บทที่ 35 ล้างหูรอฟัง

บุหลันเคียงรัก

เขาพูดบ่นออกมาจากใจอย่างนี้ แม้แต่เทพีอูเจียงยังรู้สึกละอายใจขึ้นมา กล่าวเสียงเบาว่า “เป็นข้าที่สะเพร่าเอง…”

 

 

เซ่าอี๋นั่งขัดสมาธิลงที่พื้นอย่างช้าๆ ปลายนิ้วดีดไปที่พื้นเย็นนั้นเบาๆ “ข้าจะช่วยเทพีปลูกต้นไม้ใบหญ้า ดูแล้วจะได้จำเริญหูจำเริญตา”

 

 

เขาสะบัดแขนเสื้อ สีเขียวชอุ่มแผ่ไปทั่วพื้นในบัดดล ต้นไม้ใบหญ้าสีเขียวมากมายนับไม่ถ้วนพยายามงอกออกมาจากดินสีดำ ไม่นานก็สูงถึงน่อง

 

 

เทพีอูเจียงยังไม่ทันจะเอ่ยปากชม ก็เห็นว่านิ้วชี้และนิ้วโป้งของเขาจรดเป็นวงกลมแตะบนริมฝีปากก่อนจะเป่าลมเบาๆ สายลมอุ่นสายหนึ่งก็พัดมายังตำหนักเทพแม่น้ำ หญ้าเหล่านั้นราวกับถูกปลุกเร้า พากันสั่นไหวไปมา ดอกตูมงดงามที่สวยงามแทงยอดออกมาดอกแล้วดอกเล่า ราวกับฤดูใบไม้ผลิมาเยือน งดงามตระการตาไปทั่วทุกแห่งหนในชั่วพริบตาเดียว

 

 

“สวยมาก…” เทพีอูเจียงหันหน้ากลับไปมองเขาอย่างไม่อยากจะเชื่อ “สมแล้วที่เป็นท่านเทพเซ่าอี๋ เทพที่สตรีนับพันนับหมื่นต่างเฝ้าถวิลหา”

 

 

เซ่าอี๋ยิ้มน้อยๆ แล้วดีดนิ้วครั้งหนึ่ง ดอกไม้มากมายนับไม่ถ้วนพลันเบ่งบานพร้อมกัน ตำหนักเทพแม่น้ำที่เย็นยะเยือกกลายเป็นอบอุ่นหาใดเปรียบขึ้นมา เกสรดอกไม้ของทุกดอกราวกับเปลวเพลิงอมตะของหงส์ไฟสวยสดที่กำลังลุกโชน

 

 

สีหน้าของเทพีอูเจียงเปลี่ยนไปเล็กน้อย แต่เขากลับบิดขี้เกียจแล้วนอนตะแคงตัวบนพื้นหญ้าอย่างเกียจคร้าน แล้วสั่งนางอย่างไม่แยแสแม้แต่น้อย “สุรารสเลิศอยู่ที่ใด ข้ายินดีจะร่วมเมามายไปกับเทพี”

 

 

เทพีอูเจียงหรี่ตาคู่สวยลงแล้วกล่าวเสียงนุ่มนวลว่า “เทพเซ่าอี๋โปรดรอสักครู่ ข้าจะไปเอามาให้”

 

 

นางแตะปลายเท้าเบาๆ เหยียบไปบนกองเพลิงอมตะของหงส์ไฟกองหนึ่ง กองเพลิงนั้นก็ดับลงไปอย่างเงียบเชียบ ทุกครั้งที่นางก้าวไปหนึ่งก้าว ก็จะเหยียบกองเพลิงนั้นดับไปหนึ่งกอง ไม่ช้าไม่เร็วก็เข้าไปในตำหนักเทพแม่น้ำที่อยู่ไม่ไกลนั้น

 

 

เซ่าอี๋ถอนหายใจออกมา ขมวดคิ้วมองไปที่ฝูชาง”นางร้ายกาจขนาดนี้เชียว ข้าสู้นางไม่ได้ จะทำอย่างไรดี”

 

 

ฝูชางนั่งขัดสมาธิลงที่พื้น แล้วเอาเสวียนอี่วางไว้ที่ขา กล่าวเสียงเย็นว่า “ศิษย์พี่เซ่าอี๋ได้ลองสมใจแล้ว ไยต้องหน้านิ่วคิ้วขมวดด้วย”

