บทที่ 15 คนถือโคมยามดึกดื่น โดย Ink Stone_Romance
หากยังเหมือนก่อนหน้านี้พูดจาโอหังเช่นนั้นว่าไม่มีปัญหานางรักษาได้ เรื่องก็คงทำง่ายแล้ว
นางพูดแค่คนป่วยมากเกินไป ต้องการทุกคนไปช่วยเป็นลูกมือสักหน่อย พูดเช่นนี้ก็คงมีคนไม่น้อยหวั่นไหว บางทีเห็นแก่ที่นางเคยชี้แนะ บางทีอยากอาศัยโอกาสสร้างชื่อ ไม่ว่าเพราะอะไรก็คงมีความกล้าติดตามไป
แต่หากขู่จนความกล้าของทุกคนไม่เหลือแล้ว ถ้าอย่างนั้นไม่ว่าเพราะอะไร ไม่มีชีวิตอยู่สิ่งใดย่อมไม่สำคัญแล้ว
เขาทนแล้วก็ทนอีก พูดวาจาเช่นนี้กับเด็กสาว พูดตรงๆ ก็คือจะสอนให้เด็กสาวคนนี้ไปหลอกหมอคนอื่น
นี่ช่างจิตใจชั่วช้าจริงหนอ
ทำเรื่องเช่นนี้เป็นการหลอกคนโดดเข้ากองเพลิงสินะ
ท่านหมอเฒ่าเฝิงหน้าแดงก้มหน้าอยากจะมุดเข้าดินไปเสีย
ข้างหูเสียงหัวเราะของคุณหนูจวินลอยมา
“ขอบคุณมาก” นางคำนับให้เขา สีหน้าจริงใจทั้งยังขอบคุณอยู่หลายส่วน
นางฟังเข้าใจแล้ว ท่านหมอเฝิงจิตใจหดหู่ ไม่รู้ควรดีใจหรือไม่ดีใจ สีหน้าสับสนนัก
ก็เหมือนเขาหวังให้นางทำเช่นนี้ แต่หากนางทำเช่นนี้จริงๆ เขาก็รู้สึกในใจผิดหวังนักด้วย
ประหลาดจริงๆ วิธีนี้เป็นเขาคิดออกมา เอ่ยออกมาก่อนแท้ๆ ทำไมเขายังไปตำหนิเด็กสาวคนนี้อีก
เขาไม่อยากอยู่ที่นี่ต่อแล้ว เขารีบค้อมกายคำนับจะหมุนตัวจากไป
“แต่ ข้าไม่อาจทำเช่นนี้ได้” เสียงคุณหนูจวินลอยมาต่อ
ไม่อาจทำได้หรือ?
ท่านหมอเฒ่าเฝิงก้าวเท้าหยุดชะงักเงยหน้าขึ้น
“ครั้งนี้ข้าต้องการขอความช่วยเหลือของทุกคน จำต้องพูดให้เข้าใจ” คุณหนูจวินเอ่ย “มีแต่ทำให้ทุกคนรู้ว่าต้องทำอะไรถึงสำเร็จได้”
ที่แท้นี่ก็เป็นความโอหังอย่างหนึ่งสินะ
ข้าจะบอกพวกเจ้าเรื่องนี้ทำขึ้นมาอันตรายนักเชื่อถือไม่ได้เกินไปแล้ว แต่ข้าก็ยังเชิญพวกเจ้า พวกเจ้ากล้ามาช่วยหรือไม่
คนอายุน้อยก็เป็นเช่นนี้หนา ท่านหมอเฒ่าเฝิงสีหน้ายุ่งยากใจ บางครั้งก็ซื่อไร้เดียงสาอยู่บ้าง
“แต่ท่านทำเช่นนี้มีปัญหานะ” เขายังเอ่ยเสียงเบา
