่าตนอยู่ท่ามกลางความสับสน ด้านหน้าคือประตูศิลาสีคราม กลางประตูใหญ่ใช้แสงวิญญาณรวมกันเป็นอักษรหนึ่งตัวว่า ‘สอง’ 

 

 

หรือว่า นางผ่านด่านที่หนึ่งแล้ว  

 

 

มั่วชิงเฉินจ้องเขม็งไปยังประตูใหญ่อย่างครุ่นคิด หากเป็นเช่นนั้น ในดินแดนอันสับสนนี้ ควรจะฟื้นฟูกำลังวังชาตนก่อน หากคิดจะเข้าสู่ด่านต่อไป คงต้องผลักประตูใหญ่ด้านหน้านี้เปิดออก 

 

 

เวลาสามปีผ่านไปแล้ว นางไม่ได้รีบร้อน แต่คอยวิเคราะห์สิ่งต่างๆ รอบด้านอย่างละเอียด เมื่อไม่พบสิ่งใดผิดสังเกต จึงได้นั่งขัดสมาธิ ทำการฟื้นฟูพลังวิญญาณขึ้นมา 

 

 

ไม่ถึงครึ่งวัน พลังวิญญาณก็ฟื้นฟู แต่นางไม่คิดจะเข้าสู่ด่านต่อไป กลับคุยเล่นกับสัตว์อสูรทั้งสองตัว ค่อยๆ บำรุงกำลังวังชา 

 

 

พักผ่อนเต็มๆ ครึ่งเดือน มั่วชิงเฉินก็รู้สึกว่ากำลังวังชาฟื้นฟูขึ้นมาแล้ว จึงลุกขึ้นเดินไปยังประตูใหญ่ 

 

 

“แค่กๆ นายท่าน เจ้าไม่คิดจะดื่มต่ออีกสักหน่อยหรือ” อีกาไฟที่กำลังตกแต่งขนที่พึ่งงอกมาใหม่ถามขึ้น 

 

 

พูดตามตรง มันรู้สึกกลัวอยู่บ้างจริงๆ แต่ต้องลำบากใจเพราะนายท่านกลับเดินเข้าสู่ด่านต่อไปด้วยใบหน้านิ่งเฉย 

 

 

มั่วชิงเฉินยิ้มบาง “ข้าอยากพัก กลับไปพักเร็วๆ คงดีไม่น้อย จะมัวโอ้เอ้อยู่ที่นี่เพื่ออะไร” 

 

 

เมื่อเงยหน้าขึ้นก็เห็นอักษรขนาดมหึมาว่า ‘สอง’ นางยื่นมือไปผลักประตูเปิด  

 

 

แรงดูดแรงหนึ่งโหมเข้ามา มั่วชิงเฉินพลันร่วงหล่นลงไป  

 

 

ไอเย็นสายหนึ่งเข้ามาปะทะ 

 

 

มั่วชิงเฉินชำเลืองขึ้น ก็เห็นท้องฟ้าเป็นทรงถ้วยคว่ำลง และนาง ก็คือผู้ที่อยู่ยังก้นถ้วย  

 

 

มีเพียงสิ่งเดียวที่ไม่ได้เปลี่ยนไป ได้มีก็คือหิมะที่ไร้ขอบเขตไร้จุดสิ้นสุด 

 

 

มั่วชิงเฉินยืนอยู่กับที่ มือกุมธนูเขียวซ่อนเร้นรออยู่เงียบๆ 

 

 

ลมหอบแรกที่พัดขึ้น เอาเกล็ดหิมะพุ่งเข้ามา  

 

 

ร่างกายมั่วชิงเฉินลอยขึ้นทันที หลบพายุหิมะได้อย่างคล่องแคล่ว 

 

 

ในวินาทีที่พายุหิมะเฉียดผ่านกายไป เกล็ดหิมะกระจายออกท่ามกลางลมหมุน ก่อตัวเป็นนกยูงหิมะตัวแล้วตัวเล่า อ้าจะงอยปากสีแดงชาดจิกพุ่งมายังนาง 

 

 

ทุกอย่างเกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว แขนทั้งสองของมั่วชิงเฉินกางออก ลอยถอยไปด้านหลังหลายจั้ง ดึงสายธนูเขียวซ่อนเร้นจนแน่น วิญญาณบุปผาจรัสแสงปรากฏขึ้น ลูกธนูพุ่งไปยังนกยูงหิมะจากทั่วท้องฟ้า  

 

 

เสียงร้องโหยหวนเสียงแล้วเสียงเล่าดังขึ้น นกยูงหิมะที่ถูกยิงกลายเป็นเกล็ดหิมะ จับตัวกันเกล็ดหิมะที่ปลิวว่อนอยู่กลางอากาศ แล้วกลายเป็นนกยูงหิมะพุ่งโจมตีมายังนางอีกครั้ง  

 

 

มั่วชิงเฉินตะลึงงันไปชั่วขณะ 

 

 

ด่านนี้ ดูไปแล้วคงจะเป็นการทดสอบความคล่องแคล่วและอดทนของร่างกายสินะ 

 

 

