บทที่ 14 งานนี้ไม่กล้าช่วย โดย Ink Stone_Romance
พร้อมกับม่านที่เลิกขึ้น ลมหอบหนึ่งพัดเข้ามาในโรงหมอจิ่วหลิง
“ผู้ดูแลใหญ่หลิ่ว” ฟางจิ่นซิ่วมองดูคนที่มาลุกขึ้นยืนต้อนรับ
“นางไปที่โรงหมอไป๋เฉ่าของท่านหมอเฒ่าเฝิงที่นั้น ข้าคิดว่าความหมายของนางก็คือต้องการใช้บรรดาหมอในเมือง” ผู้ดูแลใหญ่หลิ่วเอ่ย พลางโบกมือปฏิเสธชาที่ฟางจิ่นซิ่วส่งมา
แม้คุณหนูจวินพาหลิ่วเอ๋อร์ไปสำนักแพทย์หลวง แต่เรื่องที่เกิดฝั่งนั้นผู้ดูแลใหญ่หลิ่วก็รู้ตั้งแต่แรก
“บรรดาหมอหลวงไม่ยอมช่วยเหลือเป็นสิ่งที่คิดไว้อยู่แล้ว” ผู้ดูแลใหญ่หลิ่วเอ่ย
“แม้คิดไว้อยู่แล้ว แต่เอาเข้าจริงก็ไม่คิดว่าใจคนจะเลวร้ายได้ถึงขั้นนี้” ฟางจิ่นซิ่วเอ่ย
ผู้ดูแลใหญ่หลิ่วยิ้ม
“คุณหนูสามยังเล็ก” เขาเอ่ย
เพราะอายุน้อยไม่เคยเห็นว่าใจคนน่ากลัวหรือ?
ฟางจิ่นซิ่วกำถ้วยชาในมือ
“ไม่ ข้ารู้” นางเอ่ย
เล่ากันว่าเสือร้ายไม่กินลูก นางเคยเห็นคนที่ความรักระหว่างแม่กับลูกสาวก็ไม่ต้องการมาก่อน บนโลกนี้ยังมีใจคนอย่างไรไม่อาจเข้าใจได้อีก
แต่เรื่องผ่านไปแล้ว ไม่จำเป็นต้องคิดอยู่เสมอ
“หมอเหล่านั้นยอมช่วยไหม?” นางเบี่ยงประเด็นเอ่ย
ผู้ดูแลใหญ่หลิ่วลูบเครา สีหน้าหนักใจ
“เรื่องนี้ ทำไม่ง่ายนักจริงๆ” เขาเอ่ย
ฟางจิ่นซิ่วเงียบไปครู่หนึ่ง
“ผู้ดูแลใหญ่หลิ่ว ท่านรู้ว่าครั้งนี้นางไม่ได้มั่นใจมากนักใช่ไหม?” นางเอ่ย
ตอนนั้นคุณหนูจวินบอกว่าที่ไหวอ๋องเป็นไม่ใช่ฝีดาษ แม้ต่อมานางพูดว่านางรักษาฝีดาษได้ แต่เรื่องนี้พูดออกไปน่าตกใจเกินไปแล้ว ดังนั้นมีเพียงนางกับเฉินชีสองคนที่รู้ นอกจากนี้ตัดสินใจพ้องกันไม่อาจบอกให้ผู้อื่นรู้ได้อีก
แต่ดูสีหน้าของผู้ดูแลใหญ่หลิ่วเห็นชัดว่าไม่มั่นใจในเรื่องที่คุณหนูจวินกำลังจะทำสักนิด
ผู้ดูแลใหญ่หลิ่วมองนางยิ้ม
“ฝีดาษโรคเช่นนี้ตั้งแต่โบราณมาก็ไร้ทางแก้” เขาเอ่ย “ข้ารู้ว่าบนโลกนี้ผู้มีความสามารถผู้วิเศษมากมาย ไม่มีอะไรแน่นอน แต่นางอย่างไรก็ยังเป็นเด็กคนหนึ่ง นางไม่ใช่เทพเซียนนะ ด้วยกำลังของคนผู้หนึ่งจะทำเรื่องที่เทพเซียนถึงทำได้ ไหนเลยจะง่ายเช่นนั้นเล่า”
…
“คุณหนูจวินเชิญดื่มชา” ท่านหมอเฒ่าเฟิงประคองชาถ้วยหนึ่งส่งให้กับมือ
คุณหนูจวินรีบลุกขึ้นรับไป
สองคนแยกกันนั่งลงบนเก้าอี้อีกครั้ง
“ความหมายของคุณหนูจวินก็คืออยากให้ข้าไปร่วมรักษาฝีดาษด้วย?” ท่านหมอเฒ่าเฝิงเอ่ยถามต่อบทสนทนาเมื่อครู่
คุณหนูจวินพยักหน้า
“เพราะผู้ป่วยมาก นอกจากนี้โรคนี้อันตรายและรวดเร็วนัก ข้าคนเดียวทำไม่ไหว” นางเอ่ย “ดังนั้นอยากเชิญท่านช่วยเหลือ
นี่ยังใช่เด็กสาวที่ได้ชื่อว่าหัวแข็งคนนั้นที่ตอนนั้นบอกว่าเพราะวิชาแพทย์ของข้าสูงส่งกว่าพวกเจ้าดังนั้นข้าจึงเก็บเงินแพง รวมถึงโรคที่พวกเจ้ารักษาไม่หายข้าถึงรักษาหรือ?
