บทที่ 472

บทที่ 472

ในเวลานี้อู่เหมยและอู่อิงเองก็นั่งอยู่ด้วย เมื่อได้ยินคำถามแบบนั้นทั้งสองสาวจึงเกิดความสนใจและหันมารับฟังอย่างตั้งใจ

ไม่มีใครคิดเลยว่าอู่หยูจะถามแบบนี้ ถังหยินประหลาดใจก่อนจะถาม “ณ ยอดเขาตะวันสิ้น เมืองแสงจันทร์ ใกล้ ๆ นี้ มันไม่มีใครรอดออกมานอกจากข้าอีก”

เมืองแสงจันทร์คือเมืองที่หยานหลี่เกิดและเมืองนั่นก็ได้ล่มสลายไปนานแล้วจึงไม่มีใครรู้จักมัน

อู่เหมยและอู่อิงแสดงสีหน้าตะลึงออกมา ทั้งสองไม่เคยได้ยินมันมาก่อน แม้แต่จี้หยาง ฮ่าวชุนและขุนนางอื่น ๆ เองก็ไม่เคยได้ยินเช่นกัน พวกเขามองถังหยินแล้วถาม “ท่านไม่ใช่คนแคว้นเฟิงหรือ ?”

ทุกสายตาต่างจับจ้องมาที่ถังหยินหลังจากคำพูดนี้ ด้วยถ้าถังหยินไม่ใช่คนเฟิง งั้นแล้วเขาก็ไม่อาจขึ้นเป็นอ๋องได้ !!

อู่หยูที่ได้ยินแบบนั้นก็ถึงกับถอนหายใจแล้วบอกกับจี้หยาง “ท่านจี้หยาง ยอดเขาตะวันสิ้นเป็นเขตของแคว้นเฟิงนั่นแล หากแต่มันเกิดขึ้นเมื่อนานมาแล้วตั้งแต่ที่เริ่มมีจักรวรรดิเฮาเตียน ส่วนเมืองแสงจันทร์เองก็เป็นเมืองโบราณเมื่อหลายพันปีที่แล้ว มันล่มสลายไปเพราะภัยพิบัติบางอย่าง ข่าวนี้ทำให้ทั้งจักรวรรดิตะลึงอยู่นานเลยทีเดียว”

ได้ยินแบบนั้นจี้หยาง ฮ่าวชุนก็รู้สึกอับอาย ทุกคนก้มหน้ากินกันต่อไปโดยแสร้งไม่สนใจประวัติศาสตร์นี้อีก

คนที่สนใจเรื่องนี้มีแค่เพียง อู่หยู เหลียงซิง และอีกสองคนเท่านั้น

เหลียงซิงพยักหน้าให้ “ท่านอู่พูดถูก ตอนนั้นที่เมืองแสงจันทร์ล่มสลาย ทำให้ทางราชสำนักวุ่นวายมากและส่งคนไปตรวจสอบแล้ว หากแต่พวกเขาก็ไม่ได้อะไรกลับมา”

ถังหยินเริ่มสนใจเรื่องนี้ขึ้นมาทันที เพราะเขามีความทรงจำของหยานหลี่อยู่ และไม่รู้เหมือนกันว่าทำไมเมืองแสงจันทร์ถึงล่มสลายไป “เมืองใหญ่แบบนั้นพังทลายไปในวันเดียว แถมพวกผู้ฝึกยุทธ์เองก็หายไปพร้อมกันด้วยใช่หรือไม่ ?”

เหลียงซิงยักไหล่ให้ “ไม่มีใครรู้เหมือนกันว่าเกิดอะไรขึ้น และต่อให้รู้พวกเราก็ไม่รู้หรอกว่ามันเป็นความจริงหรือเปล่า ยังไงเสียมันก็ผ่านมาตั้งห้าร้อยหรือพันปีที่แล้ว”

ไฟความหวังในใจถังหยินดับมอดอีกครั้ง เหลียงซิงหยุดพักสักนิดก่อนพูด “บางทีอาจจะมีบันทึกไว้ในบ่อศักดิ์สิทธิ์ก็ได้นะ เพราะพวกเขาเป็นคนไปสังเกตการณ์นี่นา”

ถังหยินเริ่มมีความหวังขึ้นมาอีกครั้งหนึ่ง

“หยุดพูดเถอะ กินกันดีกว่า” อู่หยูยกชูจอกสุราให้กับถังหยิน และเมื่อทุกคนเห็นแบบนั้น พวกเขาก็พลันทำตามทันที

ถังหยินกำลังเหม่ออยู่และไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น

หลังจากดื่มเหล้าไปแล้ว อู่หยูก็วางจอกลงแล้วยิ้มให้กับถังหยิน “คุณชายถัง ท่านคิดยังไงกับลูกสาวข้าหรือ ?”

