ส่วนที่ 1 ตอนที่ 28 งานชุมนุมปักบุปผา (9)

ปลดผนึกหัวใจหวนรัก Love and Redemption

วันรุ่งขึ้นงานชุมนุมปักบุปผาดำเนินไปตามปกติ เพียงแต่เรื่องที่ถกกันระหว่างศิษย์อายุน้อยเปลี่ยนไป จากที่ว่าสำนักไหนจะได้รับชัยชนะ กลายเป็นแท้จริงแล้วผู้ใดจะจับงูน้อยสีเงินราคาทองคำร้อยตำลึงตัวนั้นได้

 

ที่แท้เช้านี้ หน้าประตูแต่ละที่พักของศิษย์แต่ละสำนักล้วนมีประกาศหางูแผ่นหนึ่งติดไว้ ว่ากันว่าศิษย์ตำหนักหลีเจ๋อคนใดคนหนึ่งทำสัตว์ภูตงูสีเงินหายไป ตนเองเติบโตมาพร้อมกับงูสีเงินแต่เล็ก ความสัมพันธ์ลึกซึ้ง อยู่ๆ หาทั่วแล้วไม่เจอ ในใจก็ร้อนรนยิ่งนัก ว่ากันว่าเขาเปิดราคาที่หนึ่งร้อยตำลึงทอง ผู้ใดหางูสีเงินของเขาพบ ร้อยตำลึงทองย่อมมอบให้โดยไม่กะพริบตา กลับถึงตำหนักหลีเจ๋อก็จะมอบให้ทันที

 

เดิมทีศิษย์แต่ละสำนักมาชมการประลองกันมาก คนว่างไม่มีอะไรทำก็มาก พอได้ยินว่ามีร้อยตำลึงทองให้คว้า ทุกคนล้วนอยากลอง ตั้งแต่เช้าถึงตอนนี้ห้องอวี่ซือเฟิ่งมีคนมาไม่ขาด

 

“ปากพูดไร้หลักฐาน เกิดพวกเราหางูตัวนั้นเจอ เจ้าไม่มอบทองคำให้ จะทำเช่นไร”

 

ผู้ที่มาเป็นศิษย์สำนักเซวียนหยวน อยู่ในห้องอวี่ซือเฟิ่งเป็นนานไม่ยอมไป

 

หลิงหลงข้างๆ เดิมก็รังเกียจคนสำนักเซวียนหยวน เห็นพวกเขามากันแต่เช้า สะกดอารมณ์ไม่ไหว ตวาดเสียงเย็นชาว่า “จะหาก็หา ไม่หาก็รีบไป! อย่าทำเสียเวลา!”

 

คนผู้นั้นกำลังจะโมโห อวี่ซือเฟิ่งโบกมือ กล่าวน้ำเสียงนิ่งเรียบว่า “ขอเพียงหา งูสีเงิน เจอ ทองคำนี่ เอาไปครึ่งก่อน จ่ายเลย”

 

เขายกข้อมือขึ้น กล่องเล็กแบนในแขนเสื้อก็ปรากฎออกมา ค่อยๆ เปิดออก ในนั้นมีแพรไหมสีฟ้าชั้นหนึ่ง ด้านบนเป็นไข่มุกสีเขียวอ่อนขนาดราวนิ้วก้อย ส่องประกายวาว สวยงามยิ่ง

 

เขาหยิบไข่มุกเม็ดนั้นขึ้นมา หันกลับไปส่งสายตาให้จงหมิ่นเหยียน จงหมิ่นเหยียนรับรู้ได้ทันที ปิดหน้าต่างรอบด้านด้วยผ้าสีดำ ในห้องพลันมืดลง

 

ที่น่าแปลกก็คือ มีแสงสีเขียวอ่อนๆ นุ่มนวลหนึ่งยิ่งกว่าแสงอาทิตย์ ยิ่งกว่าแสงจันทร์ส่องประกายจากกลางฝ่ามืออวี่ซือเฟิ่ง เขาให้ไข่มุกหมุนกลิ้งไปมาในฝ่ามือรอบหนึ่ง แสงสีเขียวประกายสะท้อนกระทบใบหน้าเขา สองตาเขาก็เป็นประกายกระจ่างเช่นกัน

 

“ไข่มุกราตรีทะเลหนานไห่ ที่ลึกมาก” เขากล่าวเสียงเบาๆ ว่า “ราคาท้องตลาด ทองคำ หกสิบแปดตำลึง ใช้สิ่งนี้ เป็นมัดจำ!”

