บทที่ 34 เทพเสเพล

บุหลันเคียงรัก

ที่แท้วังที่เขาเห็นใต้ดินเมื่อครู่นี้ก็คือที่อยู่ของราชาหนู มีที่อยู่ของเผ่าปีศาจโบราณอยู่ ปีศาจปลาดุกตนนั้นเกรงว่าคงไม่กล้าทำอะไรบุ่มบ่ามแน่

 

 

ฝูชางคารวะตอบแล้วถามว่า “ทำไมศิษย์พี่เซ่าอี๋ถึงมาอยู่ที่นี่”

 

 

เซ่าอี๋จิบเหล้าในจอกหยกน้ำเงินที่หนิงอิงส่งมาคำหนึ่ง จากนั้นจึงยิ้มแล้วกล่าวว่า “ข้าชักจะเบื่อทะเลบูรพาแล้ว ก็เลยลงมาหาหนิงอิงที่โลกเบื้องล่าง คิดไม่ถึงเลยว่าจะได้เจอกับศิษย์น้องฝูชาง”

 

 

ต่างพูดกันว่าเทพเซ่าอี๋ตระกูลชิงหยางหล่อเหลาและบุคลิกดี ดูแล้วไม่เพียงแต่จะหล่อเหลาเท่านั้น ยังใจกล้าไม่เบาด้วย แม้แต่องค์หญิงของเผ่าปีศาจโบราณยังกล้าไปแตะต้อง ไม่ได้สนใจเลยว่ากำลังดื่มเหล้าจีบสาวบนบ้านของคนอื่น

 

 

องค์หญิงหนูที่ชื่อหนิงอิงคนนั้นนั่งอยู่ในอ้อมแขนของเซ่าอี๋ ดวงตาของนางกลับจ้องมาที่ฝูชางเขม็ง เห็นคอเสื้อของเขาแหวกออกจนเห็นกระดูกไหปลาร้าครึ่งหนึ่ง ดวงตาของนางก็เร่าร้อนขึ้น หัวเราะออกมาเบาๆ

 

 

ฝูชางปิดคอเสื้อด้วยสีหน้าเรียบเฉย “ศิษย์พี่เซ่าอี๋อารมณ์ดีจริง”

 

 

เซ่าอี๋มองไปยังผมรกรุงรังของเขาและร่องรอยขาดวิ่นบนเสื้อผ้าแล้ว ก็อดหัวเราะออกมาไม่ได้ “ทำไมศิษย์น้องฝูชางถึงได้มีสภาพเยี่ยงนี้ได้ ไปเจอเรื่องยุ่งยากอะไรเข้าหรือ”

 

 

ฝูชางกำลังจะพูด แต่ดูแล้วปลาดุกอุยในอกเสื้อของเขาจะไม่ค่อยชอบกลิ่นเหล้าในศาลานี่นัก ถึงได้จามออกมาอย่างแรง จากนั้นก็ดิ้นขลุกขลักไปมาในเสื้อ ไม่ว่าเขาจะขัดขวางอย่างไรก็ไร้ผล นางออกแรงมุดเข้าไปในอกเสื้อ ปีนป่ายไปมา สุดท้ายก็โผล่หัวออกมานอกเสื้อและจามออกมาอีกครั้ง

 

 

จอกหยกในมือของเซ่าอี๋ตกลงพื้น ร้องด้วยความตกใจว่า “ปลาดุกอุยน้อยรึ”

 

 

องค์หญิงหนิงอิงที่นั่งอยู่อีกด้านสีหน้าเปลี่ยนไปทันใด นางรีบถอยไปหลายก้าวอย่างรวดเร็วแล้วกล่าวด้วยสีหน้าหวาดกลัวว่า “เทพมังกรจู๋อิน?! “

 

 

นางคือปีศาจเผ่าหนู เมื่อมาเจอกับมังกรจากโลกเบื้องบนย่อมกลัวโดยสัญชาตญาณอยู่แล้ว ซ้ำร้ายนี่ยังเป็นถึงเผ่าเทพมังกรจู๋อินอันเป็นที่เคารพในหมู่มังกรนับหมื่นอีก นางแปลงร่างเป็นสายลมแล้วพุ่งออกไปจากศาลาทันที พลางกล่าวว่า “เซ่าอี๋ ข้าอยู่เป็นเพื่อนท่านไม่ได้แล้ว ท่านต้องมาหาข้าบ่อยๆ นะ เทพฝูชางไว้พบกันใหม่ ข้ายินดีที่จะแลกเปลี่ยนหยินหยางกับท่านเทพ แล้วแต่ตามที่ท่านสะดวกเลย”

 

 

