ส่วนที่ 1 ตอนที่ 29 งานชุมนุมปักบุปผา (10)

ปลดผนึกหัวใจหวนรัก Love and Redemption

ตามคาด อูถงนั่นดึงประกาศไป และม้วนภาพเสี่ยวอิ๋นฮวาที่อวี่ซือเฟิ่งวาดให้เขาก็เก็บไปด้วย ในแขนเสื้อเต็มไปด้วยเมล็ดผลไม้ที่เสี่ยวอิ๋นฮวาชอบกิน ออกเดินทางไปอย่างมั่นใจมาก

 

อวี่ซือเฟิ่งกับจงหมิ่นเหยียนเห็นเขาไปไกลแล้ว ก็รีบปิดประตู แอบไปหลังเขาอีกทาง

 

หลิงหลงและเสวียนจีมาซ่อนตัวรอดูเรื่องสนุกกันบนต้นไม้ก่อนหน้าแล้ว พอเห็นเขาสองคนมา ก็รีบกวักมือส่งสัญญาณให้พวกเขาอย่าออกเสียง

 

ทั้งสี่ไปเบียดตัวกันหลังพุ่มไม้ โผล่แค่ลูกตา จ้องมองกับดักนั่นตาไม่กะพริบ

 

ไม่นานนัก พลันมีแสงเงินวาบเบื้องหน้า เสี่ยวอิ๋นฮวาเคลื่อนไหวราวสายฟ้า จากยอดหญ้าโดดไปมารอบๆ กับดักไม่หยุด

 

อีกสักครู่หนึ่ง อูถงก็ค่อยๆ ตามมาพบอย่างไม่รีบร้อน เขามองเห็นเสี่ยวอิ๋นฮวาเคลื่อนไหวบนพื้น อดเผยสีหน้ายินดีไม่ได้ รีบควักภาพใบนั้นออกจากอกเสื้อ เทียบมองอยู่เป็นนาน ราวกับมั่นใจว่าเป็นมันแล้วก็รีบก้มตัวลง ค่อยๆ หยิบเอาเมล็ดผลไม้ออกจากถุงในแขนเสื้อ โยนไปสองเมล็ด

 

เสี่ยวอิ๋นฮวาได้กลิ่นหอมของเมล็ดผลไม้ที่ตนชอบ ก็ส่ายหัวไปมา เลื้อยเข้ามากินเข้าไปเมล็ดหนึ่งอย่างไม่เกรงใจ อูถงอดยินดียิ่งไม่ได้ โยนไปอีกสองเมล็ด เพียงแต่ครั้งนี้ใกล้อีกหน่อย

 

เสี่ยวอิ๋นฮวาไม่สงสัยแม้แต่น้อย เลื้อยเข้าไปกินอีก

 

อูถงโยนไปอีกสองเมล็ด

 

“ที่แท้เขาคิดจะล่อเสี่ยวอิ๋นฮวาเข้าไป…” หลิงหลงกระซิบเสียงเบาข้างหูจงหมิ่นเหยียน

 

เขาพยักหน้า “เจ้าเล่ห์จริง…หากเข้าไปจะทำอย่างไร”

 

อวี่ซือเฟิ่งส่ายหน้า “ย่อมไม่ วางใจ”

 

ตามคาด เมล็ดผลไม้ที่อูถงโยนไปอีกครั้งนี้ไม่ได้รับการเหลียวมอง เสี่ยวอิ๋นฮวาราวกับพบว่าที่นั่นมีคน พลันระวังตัวขึ้นทันที กระตุกทีหนึ่งราวกับลูกธนูถอยกลับไป ไปเลื้อยรอบบริเวณกับดัก ครั้งนี้ไม่ว่าเขาจะโยนเมล็ดผลไม้อย่างไร มันก็ไม่หลงกลแล้ว

 

“เดรัจฉานน่าตาย…” เขาท่องคาถาเบาๆ ได้แต่เก็บเมล็ดผลไม้คืน ค่อยๆ ลุกขึ้น

 

มองซ้ายมองขวา แน่ใจว่ารอบกายไร้ผู้คน เขาค่อยๆ กลั้นลมหายใจ เท้าขวาเหยียบพื้นเบาๆ สองแขนกางออก กระโดดตัวลอยขึ้นทันที ราวกับห่านป่าตกใจ

 

อวี่ซือเฟิ่งเห็นท่าทาง อดชมไม่ได้ “ฝีมือดี!”