“ข้าบอกเช่นนี้ไม่มีปัญหา เรื่องนี้ต้องให้ทุกคนคิดเข้าใจ ตนเองตัดสินใจ” คุณหนูจวินเอ่ย “โรคนี้ข้าต้องการคนช่วยเหลือจริงๆ เรื่องนี้ไม่ใช่ข้าคนเดียวทำออกมาได้ แต่นี่ไม่ใช่ข้าไม่มั่นใจหรือข้าลองส่งเดช ในใจข้ามีทฤษฎี เพียงแต่ขาดลงมือทำจริงเท่านั้น”
ท่านหมอเฒ่าเฝิงมองนาง
“แต่ ทำจริงใยไม่ใช่ยากที่สุด?” เขายิ้มเฝื่อน
“ยากก็ไม่ทำแล้วหรือ?” คุณหนูจวินยิ้มแล้ว “แต่ละสูตร การรักษาสำหรับแต่ละโรคที่พวกเราใช้วันนี้ ไม่ใช่ล้วนจากไม่มีกลายเป็นมี ล้วนเป็นเหล่าบรรพบุรุษทดลองลงมือทำออกมาได้หรือ โบราณมีเสินหนงต่อมาก็มีหมอเทวดาเปียนเชวี่ย ล้วนได้สูตรยาวิชาแพทย์อันยอดเยี่ยมมาจากการทดลองทั้งสิ้น หากไม่มีการทดลองลงมือทำของพวกเขา พวกเราจะรู้ได้อย่างไรว่าพิษอูโถว[1]ใช้ได้ สารหนูช่วยคนได้”
ท่านหมอเฒ่าเฝิงมองนาง ขยับริมฝีปากอยากพูดอะไรก็ไม่ได้พูดออกมา
คุณหนูจวินยิ้มให้เขาอีกครั้ง สีหน้าอ่อนโยน แววตาจริงใจ
“ข้ารู้เรื่องนี้เสี่ยงอันตรายจริงๆ ท่านหมอเฒ่าเฝิงท่านมากล่อมข้า พูดวาจาเหล่านี้กับข้า ข้าขอบคุณยิ่งนัก” นางเอ่ย ย่อเข่าคำนับ
ท่านหมอเฒ่าเฝิงถอนหายใจโบกมือไม่รับการคำนับ
“แต่เรื่องนี้ข้าจำต้องทำแล้ว” คุณหนูจวินเอ่ย หันกลับมองไปด้านนอกเมือง “พิษของฝีดาษ สังหารคนนับไม่ถ้วน ประหนึ่งมองทิศพายัพศัตรูดั่งสุนัขป่า ข้ารอจนข้าศึกถึงหน้าค่ายแล้ว เผชิญหน้ากองทัพแล้วจะล่าถอยได้หรือ? ต่อให้บุกฝ่าทางรอดเส้นหนึ่งไม่ได้ สังหารได้กี่คนก็เท่านั้น แสวงหาแนวทางบางอย่างเหลือไว้ให้แก่คนรุ่นหลัง ก็นับว่าไม่เสียแรงเปล่าแล้ว”
พูดจบก็คำนับท่านหมอเฒ่าเฝิงครั้งหนึ่งหมุนกายก้าวยาวจากไป
“คุณหนูของข้าจะไม่เสียแรงเปล่า” หลิ่วเอ๋อร์เอ่ยกับท่านหมอเฒ่าเฝิง กอดหีบยาแน่นเชิดหน้าแค่นเสียงเหอะก้าวยาวตามไป
ท่านหมอเฒ่าเฝิงยืนอยู่ที่เดิมสีหน้ายุ่งยากไม่ขยับ
…
สีของราตรีค่อยครอบลงมา ม่านประตูส่งเสียงดัง มองเห็นคุณหนูจวินเดินเข้ามา ผู้ดูแลใหญ่หลิ่วกับฟางจิ่นซิ่วรีบลุกขึ้น
“พวกเฉินชีไปจัดการนอกเมืองได้พอประมาณแล้ว วันนี้คงไม่กลับมา จัดการทั้งคืน” ฟางจิ่นซิ่วเอ่ย
“สมุนไพรยาเหล่านั้นก็บรรทุกใส่รถส่งไปยังวัดกวงหวาตลอดทั้งคืน” ผู้ดูแลใหญ่หลิ่วเอ่ย