ครั้งนี้ถังหยินไม่ได้ยินคำถามแม้แต่น้อย และเมื่อเห็นแบบนั้น สีหน้าของสองสาวก็เปลี่ยนไปทันที ชิวเจิ้นที่อยู่ข้าง ๆ จึงสะกิดถังหยินให้กลับสู่โลกความจริงอีกครั้ง

ชิวเจิ้นมองชายหนุ่มด้วยสายตาคาดคั้น ทำให้ถังหยินได้แต่ยิ้มออกมาและเอ่ยถามซ้ำ “ท่านอู่ ข้ากำลังคิดถึงเรื่องอื่นอยู่น่ะ ท่านถามอะไรข้างั้นหรือ ?”

อู่หยูไม่รู้ว่าจะหัวเราะหรือร้องไห้ดี “ข้าถามว่าเจ้าคิดยังไงกับลูกสาวข้า ?”

“งดงาม !”

“ฮ่าฮ่า ดี ๆ ลูกสาวข้ายังไม่ได้แต่งงานเลย แถมนางก็เริ่มมีอายุมากแล้วด้วย ข้าเองก็คิดเหมือนกันนะว่าท่านจะสนใจนางหรือเปล่า ?”

อู่หยูเป็นคนจริง ดังนั้นเขาจึงไม่คิดอ้อมค้อมเรื่องการขอแต่งงานนี้และพูดมันออกไปตรง ๆ

ทางด้านอู่เหมน เมื่อนางได้ยินแบบนั้นก็พลัยตะลึงด้วยใบหน้าที่แดงก่ำทันที ก่อนที่หญิงสาวจะเดินเข้าไปหาอู่หยูแล้วกระซิบ “ท่านพ่อ ?”

ถังหยินชอบอู่เหมยจากใจจริง และตอนนี้เรื่องนี้กำลังถูกยกขึ้นมาต่อหน้าทุกคน ซึ่งมันทำให้เขารู้สึกอึดอัด ด้วยถ้าเขาปฏิเสธเล่า ? มันจะเกิดอะไรขึ้นกัน… แต่ถ้าเขายอมรับ ก็คงต้องแต่งงานและไม่ได้ไปยุ่งกับหญิงอื่นอีก ไหนจะฟานหมินที่เขามีสัมพันธ์ไปแล้วด้วยล่ะ ?

ถังหยินได้แต่นิ่งงันไป และนอกจากเขาแล้ว อู่เหมยเองก็กำลังตกอยู่ในที่นั่งลำบากเช่นเดียวกัน สีหน้าของนางเริ่มมีความโกรธเข้ามาแทนที่ จนกระทั่งทนไม่ไหวและตั้งท่าจะเดินจากไป

เมื่อเห็นอู่เหมยกำลังจะหนีด้วยความโกรธ ถังหยินก็พลันใช้วิชาเคลื่อนย้านไปโอบเอวนางเอาไว้

ทุกคนที่อยู่ในงานเลี้ยงต่างก็ตกใจที่ได้เห็นผู้ใช้ศาสตร์มืดแสดงวิชาเป็นครั้งแรก

ทว่าอู่เหมยไม่สนใจแม้แต่น้อย นางสะบัดมือถังหยินออก หากแต่ชายหนุ่มก็ได้เอื้อมไปจับข้อมือนางอีกครั้ง ก่อนที่จะถูกสะบัดออกอีกจนเขาต้องบีบข้อมือนางเอาไว้

เมื่อไม่สามารถหนีได้ นางก็จึงเงยหน้าสบตาถังหยินแล้วกล่าว “ในเมื่อเจ้าไม่สนใจจะแต่งกับข้า งั้นก็อย่าบังคับข้าเลย !!”