 

วาจาเพิ่งกล่าวจบ เขาก็แตะเท้าลงข้างกับดักเบาๆ ก้าวขึ้นหน้าอีกก้าว ออกกระบวนท่าราวสายฟ้า เห็นว่ากำลังจะจับเสี่ยวอิ๋นฮวาได้แล้ว

 

ผู้ใดจะรู้ว่าเขาไว เสี่ยวอิ๋นฮวาไวยิ่งกว่า ร่างกระตุกถอยไกลออกไปสี่ห้าฉื่อ เขาคว้าได้แต่อากาศ ได้แต่ก้าวเข้าไปอีกสองก้าว กำลังจะเหยียบลงกลางกับดัก เขาไม่รู้ตัวแม้แต่น้อย เตรียมจะเข้าไปจับ พลันเหยียบเข้ากับความว่าง ทั้งคนร่วงลงไปอย่างไม่อาจยั้งไว้ได้

 

เขาตกใจมาก มือซ้ายพลันคว้าเอาพื้นหญ้าทันที สองขาเหยียบข้างกำแพงของหลุมกับดัก ลอยตัวขึ้นมาเบาๆ ถึงกับไม่ร่วงลงไป!

 

“น่าเสียดาย!” จงหมิ่นเหยียนร้องขึ้นเบาๆ

 

เสวียนจียิ้มเล็กน้อย “ไม่แน่นะ ดู โดนแล้ว!”

 

วาจาไม่ทันจบ ก็ได้ยินเสียงอูถงตกใจร้องดัง ร่างพลันถูกของบางอย่างลากไว้ ดึงขึ้นแขวนบนกิ่งไม้ สองมือแกว่งไปมา เมล็ดผลไม้ในแขนเสื้อก็ร่วงเต็มพื้น ถูกเสี่ยวอิ๋นฮวาด้านล่างกินอย่างสบายใจ

 

“มีกับดัก?! มีกับดัก!” เขาตะโกนดัง

 

ที่แท้อวี่ซือเฟิ่งรู้สึกกับดักไม่พอ เกรงว่าดักเขาไม่อยู่ จึงได้ซ่อนเชือกไว้รอบกับดักอีก เหยียบกับดักแล้ว เขาก็ย่อมต้องโดดขึ้นมา ย่อมเหยียบเชือกที่ซ่อนไว้ด้านข้าง ครานี้สองเท้าเขาย่อมถูกมัดแน่น ขึ้นแขวนห้อยบนต้นไม้ จะลงมือก็ไม่ง่ายเช่นนั้นแล้ว

 

“ฮ่าๆ สำเร็จแล้ว! สำเร็จแล้ว!” หลิงหลงตื่นเต้นดีใจจนหน้าแดงก่ำ ทนไม่ไหว คิดจะเข้าไปด่าเขาระบายอารมณ์สักตั้ง

 

จงหมิ่นเหยียนรีบดึงนางไว้ “ออกไปตอนนี้ที่ทำมาก็หมดกัน! อย่าได้ให้เขารู้ว่าพวกเราทำ! มา พวกเรากลับกันก่อน!”

 

หลิงหลงมองท่าทางอเนจอนาถของอูถงอย่างเริงร่า ในใจรู้สึกสะใจยิ่ง คล้องคอจงหมิ่นเหยียนเอนตัวพิงเข้าหาเขา ปากก็เอาแต่กล่าวว่า “พวกเราช่างมีพรสวรรค์! มีพรสวรรค์!”