ใครก็ไม่ถามว่านางออกไปทำอะไรทำเป็นอย่างไร
คุณหนูจวินพยักหน้า
“ถ้าอย่างนั้นพรุ่งนี้ข้าก็จะไป” นางเอ่ย ไม่ได้พูดถึงตนเองไปทำอะไรได้ผลอย่างไรเช่นกัน
“ถ้าอย่างนั้นกินข้าวเถอะ” ฟางจิ่นซิ่วเอ่ย แล้วมองผู้ดูแลใหญ่หลิ่ว
ผู้ดูแลใหญ่หลิ่วรีบโบกมือ
“ข้ากลับก่อน ในร้านยังมีธุระบางเรื่อง ข้าไม่กินข้าวที่นี่ล่ะ” เขาเอ่ย “คนที่ต้องตามไปวันพรุ่งนี้ข้าเตรียมไว้บ้างแล้ว วันพรุ่งนี้จะส่งมาที่นี่”
หลิ่วเอ๋อร์ยิ้มพยักหน้าให้เขา
ผู้ดูแลใหญ่หลิ่วก็ยิ้มหมุนตัวออกไป เดินออกจากโรงหมอจิ่วหลิงรอยยิ้มของเขาก็หายไป ที่มาแทนที่คือสีหน้าหนักใจ
เดินทั่วทั้งเมือง ท้ายที่สุดเชิญหมอไม่ได้สักคน
พวกหมอหลวงเหล่านั้นมีความแค้นกับคุณหนูจวิน ตัดสินใจแน่วแน่จะมองดูเรื่องตลก ไม่แน่ข่าวที่คุณหนูจวินรักษาฝีดาษของไหวอ๋องหายก็อาจเป็นพวกเขากระจายไปยังผู้ป่วยเหล่านี้ พวกเขาไม่มีทางมาช่วยเด็ดขาด
ส่วนหมอในเมืองหลวงเหล่านี้ แม้เริ่มแรกขัดแย้งกับคุณหนูจวิน ต่อมาล้วนคลี่คลายแล้ว ยังได้รับน้ำใจจากคุณหนูจวินเท่าไร ทุกคนเวลาปกติพูดุยก็นับถือโรงหมอจิ่วหลิงอย่างยิ่ง
แต่แค่นับถือก็ไม่ไหวเหมือนกัน เผชิญกับเวลาที่เกี่ยวพันถึงประโยชน์และการสูญเสีย ทุกคนก็ยังคงเลือกปกป้องตนเอง
นี่ก็ไม่มีอะไรให้กล่าวโทษ นี่เป็นปกติของมนุษย์
ผู้ดูแลใหญ่หลิ่วพรูลมหายใจ สายลมยามค่ำของเดือนหนึ่งยังคงเย็นยะเยือก พัดจนเขาอดไม่ได้ซุกมือในเสื้อ
กลัวอะไร ต่อให้ท้ายที่สุดล้มเหลวแล้ว ก็ไม่พ้นหยิบราชโองการออกมา ปิดโรงหมอจิ่วหลิงออกจากเมืองหลวง ชีวิตนี้อย่างไรก็รักษาไว้ได้เหมือนกัน
กิจการของตระกูลที่บรรพบุรุษบุกเบิกมาก็ไม่ใช่เพื่อให้ลูกหลานล่มกิจการหรือ ล่มก็สร้างขึ้นใหม่ไหม
ผู้ดูแลใหญ่หลิ่วดึงหมวกลงมา มุดเข้าไปในรถจากไป
ราตรีครอบคลุมเมืองหลวง แสงโคมค่อยๆ สว่างขึ้น
ด้านในโรงหมอไป๋เฉ่าโคมไฟยังสว่าง พนักงานน้อยคนหนึ่งฟุบด้านหลังโต๊ะงีบ ท่านหมอเฒ่าเฝิงยังคงนั่งอยู่หน้าโต๊ะ ด้านหน้าวางตำราแพทย์ไว้ ทว่าตั้งแต่เช้าก็ไม่ได้พลิกผ่านเลยสักหน้า