 

 

อันที่จริงเขาคร้านจะตำหนิเรื่องที่ศิษย์พี่เสเพลคนนี้ของเขาหาเรื่องเอง เห็นเขามีท่าทีสุขุมอย่างนี้ ยังคิดว่ามีวิธีที่ยอดเยี่ยมอะไร เขาคิดมากไปเองจริงๆ

 

 

เซ่าอี๋ถอนหายใจยาว “ข้าก็แค่กราบอาจารย์เร็วกว่าเท่านั้น หากว่าพูดถึงอายุแล้วข้าไม่ได้โตกว่าเจ้าด้วยซ้ำ ไม่ต้องเรียกข้าว่าศิษย์พี่อีกแล้ว ข้ารู้ดีว่าวิชากระบี่ของเจ้ายอดเยี่ยมมาก มาคิดกันว่าจะใช้วิธีอะไรหนีออกไปกันดีกว่า”

 

 

หากว่าหนีไปได้ พวกเขาคงจะหนีไปนานแล้ว ฝูชางส่ายหัวเบาๆ ไม่รู้ว่าเทพีอูเจียงใช้วิธีอะไร ทำให้ไม่ว่าพวกเขาไปไกลขนาดไหนก็ยังไล่ตามหลังพวกเขามาได้อย่างไม่ใกล้ไม่ไกลอย่างนี้

 

 

เซ่าอี๋จ้องมองเสวียนอี่ในอ้อมอกของฝูชาง “รีบปลุกนางขึ้นมา หากพูดถึงเรื่องแผนการแล้ว นางมีมากที่สุด”

 

 

ฝูชางใช้เสื้อคลุมคลุมศีรษะนางไว้แล้วกล่าวเตือนว่า “นางบาดเจ็บอยู่”

 

 

“แต่นี่ก็ควรจะตื่นได้แล้ว” เซ่าอี๋มองไปยังเทพีอูเจียงที่ยกโต๊ะสุราออกมาจากในตำหนัก ก็อดที่จะถอนหายใจไม่ได้ “นางงดงามมากก็จริง แต่ว่าข้ากลับรู้สึกหวาดกลัว”

 

 

เทพีอูเจียงเดินบนกองไฟเข้ามาใกล้ วางโต๊ะสุราลงพร้อมกับยิ้มแล้วกล่าวว่า “เทพเซ่าอี๋แอบพูดจาให้ร้ายลับหลังคนอื่นเขา เช่นนี้ไม่ค่อยจะดีหรอกนะ”

 

 

พูดจบ นางก็พลิกเอาแก้วที่ทำจากผลึกใสสี่ใบขึ้นมา รินสุราลงไปจนเต็ม พอได้ไฟอมตะจากหงส์ไฟช่วยอุ่นร้อนแล้ว กลิ่นสุราก็ยิ่งแรงขึ้นเข้มขึ้น นี่คือสุรามีชื่อของแดนเทพ ‘อู๋ซ่างฉางหรง’

 

 

เซ่าอี๋ใช้นิ้วสองนิ้วคีบแก้วใสขึ้นมา แล้วมองไปยังสุราสีเขียวใสในนั้นพลางบ่นอุบว่า “เทพีอย่าได้เก่งกาจเกินไปนัก ทำเอาข้าไม่กล้าไม่เกรงใจเลย”

 

 

เทพีอูเจียงลอบอมยิ้ม “บุรุษในใต้หล้านี้ ไม่ว่าจะเป็นมนุษย์ เทพ ปีศาจหรือว่ามาร ต่างก็ไม่นิยมชมชอบสตรีที่เก่งกาจเกินไปทั้งนั้น คำพูดของเทพเซ่าอี๋ ข้าได้ยินมามากแล้ว”

 

 

“อ้อ เคยมีเทพจากเบื้องบนมาดื่มสุราสนทนากับเทพีมาก่อนหรือ”

 

 

เทพีอูเจียงใช้แขนเสื้อปิดใบหน้าครึ่งหนึ่งแล้วดื่มสุราในแก้วลงไป แล้วจึงกล่าวว่า “ผู้ที่ยินดีที่จะพูดคุยหยอกเล่นกับข้าอย่างนี้ เทพเซ่าอี๋นับเป็นคนที่สอง”

 

 