ปีศาจโลกเบื้องล่างใจกล้าและพูดตรงมาก นางยิ้มอย่างอ่อนหวานแล้วหายไปกับสายลม

 

 

เซ่าอี๋หยิบจอกหยกขึ้นมา เช็ดรอยเหล้าที่จอกแล้วปรายตามองมาที่ฝูชางคล้ายยิ้มคล้ายไม่ยิ้ม “เจ้านี่นะ มาถึงก็มาแย่งความเด่นของข้า อีกหน่อยเจ้าต้องระวังให้มาก ปีศาจสาวพัวพันเก่ง”

 

 

พูดแล้วเขาก็เดินเข้ามาใกล้ๆ เพื่อไปมองปลาดุกอุยน้อยที่ไร้เรี่ยวแรงตัวนั้น แล้วก็เห็นเขามังกรน่ารักสองอันบนศีรษะของนาง เขาอดไม่ได้อยากจะยื่นมือออกไปคลำดู แต่ว่าฝูชางกลับขวางเอาไว้ แล้วกล่าวเสียงต่ำว่า “ศิษย์พี่เซ่าอี๋ นางได้รับบาดเจ็บ”

 

 

“ข้ารู้ว่านางได้รับบาดเจ็บ” เซ่าอี๋ยิ้ม “ไม่อย่างนั้นนางจะเผยร่างมังกรออกมาได้อย่างไร ดูแล้วคงบาดเจ็บไม่น้อย พวกเจ้าไปเจอเรื่องอะไรมากันแน่”

 

 

ฝูชางเล่าเรื่องคร่าวๆ เซ่าอี๋สูดลมหายใจเข้าลึกๆ “หมายความว่า ปีศาจปปลาดุกที่กินเทพตนนั้น…หน้าตางดงามมาก”

 

 

ฝูชางกล่าวเรียบๆ “ไม่ผิด ร้ายกาจมาก”

 

 

“งดงามกว่าเผ่าเทพอีกหลายๆ ตนหรือไม่”

 

 

“ร้ายกาจกว่าเทพมากมายนัก”

 

 

“ก่อนที่จะกินเหล่าเทพ ยังต้องเสพสุขก่อนด้วยหรือ”

 

 

“ก่อนกินจะใช้ค่ายกลชีซาชิงเอาพลังเทพไปจนหมด”

 

 

เซ่าอี๋ถอนหายใจแล้วกล่าวว่า “ทำไมการบ้านของข้าถึงไม่ใช่อันนี้ อาจารย์ช่างลำเอียงจริงๆ! “

 

 

ฝูชางมองไปที่เขาแล้วกล่าวว่า “ศิษย์พี่เซ่าอี๋ไม่ต้องถอนหายใจไป จากความจริงใจของศิษย์พี่ ทำไมจะไม่ได้เจอนาง”

 

 

“ถ้าอย่างนั้นก็จะดีมาก” เซ่าอี๋ยิ้มออกมา แล้วพลันลงมือเร็วราวกับสายฟ้า ไปช้อนเอาปลาดุกอุยน้อยมาจากในอกเสื้อเขา แล้วดึงผ้าที่พันขาขวาของนางออกมา คีบไว้ระหว่างนิ้วพลางพินิจดูแผลของนาง จากนั้นจึงยิ้มแล้วกล่าวว่า “ตายแล้ว! บาดเจ็บในจุดที่ไม่มีเกล็ด มิน่าเล่า ปลาดุกอุยน้อยที่น่าสงสาร ข้าดูแล้วยังปวดใจเลย จะช่วยเจ้าหน่อยแล้วกัน”

 

 

เขาเป่าลมใส่ปลาดุกอุยน้อยที่กำลังหลับลึกอยู่เบาๆ ทันใดนั้นที่ท้องของปลาดุกอุยก็มีแสงสีทองสว่างขึ้นมาปกคลุม ไม่นาน แสงสีทองก็ซึมเข้าไปด้าน บาดแผลที่ขาขวาของนางที่เดิมลึกจนมองเห็นกระดูกก็สมานกัน

 

 

ไม่ใช่ว่าวิชาทุกอย่างใช้กับเผ่าจู๋อินไม่ได้หรือ ฝูชางลอบประหลาดใจ นี่มันวิชาอะไรกัน

 

 

เซ่าอี๋เอาปลาดุกอุยน้อยมาวางบนฝ่ามือแล้วมองดูอย่างละเอียด กำลังคิดจะยื่นมือไปคลำเขามังกรสองอันของนาง ก็ได้ยินเสียง “ปุ” ปลาดุกอุยตัวนี้เปลี่ยนร่างกลับมาเป็นคนในบัดดล เขาใช้มือรับเอาไว้ และคลายเข็มขัดที่รัดอยู่ที่เอวของนางอย่างไม่เกรงใจ ปลายนิ้วเพิ่งจะถูกเสื้อของนางไม่ทันไร ฝูชางที่อยู่ตรงข้ามก็มาขวางเอาไว้อีก