 

ศิษย์สำนักเซวียนหยวนผู้นั้นพอเห็นไข่มุกราตรี ดวงตาก็เป็นประกายยิ่งกว่าไข่มุกราตรี ในนั้นมีคนคิดเอื้อมมือไปลูบ ถูกอวี่ซือเฟิ่งอมยิ้มหลบ “งูสีเงิน หาพบก่อน จึงมอบให้”

 

คนผู้นั้นรีบพยักหน้า อยากจะบินออกไปควานจับงูทั้งหมดกลับมาเสียตอนนั้น

 

เพิ่งวิ่งออกนอกประตูไปก็ได้ยินคนหนึ่งที่ประตูหัวเราะกล่าวว่า “เฮ้! ช้าๆ หน่อย! คำกล่าวที่ว่าน้ำดีไม่ให้ที่นาผู้อื่น ที่นี่เป็นพื้นที่สำนักเส้าหยางเรา ก็ควรให้พวกเราหาพบถึงจะถูกต้อง”

 

ด้านหลังหลายคนยังส่งเสียงตอบรับตามมา

 

พอหลิงหลงได้ยินเสียงพวกเขาอดกลั้นหัวเราะไม่ได้ เป็นศิษย์พี่รอง พวกเขามาชมเรื่องสนุก!

 

ตามคาด มีคนเดินเข้ามาหลายคน เป็นศิษย์อายุน้อยรุ่นอักษรหมิ่นสองสามคน มีศิษย์พี่รองเฉินหมิ่นเจวี๋ย ศิษย์พี่สี่เฝิงหมิ่นเซิง ศิษย์พี่ห้าโอวหยางหมิ่นหลี

 

เฉินหมิ่นเจวี๋ยยังคว้าตัวศิษย์สำนักเซวียนหยวนสองคนที่แย่งกันออกไปเอาไว้ กล่าวไม่หยุดว่า “ช้าหน่อยๆ! พี่ชาย ท่านก็ช่างโง่จริง เขาแรกอรุณกว้างใหญ่เพียงนี้ มีที่ต้องห้ามอีกเท่าไร วิ่งมั่วไปทั่ว เกิดละเมิดกฎพวกเราเข้าก็ยุ่งยากแล้วไหม ไม่สู้ร่วมมือกับพวกเรา พวกเราบอกทาง พวกท่านหางู รางวัลทองคำนี่ ก็คนละครึ่งละกัน”

 

สองคนนั้นเดิมกำลังจะโมโหใส่ พอได้ยินเขากล่าวเช่นนี้ ก็รู้สึกมีเหตุผลอยู่บ้าง ได้แต่สลัดมือเขาออก กล่าวอย่างโมโห “พูดก็พูดไปสิ ไม่ต้องจับมือจับไม้! คนละครึ่งพวกเราเสียเปรียบไป อย่างน้อยต้องเจ็ดส่วน”

 

เฉินหมิ่นเจวี๋ยตอนเด็กเคยอยู่ในวงการนักเลง ขึ้นเหนือล่องใต้เพียงลำพัง มีอันใดไม่เข้าใจ ฝีปากก็ไม่มีผู้ใดเก่งกาจกว่าเขา ตอนนั้นเขาจึงหัวเราะทันที กล่าวว่า “พี่ชายก็ละโมบไปหน่อยนะ พวกเราหวังดีบอกทางให้ท่าน กลับได้แค่สามส่วน ไม่สู้พวกท่านไปหาเองแล้วกัน ถึงตอนนั้นหางูสีเงินไม่เจอไม่พอยังละเมิดเข้าเขตหวงห้าม ข้าไม่รู้ด้วยนะ!”