เซ่าอี๋ใช้ปลายนิ้วหมุนแก้วแต่กลับไม่ได้ดื่มลงไป จากนั้นก็กล่าวพร้อมรอยยิ้มราวกับกำลังคุยเรื่องสัพเพเหระว่า “เรื่องเป็นมาอย่างไรบ้าง”

 

 

ราวกับนางนึกถึงเรื่องอะไรในใจขึ้นมาได้ กล่าวเสียงเบาว่า “ข้าไม่ได้พูดคุยกับใครอย่างนี้มาหลายปีแล้ว เทพน้อยอย่างเจ้าช่างรู้จักเอาใจผู้อื่นนัก ข้าถามเจ้าจริงๆ ว่า รูปโฉมข้าเป็นอย่างไร ตบะเป็นเช่นไร แล้วถ้าเทียบกับเทพธิดาของแดนเทพเบื้องบน ข้าเป็นอย่างไรบ้าง”

 

 

เซ่าอี๋จ้องนางอย่างพินิจพิเคราะห์แล้วกล่าวชมว่า “เทพีรูปโฉมงดงาม น้ำเสียงก็ไพเราะ เทพสาวที่รูปโฉมงดงามกว่าท่าน ตบะก็สู้ท่านไม่ได้ ส่วนผู้ที่ตบะแข็งแกร่งกว่าท่าน รูปโฉมก็สู้ท่านไม่ได้”

 

 

เทพีอูเจียงยิ้มน้อยๆ “แต่ว่าบรรดาเทพอย่างพวกเจ้า สุดท้ายก็มักจะเลือกเทพสาวที่รูปโฉมสู้ข้าไม่ได้ ตบะสู้ข้าไม่ได้อยู่ดี”

 

 

เซ่าอี๋กล่าวอย่างงงงันว่า “เทพองค์ไหนกันที่มีตาหามีแววไม่เยี่ยงนี้ เทพีอย่าได้ขุ่นเคืองไป พอกลับไปแล้วข้าจะไปจัดการแก้แค้นแทนท่านเอง”

 

 

เทพีอูเจียงกลอกตาไปมา กล่าวเสียงเล็กว่า “ชายไร้สัจจะคนนี้ถูกข้าฉีกเป็นชิ้นๆ แล้วกลืนลงท้องไปแล้ว วันแรกข้ากินเขาไปส่วนหนึ่ง วันต่อมาค่อยกินนางอีกส่วนหนึ่ง ให้พวกเขาทั้งสองมองตากันไป ภาพเช่นนั้นช่างน่าอภิรมย์นัก”

 

 

เซ่าอี๋ยิ่งอึ้งงันเข้าไปอีก “มิทราบว่าพวกเขาทำอะไรกับเทพี ถึงได้ทำให้เทพีผู้สูงส่งบริสุทธิ์เช่นนี้ลงมือขั้นเด็ดขาดได้ถึงเพียงนี้”

 

 

เทพีอูเจียงหัวเราะคิกคัก ใบหน้าแดงก่ำ ผลักเขาเบาๆ “ปากเจ้าช่างหวานเสียจริง ก็ได้ ข้ารู้ว่าพวกเจ้ากำลังถ่วงเวลาอยู่ อยากจะรอให้โลกเบื้องบนมาช่วยเหลือ แต่น่าเสียดายนัก หากไม่ใช่เทพระดับมหาเทพเช่นเดียวกับอาจารย์ของพวกเจ้าลงมา บรรดาทหารสวรรค์เหล่านั้นข้ามีอะไรต้องกลัว ขอบอกให้เจ้ารู้ไว้ มีวันหนึ่งข้าได้ช่วยเหลือเทพของโลกเบื้องบนเอาไว้ เขาตื้นตันใจและซาบซึ้งมาก จึงได้อยู่เป็นเพื่อนข้าที่โลกเบื้องล่าง บอกว่าจะตอบแทนข้า แต่น่าเสียดายที่เทพองค์นั้นกลับไปพบกับเทพธิดาองค์หนึ่งเข้าแล้วเกิดเปลี่ยนใจ อยากจะแต่งงานกับนางแล้วกลับไปแดนเทพ ข้าบันดาลโทสะจึงจับพวกเขาทั้งสองกินซะ รสชาติเทพไม่เลวเลย ดีกว่ากินมนุษย์มากนัก นับแต่นั้นมาข้าจึงชอบกินเทพ และไม่อยากจะกินเนื้อมนุษย์อีก”

 

 