 

 

“ศิษย์พี่เซ่าอี๋” เขากล่าวเนิบๆ “ดูแผลไม่จำเป็นต้องเปลื้องผ้า”

 

 

เซ่าอี๋ยิ้มอย่างผู้บริสุทธิ์ “เจ้าพูดถูก”

 

 

เขาก้มลงไปถลกกระโปรงของเสวียนอี่ และดึงขึ้นมาถึงแค่เข่า จึงเห็นว่าแผลสามแผลที่ขาขวาของนางไม่มีเลือดไหลออกมาแล้ว ผิวด้านนอกก็เหมือนจะสมานกันบ้างแล้ว

 

 

ได้ยินมาตลอดว่าตระกูลชิงหยางและตระกูลจู๋อินไม่กินเส้นกัน คิดไม่ถึงเลยว่าตระกูลจู๋อินที่ทุกวิชาไร้ผล พอมาอยู่ในมือของตระกูลชิงหยางแล้วกลับไม่เหมือนกัน ฝูชางครุ่นคิดอย่างไม่เข้าใจแล้วถามว่า “ศิษย์พี่เซ่าอี้ใช้วิชาอะไร”

 

 

เซ่าอี๋ยิ้มแล้วปิดชายกระโปรงลงมา “เจ้าไม่รู้จะดีกว่า”

 

 

เขาเขย่าเสวียนอี่ในอ้อมอกแล้วถอนหายใจยาว “ปลาดุกอุยน้อยตัวนี้หนักจริงๆ ทั้งยังเย็นมากด้วย ให้เจ้าอุ้มไปเถอะ”

 

 

ฝูชางถูกเขาเอาเสวียนอี่ยัดเข้ามารีบยื่นมือออกไปรับเอาไว้ และยังช่วยเอาผ้าพันแผลที่ขาขวานางไว้อย่างดี องค์หญิงมังกรผู้นี้ก็หลับลึกเสียจริง หน้าทั้งหน้าฝังลงไปในเสื้อคลุมของเขา ไม่รู้ว่าจะตื่นมาเมื่อไหร่

 

 

ลมที่ยอดหน้าผาพลันแรงขึ้น เสื้อของเทพทั้งสองถูกลมพัดจนปลิวไสว เซ่าอี๋ดื่มเหล้าในจอกหมดก็คิดจะรินเพิ่มอีก แต่ว่าเหล้าในกากลับหมดแล้ว เขาเขย่ากาเบาๆ ด้วยท่าทีเมาเล็กน้อย กล่าวว่า “ถ้าอย่างนั้น ไปเถอะ”

 

 

นี่ต่างหากที่เรียกว่ากระหายในเรื่องรักๆ ใคร่ๆ ไม่รู้จบจริงๆ

 

 

ฝูชางมองไปยังท้องฟ้ายามดึก เขารับรู้ได้ถึงไอปีศาจของปีศาจปลาดุกตนนั้นได้แล้ว เพราะที่นี่อยู่บนวังของราชาหนู นางจึงยังระแวดระวังบ้างและยังไม่กล้าลงมือ แต่ถ้าหากออกไปจากที่นี่ ผลลัพธ์นั้นเขาไม่อยากจะนึกถึงเลย

 

 

เขาปรายตามองไปที่เซ่าอี๋ “เกรงว่าศิษย์พี่จะเมาแล้ว”

 

 

เซ่าอี๋ยิ้มแล้วกล่าวว่า “ตายใต้ดอกโบตั๋น ต่อให้เป็นผีก็ได้ทำตามใจ[1] หากว่าได้พบหน้าของเทพีอูเจียง ต่อให้นางกินข้าเข้าไป แล้วจะทำไม”

 

 

พอกล่าวจบ เสียงอ่อนหวานของเทพีอูเจียงก็ลอยมาตามลม “เทพน้อยองค์นี้เป็นผู้รู้จักชีวิตที่แท้จริง ไม่เหมือนกับเทพฝูชาง ที่ทำร้ายคนอื่นเขา จนกระทั่งตอนนี้ก็ยังเจ็บอยู่มาก”

 

 

พอจบ เงาร่างที่งดงามของนางก็ราวกับน้ำหมึกที่หยดลงน้ำ ค่อยๆ ชัดเจนขึ้น ก่อนจะเยื้องกรายมาที่ข้างกายของเซ่าอี๋ นางยิ้มแล้วพิจารณาเขา ครั้นเห็นว่าหน้าตาของเขาไม่ได้ด้อยไปว่ากับฝูชางเลย นางจึงยื่นมือออกไปลูบใบหน้าของเขาแล้วกล่าวเสียงนุ่มนวลว่า “เจ้าเป็นใคร”