ดูท่าเรื่องครั้งนี้จะตึงมือมาก
ท่านหมอเฒ่าเฝิงลังเลครู่หนึ่ง
“คุณหนูจวิน วิชาแพทย์ของข้าท่านก็รู้” เขาเอ่ย ท่าทางอับอายอยู่บ้าง “ที่ตระกูลข้าเชี่ยวชาญโดยหลักก็คือการจัดกระดูก โรคฝียุ่งเกี่ยวน้อยนักจริงๆ”
เขาพูดพลางลุกขึ้นคำนับ
“อับอายนัก ข้าเกรงว่าคงช่วยคุณหนูจวินไม่ได้”
คุณหนูจวินยิ้มลุกขึ้นคำนับ
“ท่านหมอเฝิงถ่อมตัวแล้ว” นางเอ่ย “ข้าเพียงคิดว่าเรื่องครั้งนี้เป็นโอกาสครั้งหนึ่ง อย่างไรเรื่องนี้ก็ยังไม่เคยมีคนทำมาก่อน คนมากสักหน่อยเรื่องก็ทำง่ายขึ้นบ้าง”
ไม่ง่ายจริงๆ ไม่เคยมีคนทำมาก่อน นั่นใยไม่ใช่บอกว่านางก็ไม่เคยทำเช่นกัน
กลางฝ่ามือที่ทิ้งอยู่ข้างตัวของท่านหมอเฝิงเหงื่อออกเล็กน้อย
สวรรค์อา
“ใช่ ข้าอับอายนัก” ท่านหมอเฒ่าเฝิงค้อมกายเอ่ยอีกครั้ง
คุณหนูจวินคำนับให้เขา
“ขอตัวก่อน” นางเอ่ย
ท่านหมอเฒ่าเฝิงไม่ลุกขึ้น เหมือนกับไม่อยากถูกเด็กสาวคนนี้มองเห็นใบหน้าสีแดง ได้ยินเสียงฝีเท้าดังขึ้นเด็กสาวคนนั้นเดินออกไปแล้ว ผ่านไปเนิ่นนานเขาถึงยืดตัวตรง อยู่ในร้านของตนองชัดๆ แต่ประหนึ่งโจรออกไปอย่างเงียบเชียบ
บนถนนเด็กสาวคนนั้นเดินเข้าไปในโรงหมอแห่งหนึ่งอีกครั้ง
เกรงว่าคงไม่ได้หรอก
ท่านหมอเฒ่าเฝิงมองเงาร่างของเด็กสาวคนนั้น ในใจถอนหายใจ
…
“สามร้านแล้ว” ผู้ดูแลใหญ่หลิ่วเอ่ยกับฟางจิ่นซิ่ว โบกมือส่งสัญญาณให้พนักงานร้านถอยออกไป “ไม่มีหมอสักคนยอมเดินออกมากับนาง”
“บางทีพวกเขาอาจต้องการเวลาเก็บของเตรียมพร้อมสักหน่อย” ฟางจิ่นซิ่วคิดนิดหนึ่งพูดออกมา
ผู้ดูแลใหญ่หลิ่วถูกนางล้อเล่นหัวเราะแล้ว คิดอยากพูดอะไรกลับไม่ได้พูด พยักหน้า
เอาเถอะ ถ้าอย่างนั้นก็รอแล้วกัน
…
“น่าขันจริงๆ”
ความเคลื่อนไหวของคุณหนูจวินฝั่งนี้เป็นที่สนใจของคนทั้งเมือง หมอหลวงที่ถูกดูหมิ่นยกหนึ่งเมื่อครู่ย่อมจ้องเขม็ง
เรื่องที่คุณหนูจวินหลังออกจากสำนักแพทย์หลวงก็ไปโรงหมอในเมือง พวกเจียงโหย่วซู่รู้อย่างรวดเร็ว
“นางอยากเชิญพวกหมอเหล่านี้ช่วยเหลือ นางคิดว่าพวกหมอเหล่านี้ล้วนเป็นคนโง่งั้นรึ?” หมอหลวงคนหนึ่งเอ่ย
“นางไม่ไปเชิญยังเสแสร้งได้ นางไปเยือนถึงประตูเช่นนี้ ใครไม่รู้บ้างว่านางไม่มั่นใจรักษาฝีดาษไม่ได้” หมอหลวงอีกคนเอ่ย “พวกหมอเหล่านี้ไม่ได้บ้านะ จะไปตายพร้อมกับนางหรือ?”