ด้วยความงดงามของนาง จึงทำให้มีหลายคนหมายปองรวมไปถึงซ่งเทียนด้วย…

และเมื่อเห็นแบบนั้น พวกแม่ทัพในห้องก็จึงพากันมองอู่เหมยด้วยสายตาจริงจัง บีบให้หัวใจถังหยินต้องสั่นสะท้าน เขาเลยถือโอกาสนี้โอบไหล่ของนางพร้อมกับส่งสายตาที่ดุดันออกไป “จะไม่มีใครได้แต่งงานกับเจ้านอกจากข้า !”

ภายใต้อ้อมกอดของชายหนุ่ม หญิงสาวรู้สึกว่ามันอบอุ่นยิ่งกว่าอะไรดี.. แม้ว่าจะทำให้นางรู้สึกเจ็บก็ตาม “ถ้าเจ้าไม่ยอมเล่า แล้วข้าจะทำอะไรได้กัน ต้องอยู่คนเดียวไปตลอดชีวิตงั้นหรือ ?”

ถังหยินขมวดคิ้ว “นั่นไม่ได้หมายความว่าข้าไม่ได้อยากแต่งงานกับเจ้า แต่เพราะข้าไม่มีเวลาต่างหาก !”

“ข้าไม่เชื่อเจ้า !”

ถังหยินพูดต่อ “ถ้างั้นก็ให้สวรรค์เป็นคนพิสูจน์เอง !”

ก่อนที่ทั้งสองจะเถียงกันไปมากกว่านี้ อู่หยูก็พลันหัวเราะแล้วปรบมือลั่น “ในเมื่อถังหยินไม่ได้ไม่สนใจลูกสาวข้า และเจ้าเองก็ไม่ค่อยมีเวลา งั้นข้าก็คิดว่าพวกเจ้าควรหมั้นหมายกันให้เรียบร้อยเสียก่อน”

“เอาตามนั้นเลยก็ได้” ถังหยินพยักหน้าให้

“ยินดีด้วยท่านอู่ ยินดีด้วยท่านถัง ยินดีด้วยท่านอู่เหมย !”

ทั้งห้องลุกขึ้นปรบมือให้กับทั้งสามคนเพื่อแสดงความยินดี

ใบหน้าของหญิงสาวแดงก่ำ นางก้มหน้าลงด้วยความเขินอาย

อู่หยูเองก็หัวเราะออกมาแล้วรับความรู้สึกของทุกคนเอาไว้ สำหรับเขาแล้ว วันนี้ถือว่าเป็นวันที่ดีเกินกว่าจะสอบสวนซ่งเทียนได้ เพราะว่าในตอนนี้เขาสามารถรับประกันตำแหน่งและหน้าที่ของตระกูลอู่ได้แล้ว !!

เมื่อเห็นรอยยิ้มบนใบหน้าของอู่หยู ถังหยินก็ถอนหายใจ ตาแก่เจ้าเล่ห์คนนี้ยื่นข้อเสนอที่เขาไม่อาจขัดได้ต่อหน้าทุกคน ไม่งั้นล่ะก็จะต้องกระทบกระทั่งกันทุกฝ่ายแน่ และเมื่อคิดแบบนั้น ถังหยินก็ได้แต่ก้มหน้าแล้วมองอู่เหมยที่แสนสวยงามคนนี้ ทำให้ความรู้สึกหงุดหงิดในใจหายหมดไปในทันที ด้วยตราบเท่าที่อู่เหมยมีความสุขเขาก็พอใจแล้ว !

มื้อนี้ถือว่าเป็นมื้อที่ดีที่สุดในชีวิตของอู่หยู แต่สำหรับถังหยินแล้วมันช่างให้ความรู้สึกที่ประหลาด อย่างไรก็ตามเขาเองก็ดีใจสุด ๆ เช่นกัน และเมื่อเขาได้ตอบตกลงเรื่องการหมั้นหมายนี้ มันก็ทำให้เขาเข้าใกล้กับสิ่งที่เรียกว่า ‘ครอบครัว’ ที่เขาขาดหายไปนานมากขึ้นไปอีกก้าวหนึ่ง !!