 

“ใช่ ใช่ ใช่ คุณหนูผู้มีพรสวรรค์” จงหมิ่นเหยียนพลันอารมณ์ดี แบกหลิงหลงขึ้นหลัง วิ่งกลับไปรวดเร็ว ดีใจจนหลิงหลงหัวเราะดังลั่น ไม่นานทั้งสองก็วิ่งไปไกลแล้ว

 

เสวียนจีนั่งยองอยู่ข้างอวี่ซือเฟิ่งกล่าวเบาๆ ว่า “เสี่ยวอิ๋นฮวาไม่เป็นไรใช่ไหม จะกลับมาไหม”

 

เขายิ้มพยักหน้า ทั้งสองเดินกลับไปด้วยกัน พลางกล่าวว่า “คืนนี้มัน กลับมา ด้วยตนเอง วางใจ คนทั่วไป จับมัน ไม่ได้”

 

เสวียนจียิ้ม กล่าวว่า “ซือเฟิ่งร้ายกาจจริง ราวกับรู้อะไรมากมาย ยังรู้วางอุบายอีก”

 

เขาหน้าแดง พึมพำกล่าวว่า “ก็ ก็ไม่มีอันใดนี่!”

 

เสวียนจีลูบหน้า ยิ้ม “มีแต่ภาษาจงหยวนที่พูดไม่ดี! ก็ ก็ไม่มีอันใดนี่!”

 

นางเลียนแบบสำเนียงเขา ก็เหมือนอยู่เจ็ดแปดส่วน

 

อวี่ซือเฟิ่งยิ่งหน้าแดง ผ่านไปครู่หนึ่ง พลันอุทานขึ้นเสียงหนึ่ง กระซิบว่า “งานชุมนุมปักบุปผา จบแล้ว ข้าต้อง กลับไปแล้ว”

 

“วันหน้าไม่อาจออกมาอีกหรือ ใช่แล้ว อาจารย์เจ้ายังจะลงโทษเจ้าไหม” เสวียนจีคิดถึงเจ้าตำหนักประหลาดผู้นั้น ก็รู้สึกไม่ค่อยวางใจเท่าไร

 

เขากล่าวเบาๆ ว่า “ยังออก มาได้ แต่ทว่า ต้องนานหน่อย อาจารย์ ไม่ได้ ลงโทษข้า วันหน้า ก็ย่อมไม่ วางใจได้”

 

เสวียนจีพยักหน้า “เช่นนั้นก็ดี ซือเฟิ่ง วันหน้าเจ้าต้องมาเยี่ยมพวกเราบ่อยๆ มาตอนไหนก็ได้”

 

เขาขยับปากเล็กน้อย ราวกับคิดกล่าวอันใด สุดท้ายกลับไม่กล่าวออกมา เพียงแต่รับปากด้วยรอยยิ้มอ่อนโยน

 

“ขอเพียงเจ้า ไม่ลืมข้า” เขายกมือขึ้นปัดต้นหญ้าที่ตกลงบนผมนางออก “วันหน้าพวกเรา จะต้อง ได้พบกันอีก”

 

วันหน้า วันหน้าอีกนานเท่าไรกัน พวกเขาเคยกล่าวว่าจะเป็นสหายสนิทกันไปชั่วชีวิต หรือว่าต้องแยกจากกันชั่วชีวิต

 

เสวียนจีมองเขานิ่งเงียบ ใต้แสงตะวัน สีหน้าเด็กหนุ่มขาวละมุนราวกับหิมะตกใหม่ สองตาเรียวลึก มองนางอย่างเงียบๆ มองนางเพียงคนเดียว

 

เสียงลมพัดมาแผ่วเบา ต้นหญ้าเขียวขจีสั่นไหว ฟ้าครามเมฆขาวสะดุดตา เขาล้วนไม่เห็น

 

โลกทั้งใบ เขามองเพียงนาง

 

ในใจนางสั่นไหวอย่างไร้เหตุผล ถึงกับลืมว่าจะกล่าวอันใด

 

เด็กหนุ่มยิ้มเล็กน้อย กล่าวอ่อนโยนว่า “กลับกันเถอะ งานชุมนุมปักบุปผา ยังมี อีกหลายวัน”

 

นางพยักหน้าเงียบๆ ในใจหลายห้อง ค่อยๆ มีเสียงหนึ่งดังขึ้นเบาๆ เบาราวกับเม็ดฝนที่ตกลงบนดอกเหมย จางหายไปอย่างรวดเร็ว

 

เสวียนจีคว้าแขนเสื้อเขาพลันไม่คิดปล่อยมือ ทั้งสองค่อยๆ เดินกลับไปเช่นนี้

 

พลันด้านหลังมีลมพัดมาวูบหนึ่ง นางอดก้าวขึ้นหน้าไม่ได้ ต้นหญ้าใบไม้ปลิวทั่วบริเวณ

 

นางหันกลับไปยิ้มกล่าวว่า “ดูสิ เหมือนฝนจะตก!”