 

 

เซ่าอี๋โอบบ่านางอย่างไม่เกรงใจ อีกมือก็เชยคางนางขึ้น ก้มหน้าลงพร้อมกับยิ้มพลางถามกลับว่า “แล้วเจ้าเล่าเป็นใคร”

 

 

เทพีอูเจียงพลันยิ้มออกมา “ข้ารู้แล้ว เจ้าจะต้องเป็นเทพเซ่าอี๋แน่ๆ เจ้ารู้หรือไม่ว่า ที่โลกเบื้องล่างนี้มีปีศาจสาวเท่าไหร่ที่คิดถึงเจ้าไปถึงกระดูก”

 

 

เซ่าอี๋กล่าวอย่างนุ่มนวลอ่อนหวานว่า “ที่แท้ข้าก็มีชื่อเสียงอย่างนี้ แล้วเจ้าเล่า ยินดีที่จะมาเป็นหนึ่งในพวกนางหรือไม่”

 

 

เทพีอูเจียงหัวเราะออกมา “พวกเจ้าทั้งสองคนข้าล้วนชอบทั้งนั้น องค์หญิงน้อยตระกูลจู๋อินคนนั้นข้าเองก็ชอบมาก ทำอย่างไรดี ข้าทิ้งไม่ลงเลยสักคน พวกเจ้าตามข้ากลับไปเป็นอย่างไร”

 

 

มือทั้งสองของนางประกบเข้าหากันอย่างฉับพลัน เทพทั้งสองรู้สึกว่าภาพตรงหน้าเปลี่ยนไป จากนั้นก็มาถึงตำหนักเทพแม่น้ำแล้ว

 

 

เซ่าอี๋สีหน้าเปลี่ยนไปเล็กน้อย ปีศาจปลาดุกตนนี้กลับมีตบะที่ลึกล้ำขนาดนี้ บนวังของราชาหนูนางก็ยังกล้าลงมือจริงๆ

 

 

“ตอนที่เทพฝูชางจากไปเขาลงมือไว้หนักมาก ทำให้ค่ายกลชีซาที่ข้าสร้างขึ้นมาอย่างยากลำบากเสียหาย” เทพีอูเจียงถอนหายใจ แล้วลงมายืนบนพื้นสีดำ นางชี้นิ้วมาที่ร่างของตัวเอง กระโปรงยาวสีเลือดหมูที่แนบไปกับเรือนร่างนางมีรอยขาดมากมาย ทั้งยังมีรอยเลือดติดอยู่ “ยังทำร้ายคนเขาด้วย ใจดำจริงๆ “

 

 

สายตาของนางมองไปยังใบหน้าเย็นชาดุจน้ำแข็งของฝูชาง เขาทำเป็นไม่เห็นแล้วใช้เสื้อคลุมห่อร่างของเสวียนอี่ที่กำลังหลับลึกในอกของเขาจนกลายเป็นดักแด้อีกครั้ง มือหนึ่งกอดนางไว้ อีกมือก็ชักกระบี่ฉุนจวินมาถือไว้

 

 

เทพีอูเจียงกล่าวเสียงหวานว่า “เอาอย่างนี้แล้วกัน เจ้าส่งองค์หญิงน้อยตระกูลจู๋อินมาให้ข้า แล้วเทพน้อยทั้งสองอย่างพวกเจ้าก็มาคุยเล่น จิบชาเป็นเพื่อนข้า พอข้าอารมณ์ดีแล้วก็จะปล่อยพวกเจ้าทั้งสองไป เป็นอย่างไร”

 

 

เขายังคงไม่พูดอะไร แต่ว่าเซ่าอี๋ที่อยู่ข้างๆ เดินวนไปมารอบตำหนักที่เต็มไปด้วยม่านหมอกและหญ้ารกครึ้มรอบหนึ่ง เอามือไพล่หลังแล้วทอดถอนใจ “เทพีรูปโฉมงดงามขนาดนี้ แต่กลับดูแลตำหนักเทพแม่น้ำได้ไม่ดีทั้งยังทรุดโทรมอีก เทพีอยู่เข้าไปได้อย่างไรกัน”

 

 

 

 

—-

 

 

[1] ตายใต้ดอกโบตั๋น ต่อให้เป็นผีก็ยังได้ทำตามใจ : เป็นการเปรียบเปรยว่า หญิงสาวหน้าตางดงามมาก หากว่าชายคนนี้ได้ผู้หญิงคนนี้มา ต่อให้ต้องตายก็ยินยอม