“บางทีคงคิดจะบีบหมอเหล่านี้ให้เห็นแก่เรื่องที่ถ่ายทอดสั่งสอนวิชาแก้ข้อสงสัยช่วงก่อนหน้านี้” เจียงโหย่วซู่เอ่ย พลางลูบแขนเสื้อ “แต่น่าเสียดาย การถ่ายทอดสั่งสอนวิชาแก้ข้อสงสัยของนางนี่สั้นเกินไป”
คำสั่งอาจารย์ไม่อาจขัด แต่นางสุดท้ายก็ไม่ใช่อาจารย์ผู้มีพระคุณของหมอเหล่านี้ ไม่สร้างความลำบากให้นาง เคารพนางเพิ่มนิดหน่อยยังพอทำเนา ให้คนไปตายเป็นเพื่อน แค่อาศัยชี้แนะสูตรยาอันหนึ่งไม่กี่ครั้ง อายุน้อยเกินไปไร้เดียงสาเกินไปจริงๆ
“รอดูไปเถอะ” เขาเอ่ย
…
“คุณหนูจวินโปรดรอก่อน”
เมื่อคุณหนูจวินพาหลิ่วเอ๋อร์เดินออกมาจากโรงหมอที่เท่าไรไม่รู้อีกครั้ง ก็มีคนร้องเรียกนางจากข้างหลัง
คุณหนูจวินหันกลับไปมองเห็นท่านหมอเฒ่าเฝิง
“ท่านหมอเฒ่าเฝิง?” นางเอ่ย
“ท่านหมอเฒ่าเฝิงสีหน้ายุ่งยากใจอยู่บ้าง
“คุณหนูจวิน ท่าน” เขาอยากเอ่ยแล้วก็หยุด “ตอนท่านพูดกับพวกหมอ พูดเหมือนกับที่บอกกับข้าแบบนั้นหรือ?”
คุณหนูจวินยิ้ม เหมือนคำถามที่เขาถามประหลาดนัก
“แน่นอน” นางเอ่ย
จริงๆ ด้วย…ท่านหมอเฒ่าเฝิงสีหน้ายุ่งยาก ลังเลนิดหนึ่งก้าวเข้าไปข้างหน้า
“คุณหนูจวิน” เขาเหมือนจะตัดสินใจอะไรแล้ว เข้าไปใกล้กดเสียงเบาเอ่ย “ท่านอย่าพูดกับพวกเขาเช่นนั้น”
คุณหนูจวินไม่เข้าใจอยู่บ้างมองเขา
ท่านหมอเฒ่าเฝิงไม่มองนาง เหมือนไม่กล้ามอง ดวงตาหลบเลี่ยงหน้าก็แดง
เขามีชีวิตอยู่อายุมากขนาดนี้ยังเป็นครั้งแรกที่ทำเรื่องเช่นนี้
“ท่านพูดเช่นนี้พวกเขาย่อมไม่กล้าไป ท่านบอกพวกเขาว่าท่านคนเดียวทำงานไม่ทันต้องการให้พวกเขาช่วยเหลือก็พอแล้ว อย่างอื่นไม่ต้องพูด” เขาพูดออกมารวดเดียว กลั้นจนหน้าแดงก่ำ
คำพูดเหล่านั้นที่เด็กสาวคนนี้บอกกับเขาน่าสะพรึงเกินไปแล้วจริงๆ ในคำพูดนอกคำพูดล้วนแสดงว่าตนเองไม่เคยรักษาฝีดาษมาก่อน ครั้งนี้เป็นการทดลอง
นางยังพูดว่าลองเลย หมอคนอื่นใครยังกล้าไป
แล้วยังเป็นราชโองการของฮ่องเต้ ทั้งยังมีผู้ป่วยมากขนาดนั้นที่กอดความหวังมา หากนี่ล้มเหลว ไม่ต้องพูดถึงฮ่องเต้ลงโทษอย่างไร แค่ความหวังของชาวบ้านเหล่านี้ก็ท่วมทับคนตายแล้ว
เวลานี้นางทำไมไม่โอหังเช่นนั้นเหมือนก่อนหน้านี้แล้วเล่า?
……………………………………….