 

วาจาเพิ่งจบลง พลันได้ยินเสียงก้อนหินหนึ่งด้านหลัง ข้างๆ เหมือนมีคนยืนอยู่ ชุดขาวผมดำ บนศีรษะมีผ้าแพรขาวบาง

 

นางอดตกตะลึงไม่ได้ รู้สึกคุ้นตา พลันคิดไม่ออกว่าแท้จริงเคยพบเห็นที่ใด

 

คนผู้นั้นราวกับกำลังกล่าวอันใด เพียงเบื้องหน้าคนผู้นั้นมีก้อนหินใหญ่บังไว้ นางมองไม่เห็น

 

นางคล้ายกำลังกล่าววาจาตื่นเต้นอันใดสักอย่าง กายสั่นไปทั้งตัว พลันกางแขนกอดคนตรงหน้าไว้แน่น ลมพัดมาอีกวูบหนึ่ง แพรขาวของนางถูกพัดเปิดออก เผยริมฝีปากแดงสดและคางที่ราวหยกสะอาด

 

เสวียนจีราวสายฟ้าฟาด คิดได้ทันทีว่าเป็นฮูหยินเจ้าเกาะตงฟาง สาวงามที่หลิงหลงพูดถึงคนนั้น

 

นางกำลังพูดกับผู้ใด กอดกับผู้ใด

 

หรือว่าเป็นเจ้าเกาะตงฟางสองสามีภรรยาแอบมาคุยภาษาคนรักกันที่นี่

 

เสวียนจีไม่อยากดูมากนัก กำลังหันกายจากไป พลันปรากฎร่างทั้งสองขึ้นหลังหินก้อนใหญ่ ทั้งคู่ล้วนสวมชุดขาว หนึ่งอรชร หนึ่งสูงผอม ทั้งสองแนบกายพันพัว ฮูหยินตงฟางพลันเงยหน้า ค่อยเปิดผ้าแพรคลุมหน้าออก ค่อยๆ บรรจงจุมพิตริมฝีปากคนผู้นั้น

 

“อา!” เสวียนจีส่งเสียงร้อง

 

ไม่ใช่เจ้าเกาะตงฟาง! ที่นางจุมพิตคือพ่อบ้านเกาะฝูอวี้ผู้นั้น!

 

นางตกใจ ในสมองพลันสับสน คิดไม่ออกว่านี่เรียกว่าคบชู้หรือว่าลักลอบ

 

อวี่ซือเฟิ่งเห็นนางตกใจ อดไม่ได้ยิ้มกล่าวว่า “เห็น อันใด”

 

เขาหันตามกลับไปอย่างไม่ตั้งใจ พลันมองเห็นเงาร่างตามติดพันสองร่างในแวบแรก สีหน้าแปรเปลี่ยนทันที รีบลากเสวียนจีหันหลังออกไป กระซิบว่า “ไม่ต้องดู! รีบไป! ไม่เช่นนั้น ยุ่งยาก!”

 

เขาลากนางวิ่งกลับไปห้องตนเองทันที จงหมิ่นเหยียนกับหลิงหลงมาถึงก่อนแล้ว พอเห็นเขาสองคนกระหืดกระหอบวิ่งราวกับด้านหลังมีผีไล่ตามมา หลิงหลงก็โบกมือหัวเราะกล่าวว่า “ดีเลย พวกเจ้าสองคนไปแอบคุยกันที่ไหนมา ถึงกับกลับมาช้าเช่นนี้ได้! ดูสิ เหงื่อท่วมใบหน้าเลย!”

 

เสวียนจีส่ายหน้า ยังคงตกใจกับภาพเหตุการณ์ฉากเมื่อครู่ที่ได้เห็น

 

อวี่ซือเฟิ่งหัวเราะเฝื่อน กล่าวว่า “ไม่…มีอันใด ข้าหิวแล้ว ไปกินข้าว?”