 

คนสำนักเซวียนหยวนทั้งสองเริ่มลังเล ก่อนกล่าวว่า “เช่นนี้ก็แบ่งหกสี่ อย่างไรคนละครึ่งก็ไม่ได้เด็ดขาด”

 

เฉินหมิ่นเจวี๋ยยังคิดต่อรอง พลันได้ยินนอกประตูมีเสียงดังเอะอะมา ตามมาด้วยเสียงดังกังวานว่า “ข้าคนเดียวก็ได้เต็มสิบส่วน”

 

ทุกคนหันกลับไปพร้อมกัน เห็นอูถงพิงประตูราวยิ้มราวไม่ยิ้ม คนรอบๆ ล้วนระแวงเขา พากันเปิดทางให้

 

ว่ากันว่าการประลองรอบสองวันนี้เขาได้หน้าที่สุด ศิษย์สำนักเซวียนหยวนคนหนึ่งที่ได้ชัยใหญ่ เพียนเพียนกับอวี้หนิงที่ก่อนหน้าได้รับความคาดหวังว่าจะได้ชัยที่สุด ตอนนี้ชื่อเสียงดังสู้เขาไม่ได้แล้ว ถึงกับมีคนมั่นใจว่าผู้ชนะงานชุมนุมปักบุปผาครั้งนี้ย่อมเป็นเขาแน่แล้ว

 

เฉินหมิ่นเจวี๋ยเห็นปลาติดเบ็ดแล้วก็หัวเราะร่า “ข้าคิดว่าผู้ใด ที่แท้ท่านอูถงแห่งหุบเขาเตี่ยนจิง! ในเมื่อท่านมาแล้ว พวกเราไหนเลยจะมีที่ว่างให้แย่งชิงได้อีก ให้ท่านก็แล้วกัน”

 

เขาโบกมือให้ศิษย์น้องสี่และศิษย์น้องอีกคน ทั้งสามทำท่าทางเสียดาย เดินจากไปด้วยท่าทีไม่อยากยิ่ง

 

สำนักเซวียนหยวนสองคนนั้นยังลังเลอยู่ แต่พอเห็นอูถงเผยรอยยิ้มบางเดินเข้ามา มองไปยังไข่มุกราตรีเม็ดนั้น กล่าวว่า “ไม่เลว! แต่ข้าอยากรู้ว่าสัตว์ภูตใดมีค่าให้เจ้าใช้ทองถึงพันตำลึง”

 

อวี่ซือเฟิ่งยังไม่กล่าวอันใด สำนักเซวียนหยวนสองคนนั้นกลับร้อนใจกล่าวว่า “เจ้าถามมากมายทำไม! หากไม่อยากหา ก็ไม่ต้องมาขวางการค้าอันดีของคนอื่น!”

 

อูถงหันกลับไปกวาดตามองพวกเขานิ่งๆ สองคนรีบหุบปากทันที

 

“การค้านี้ข้ารับแล้ว สองท่านเชิญกลับได้แล้ว หรือพวกเราหาเวลามาประลองกันสักหน่อย ดูว่าผู้ใดเหมาะสมกว่า”

 

เขาเอ่ยน้ำเสียงนิ่ง แต่ทำให้ทั้งสองรีบเดินหน้าบึ้งจากไปทันที

 

หลิงหลงเห็นท่าทางจองหองของเขาเช่นนั้น ในใจพลันโมโห อดกล่าวไม่ได้ “ไม่ให้เจ้ารับ! เมื่อวานเจ้าทำร้ายน้องสาวข้า ยังไม่ได้คิดบัญชีกับเจ้าเลย!”