โคมน้ำมันเต้นระริกหลายวูบ ส่องใบหน้าหนักใจของเขา ทันใดนั้นเขาก็ตบโต๊ะลุกขึ้นยืน
เสียงนี้ทำพนักงานน้อยตกใจตื่น
“อาจารย์ จะกลับแล้วหรือขอรับ?” เขาขยี้ตาเอ่ย
ท่านหมอเฒ่าเฝิงขานรับ ไม่ได้ตอบรับ หยิบโคมดวงหนึ่งมายกขึ้นเดินออกไปแล้ว
พนักงานน้อยปิดประตูดีอกดีใจ ไม่เห็นว่าทิศทางที่ท่านหอมเฒ่าเฝิงเดินไปไม่ใช่บ้าน แต่ถือโคมเดินไปทางถนนใหญ่ที่ตกอยู่ในความเงียบสงัดของราตรี
หลังจากนั้นไม่นานเสียงเคาะประตูปึงปึงก็ดังทำลายความเงียบสงัดของถนน เสียงแกรกดังขึ้นทีหนึ่งประตูเปิดออกแล้ว
“ท่านหมอเฒ่าเฝิง? ดึกเช่นนี้ท่าน…” คนด้านในมองเห็นคนที่เคาะประตูประหลาดใจเล็กน้อย
“ท่านหมอหลิว พวกเราเข้าไปคุยกัน” ท่านหมอเฒ่าเฝิงเอ่ยพลางดับโคม
หน้าประตูตกอยู่ในความมืดอีกครั้ง
ราตรียิ่งมืดขึ้นทุกที โคมในห้องสว่างอยู่เนิ่นนาน ชาที่วางไว้บนโต๊ะตัวน้อยกลายเป็นเย็นเฉียบ
สองคนที่นั่งประจันหน้ากันสีหน้าเคร่งเครียด แต่กลับไม่มีท่าทางเหนื่อยล้าสักนิด
“ตาเฒ่าเฝิงอา เรื่องนี้เสี่ยงอันตรายเกินไปแล้วจริงๆ” ในที่สุดบุรุษที่ประจันหน้าอยู่ก็ถอนหายใจเอ่ยขึ้น
ท่านหมอเฒ่าเฝิงมองเขาพยักหน้า
“ใช่สิ ข้ารู้” เขาเอ่ย
“นางมีหลักให้พึ่ง เกิดเรื่อง หยิบราชโองการของเต๋อเซิ่งชางตระกูลฟางออกมา ฮ่องเต้ก็ทำอะไรนางไม่ได้แล้ว นางยังเป็นแม่นางคนหนึ่งถึงเวลาประตูปิดกลับไปในบ้าน แต่งงาน กินดื่มไม่ปวดหัวแล้ว พวกเราเล่า?” บุรุษคนนั้นเอ่ย “เมืองหลวงนี่คงอยู่ต่อไปไม่ได้แล้ว โรงหมอนี่ก็เปิดไม่ได้แล้ว ผู้เฒ่าลูกเล็กเด็กแดงทั้งบ้านคงจบสิ้นกันหมด”
“ข้ารู้ ข้ารู้” ท่านหมอเฒ่าเฝิงพยักหน้าเอ่ยอีกครั้ง
“ในเมื่อล้วนรู้ ถ้าอย่างนั้นทำไมยังต้องตระเวนโน้มน้าวแทนนางให้ได้เล่า?” บุรุษเอ่ยขึ้นอย่างเสียไม่ได้
ท่านหมอเฒ่าเฝิงยกน้ำชาที่เย็นนานแล้วด้านหน้าดื่มคำหนึ่ง
“เพราะว่า ข้ารู้สึกว่านางเชื่อถือได้” เขาเอ่ย
……………………………………….
[1] อูโถว(乌头) พืชจำพวกหญ้าชนิดหนึ่ง มีพิษแต่ใช้ในการรักษาได้เช่นเป็นยาชา เป็นยากระตุ้นหัวใจ