เป็นเพราะผ่านการฝึกคาถาวารีตามรูป และยังเคยกินผลไม้เซียน สำหรับความคล่องแคล่วแล้วมั่วชิงเฉินได้เปรียบอยู่ไม่น้อย  

 

 

การรับมือกับด่านที่สองนี้กลับสบายกว่าด่านแรกอยู่โข 

 

 

เสียงดัง ฟิ้ว สองสามครั้ง ลูกธนูแสงหลายดอกถูกยิงออกไป แสงสว่างส่องไปนับหมื่นจั้ง ไม่มีดอกใดพลาดเป้า 

 

 

ในพื้นที่ทรงถ้วยคว่ำ เกล็ดหิมะที่โปรยปรายอยู่กลางอากาศเริ่มพุ่งมายังมั่วชิงเฉิน สัมผัสกับสายลมกลายร่างเป็นนกยูงหลายตัว เข้าร่วมกองทัพบุกโจมตี 

 

 

“ซี๊ด” มั่วชิงเฉินสูดปากหนึ่งที แล้วแกว่งแขนไปปัดนกยูงหิมะที่จิกลงบนแขนตนกระเด็นออกไป ความเจ็บแสบถึงหัวใจแผ่ซ่าน บนเสื้อบริเวณนั้นกลายเป็นรอยเลือดขึ้นมาทันที  

 

 

คิดไม่ถึงเลยจริงๆ ว่านกยูงหิมะตัวน้อยๆ นี้จะจิกคนได้เจ็บปวดถึงขนาดนี้ เห็นทีจะยอมให้พวกมันเข้าใกล้ไม่ได้แล้ว  

 

 

มั่วชิงเฉินยกมือขึ้น แล้วสะบัดออกไป กลายเป็นเนินเขาลูกเล็กลูกหนึ่งพุ่งไปยังฝูงนกยูงหิมะ 

 

 

เสียงดังโครม แม้ว่านกยูงหิมะจำนวนมากจะบินหลบได้อย่างคล่องแคล่ว แต่ก็มีอีกไม่น้อยที่ถูกเนินเขาลูกเล็กนั้นทับเอาไว้ข้างล่าง ละลายกลายเป็นน้ำไหลออกมา  

 

 

มั่วชิงเฉินไม่ได้หันมองแม้เพียงครั้งเดียว นางเหนี่ยวคันศรยิงลูกธนูออกไปอย่างต่อเนื่อง นกยูงหิมะร่วงพรูลงมา ราวกับพายุหิมะลูกใหญ่ 

 

 

“นายท่าน ข้างหลัง!” อีกาไฟที่อยู่ในถุงสัตว์อสูรร้องขึ้นเสียงแหลม 

 

 

มั่วชิงเฉินไม่ได้หันตัวกลับ แต่พลิกร่างกายส่วนบนไปยังด้านหลังทันที ง้างธนูเขียวซ่อนเร้นในท่ากึ่งนอนหงาย ลูกธนูวิญญาณนับร้อยดอกถูกยิงออกไป  

 

 

“ช่างตระการตาเสียจริง!” อีกาไฟร้องเสียงแหลม คราวนี้เป็นเพราะความตื่นเต้น 

 

 

มันร้องครั้งนี้ ทำให้ใจมั่วชิงเฉินไขว้เขวไปชั่วขณะ นกยูงหิมะสองสามตัวที่มีอยู่เงียบๆ จิกลงบนไหล่นาง 

 

 

“อู๋เย่ว์ เจ้าหุบปากนะ!” มั่วชิงเฉินใบหน้าเขียวปัด ยื่นมือไปฟาดนกยูงหิมะบนไหล่จนตาย 

 

 

เวลาค่อยๆ ผ่านไปทีละนิด นกยูงหิมะบนอากาศค่อยๆ น้อยลง  

 

 

มั่วชิงเฉินโล่งใจไปเปลาะหนึ่ง ยื่นมือไปคว้าโอสถเสริมวิญญาณใส่ลงในปาก  

 

 

มุกรวมวิญญาณของนางยังไม่ได้ใช้ แต่เตรียมไว้ก็ไม่ได้เสียหายอะไร พลังวิญญาณมากน้อย มีผลตัดสินการแพ้ชนะโดยตรงของนาง 

 

 

แต่ถ้าว่าไม่ได้เป็นเช่นนั้น เมื่อนกยูงหิมะค่อยๆ หายไปจากท้องฟ้า บนพื้นดินแห่งหนึ่ง ก็ปูดขึ้นมาทันใด ตามด้วยมังกรหิมะตัวหนึ่งโผล่พรวดออกมาจากกลางเนินหิมะ 

 

 

เสียงมังกรดังแว่วเข้ามา 

 

 

มั่วชิงเฉินไม่มัวลังเล ระเบิดสะท้านฟ้านับร้อยลูกถูกโยนเข้าไป ตามด้วยง้างสายธนู ลูกศรน้ำแข็งยะเยือกพุ่งตามไปราวกับดาวตก 

 

 