 

อูถงอึ้งไปเล็กน้อย ก่อนจะพบว่าด้านหลังอวี่ซือเฟิ่งมีเด็กหญิงตัวน้อยสองนางนั่งอยู่ เป็นสองนางเมื่อวานนี้ เขาเห็นหน้าตาหลิงหลงงดงามวาจาร้อนแรง อดยิ้มกล่าวไม่ได้ “หรือว่าสัตว์ภูตเป็นของคุณหนูกัน ไม่เช่นนั้นเกี่ยวอันใดกับท่าน”

 

หลิงหลงโมโหกล่าวว่า “แน่นอนไม่ใช่ของข้า! แต่เป็นของสหายสนิทข้า! พวกเราไม่ชอบเจ้า รีบไปซะ!”

 

อูถงคิ้วกระตุก “คุณหนูวาจาไม่ดีนัก เรื่องเช่นนี้ย่อมผู้มีความสามารถลงแรงได้มากกว่า หรือว่ายังคงหาที่เหมาะได้ยิ่งกว่าข้าอีก”

 

หลิงหลงยังคิดโต้ต่อ กลับถูกอวี่ซือเฟิ่งตัดบท “ข้ารู้ พี่ชายท่านนี้ ได้ยินว่า วานนี้เขาชนะติด หลิงหลง คนที่มา มีเพียงเขา มีความสามารถ ที่สุด ไม่สู้ ทิ้งความแค้น ลงก่อน หาเสี่ยวอิ๋นฮวา สำคัญกว่า”

 

หลิงหลงโมโหมาก ลากเสวียนจี กล่าวน้ำเสียงเย็นชาว่า “อย่างไรก็งูเจ้า เจ้าอยากให้ผู้ใดหาก็ผู้นั้น! ข้าไม่อยากเห็นหน้าเขาแล้วมันอย่างไร?! เสวียนจี พวกเราไป!”

 

นางลากเสวียนจีเดินออกไปอย่างรวดเร็ว เดินอ้อมระเบียงคดด้านนอก เห็นรอบๆ ไม่มีคนแล้ว ทั้งสองอดหัวเราะออกมาไม่ได้ สองมือตบกัน

 

“สำเร็จ ติดเบ็ดแล้ว!”

 

ที่แท้ซือเฟิ่งว่า คนเช่นอูถงมีนิสัยอยากเอาชนะมาก การสังเกตสิ่งต่างๆ ก็ระแวงยิ่งมาก หากถูกเขาจำหลิงหลงกับเสวียนจีได้ เกรงแต่ว่าจะเกิดความระแวง ดังนั้นจึงให้ตนเองแสดงตัวออกมาให้ชัดเจน นี่เรียกว่าชัยชนะท่ามกลางความเสี่ยง

 

ในเมื่อคนผู้นี้มีใจคิดเอาชนะมาก ก็แสดงว่าเขาเป็นคนสามัญยิ่ง เห็นเรื่องพวกนี้ย่อมเข้ามาข้องเกี่ยว ดีไม่ดีเขาอาจแอบดูอยู่ด้านนอกนานแล้วก็เป็นได้ จนกระทั่งมั่นใจว่าไม่ใช่สถานการณ์หลอกลวง จึงได้เดินเข้ามาอย่างมั่นใจ อย่างไรเสียสำหรับศิษย์บำเพ็ญเซียนยากจนเช่นพวกเขาแล้ว ทองคำร้อยตำลึงเป็นสิ่งดึงดูดใจมากจริงๆ

 

ในเมื่อทุกอย่างเป็นไปตามแผน เช่นนั้นจากนี้ก็คือซือเฟิ่งออกโรงแล้ว เขาจะแอบส่งเสียงบอกเสี่ยวอิ๋นฮวา ให้มันล่ออูถงไปหลังเขาตรงกับดักนั่น จากนั้นก็มีเรื่องสนุกให้ชมแล้ว!

 

หลิงหลงและเสวียนจีทั้งสองคนยิ้มสบตากัน ล้วนรู้สึกน่าสนุกมาก รีบเก็บของวิ่งไปหลังเขารอชมเรื่องสนุกกัน