ฝูชางมองนางยิ้มไปพลางพูดเรื่องโหดร้ายเช่นนี้ไปพลาง ก็อดที่จะขมวดคิ้วไม่ได้

 

 

พอลองคิดถึงเรื่องที่นางพูดถึง ดูแล้วเหมือนว่านางจะเคยพบกับมหาเทพไป๋เจ๋อมาก่อน และนางยังยึดติดกับสร้อยไข่มุกเส้นนั้นอย่างมากด้วย…สร้อยไข่มุกรึ

 

 

ฝูชางพลันนึกขึ้นได้ เขามั่นใจว่าทางที่เขาหนีไปนั้นไม่มีทิ้งร่องรอยอะไรเอาไว้เลย แต่ว่าเทพีอูเจียงกลับยังตามมาจนสลัดไม่หลุดได้ หรือว่า นางจะทำอะไรกับสร้อยไข่มุกไว้

 

 

เขาก้มหน้าลงไปลูบที่อ้อมอกของเสวียนอี่ อยากจะเอาสร้อยไข่มุกออกมาตรวจสอบดูให้ละเอียด แต่ใครจะรู้ว่าข้อมือของเขากลับถูกเสวียนอี่จับเอาไว้แน่น ใบหน้าของนางบิดออกมาจากเสื้อคลุมตัวหนาเป็นชั้นๆ นั้นและกำลังจ้องเขาเขม็งอย่างไม่เป็นมิตร

 

 

อย่าแตะข้า นางขยับปากกล่าวเตือนเขาอย่างไร้เสียง

 

 

ฝูชางรู้สึกว่าโทสะที่หายไปนานกลับมาอัดแน่นในอกอีกครั้ง เขามองไปที่นางด้วยสีหน้าไร้อารมณ์กล่าวเสียงราบเรียบว่า “เจ้าตื่นแล้ว”

 

 

ไม่รู้ว่าตื่นตั้งแต่เมื่อไหร่ ดูแล้วเหมือนว่านางยังคิดจะแกล้งหลับต่ออีกด้วย

 

 

เสวียนอี่เตือนไม่ให้ฝูชางส่งเสียง ใครจะรู้ว่าเพลิงอมตะของหงส์ทำให้สุราอู๋ซ่างฉางหรงถูกต้มจนกลิ่นหอมฟุ้งกำจาย นางสูดลมหายใจเข้าไปก็จามออกมาทันที และได้แต่ต้องลุกขึ้นนั่งอย่างหัวเสีย

 

 

เมื่อครู่นี้ตอนที่เทพีอูเจียงใช้พลังปีศาจลากพวกเขาให้มาที่ตำหนักเทพแม่น้ำนางก็ได้สติแล้ว พอเห็นสถานการณ์ไม่ดี เดิมทีนางคิดจะแกล้งหลับไปให้ถึงที่สุด แต่ว่าปีศาจตนนี้กลับเตรียมสุราอู๋ซ่างฉางหรงมาเสียได้ จริงๆ เลย!

 

 

เทพีอูเจียงปรายตามองมาที่นางอย่างเหยียดหยาม “ในเมื่อองค์หญิงน้อยตื่นแล้ว ไยจะต้องฝืนทนแกล้งหลับต่ออีก สุราข้ารินให้เจ้าแล้ว องค์หญิงก็ให้เกียรติข้าดื่มลงไปเถอะ”

 

 

เสวียนอี่ “อืม” ออกมาอย่างเย็นชา นางพลิกตัวแล้วลงมาจากขาของฝูชาง ห่างออกไปไกลหลายฉื่อ ถึงได้จัดแต่งเสื้อผ้าหน้าผมให้ดี จากนั้นก็นั่งลงบนหญ้าอย่างสง่างามพลางกล่าวว่า “ขอบคุณเทพีมากที่มีน้ำใจ แต่ว่าข้าไม่ดื่มสุรา แต่ว่าข้ากลับรู้สึกสนใจเทพธิดาที่รูปโฉมสู้เทพีไม่ได้ ตบะสู้เทพีไม่ได้คนนั้น อย่างไรเสียข้าก็ไม่มีอะไรทำ พวกเราล้วนแต่เป็นอาหารกลางวันของเทพีอยู่แล้ว แล้วเหตุใดเทพีไม่ยอมคลายปมสงสัยให้ข้าเล่า ข้าจะล้างหูรอฟัง”