เสียงดังอึกทึกกึกก้อง ควันทึบปะปนด้วยเศษหิมะบางราวขนวัวคลุงขโมง บาดกายมั่วชิงเฉินจนเป็นแผลเลือดซึมยาวหลายแผล ชุดที่สวมใส่ขาดกะรุ่งกะริ่ง  

 

 

แต่นางกลับไม่ได้ใส่ใจสิ่งเหล่านี้ เมื่อสัมผัสได้ถึงลูกธนูน้ำแข็งยะเยือกแทงทิ่มเข้าไปบริเวณหัวใจของมังกรหิมะอย่างแม่นยำ จึงได้ยิ้มออกมาได้ 

 

 

เมื่อควันทึบสลายไป ก็เหลือเพียงก้อนหิมะลูกโตก็หนึ่งขยับขยายอยู่กลางอากาศ ครั้นแล้วก็กลายเป็นเกล็ดหิมะโปรยปรายลงมาทั่วท้องฟ้า  

 

 

นี่ถือว่าผ่านแล้วใช่ไหม  

 

 

เมื่อความคิดนี้ผุดขึ้น ฉากที่อยู่เบื้องหน้ามั่วชิงเฉินก็เปลี่ยนสภาพ ท้องฟ้ากลับไปกว้างไกลอีกครั้ง บนพื้นหิมะ ปรากฏหญิงสาวในชุดสีหิมะระดับก่อแก่ปราณสี่นางขึ้น 

 

 

“ฮิๆ เจ้ามีความสามารถจริงๆ มาถึงด่านนี้จนได้” ทั้งสี่คนพูดขึ้นพร้อมกัน เสียงกังวานราวกระดิ่งเงิน 

 

 

มั่วชิงเฉินสีหน้าตะลึงเล็กน้อย ที่แท้ด่านที่สองและด่านที่สามนั้นเชื่อมต่อกัน ยังดีที่นางรอบคอบ ได้คอยเติมพลังวิญญาณอยู่ตลอด หากคิดว่าจะพักผ่อนได้อย่างด่านที่หนึ่งแล้วใช้พลังวิญญาณอย่างเต็มที่ละก็ ป่านนี้คงได้ร้องไห้ไปแล้ว 

 

 

“อย่าพูดอะไรให้มากความ เข้ามาเลย” กับมนุษย์หิมะสี่ตน จะมีอะไรต้องพูดกัน เพียงแค่กลายร่างเป็นมนุษย์เพียงแต่ภายนอก ก็จะกลายเป็นมนุษย์จริงเลยหรือ 

 

 

มั่วชิงเฉินพูดจบก็ชิงลงมือก่อน ยกมือขึ้นแล้วโยนระเบิดสะท้านฟ้าออกไปนับไม่ถ้วน  

 

 

ตำแหน่งที่ภูตหิมะสาวทั้งสี่ยืนอยู่ในตอนแรก คงเป็นเขตอาคมอะไรบางอย่าง การทำเช่นนี้อาจจะปั่นป่วนขบวนของพวกนางได้บ้าง 

 

 

ในขณะที่หลบ ภูตหิมะสาวนางหนึ่งก็ถูกลูกธนูน้ำแข็งยะเยือกยิงโดนเข้า จับตัวเป็นน้ำแข็ง 

 

 

ภูตหิมะสาวอีกนางหนึ่งถูกกริชฟันปลาแทง ยืนแข็งอยู่กับที่  

 

 

ภูตหิมะสาวอีกสองคนที่เหลือก็คงง่ายจะรับมือแล้ว มั่วชิงเฉินใช้คาถาวารีตามรูปและเคลื่อนเงาเลือนรางประสานกัน ลอยเคลื่อนไปด้านหน้าภูตหิมะสาวทั้งสองอย่างคล่องแคล่ว  

 

 

เสียงเบาๆ เสียงหนึ่งดังขึ้น กริชฟันปลาตวัดผ่านลำคอภูตหิมะสาว ศีรษะอันงดงามนั้นกระเด็นออกไป เหลือเพียงลำคอโล้นๆ แต่กลับไม่มีเลือดสดสาดกระเซ็นออกมา  

 

 

เป็นหิมะกลายร่างเป็นคนจริงๆ ตามคาด 

 

 

มั่วชิงเฉินเม้มปาก แล้วตีลังกาถีบไปยังภูตหิมะสาวอีกนาง ถีบตรงไปยังกลางอก 

 

 

จบแล้วใช่ไหม  

 

 

มั่วชิงเฉินรู้สึกว่าไม่น่าเป็นความจริง 

 

 

ใจเต้นรัวอย่างบอกไม่ถูก รู้สึกได้ถึงลางสังหรณ์อันไม่เป็นมงคลบางอย่าง  

 

 

นางรีบถอยหลังออก เมื่อประคองกายได้มั่นคงแล้วก็พบว่าศีรษะของภูตหิมะสาวทั้งสี่นั้นหลอมรวมเป็นหนึ่งในทันที ตามด้วยแสงสว่างขึ้นจ้า แล้วหญิงสาวผู้หนึ่งก็ปรากฏตัวอยู่เบื้องหน้า  

 

 

ระดับก่อกำเนิด!