“ข้าได้ยินว่ามีคนนำต้นพริกปลอมมาขาย และต้นพริกที่อยู่ในมือของข้านั้นก็เป็นของปลอม!” คนที่พูดออกมาคือไป๋หยวนซู!

ฮวงต้าถงตกใจมากเมื่อเห็นต้นพริกในมือของไป๋หยวนซู เขาพูดออกมาอย่างตะกุกตะกัก “เป็นไปไม่ได้… เถ้าแก่ร้านตงเฟิงเทียนพิง รับประกันว่ามันเป็นของจริง!”

“ครอบครัวของพวกเขาเพิ่งถูกตรวจสอบไปเมื่อวานนี้ ต้นกล้านี่ไม่ได้ต่างจากผักป่าธรรมดาที่นำเข้ามาเลย!” หลังจากที่ไป๋หยวนซูกล่าวจบ ชาวบ้านก็โกรธขึ้นมาทันที

“ต้นพริกที่ฮวงต้าถงเอามาขายนั้นเป็นของปลอมงั้นเหรอ?”

“แล้วพวกเราจะทำอย่างไร!”

“…”

ชาวบ้านบ่นออกมาด้วยความขมขื่น ไป๋หยวนซูจึงจำเป็นต้องจัดการการฮวงต้าถงในข้อหาฉ้อโกง

ฮวงต้าถงกลัวว่าตัวเองจะจ่ายค่าชดเชย จึงแกล้งทำเป็นวิงเวียนศีรษะ

ซูหวานหว่านตักน้ำขึ้นมาจากคูน้ำด้านข้าง หญิงสาวสาดมันลงบนใบหน้าของฮวงต้าถง เม็ดทรายที่ปนอยู่ในน้ำกระเด็นเข้าดวงตาของเขา ทำให้ทนไม่ไหวต้องลืมตาขึ้นมา ส่วนพวกชาวบ้านก็พากันกำทรายมาหนึ่งกำมือแล้วสาดใส่ฮวงต้าถงอีกครั้ง ส่งผลให้ฮวงต้าถงแสบตาจนร้องโวยวายออกมา

ดวงตาของเขาเจ็บแสบจนไม่สามารถลืมตาขึ้นได้ จนในที่สุดเขาก็ต้องยอมและสัญญาว่าจะนำเงินมาชดใช้ให้ ทว่าเมื่อมาถึงบ้านของฮวงต้าถง กลับมีเงินเหลือภายในบ้านแค่ 100 เหรียญเท่านั้น เพราะเขาได้นำเงินที่ได้มาจากการขายต้นพริกไปเล่นพนันหมดแล้ว

ชาวบ้านจึงได้เงินชดเชยไปกันเพียงครัวเรือนละ 2 ถึง 3 เหรียญเท่านั้น

เหล่าชาวบ้านที่ซื้อต้นพริกไปจากฮวงต้าถงรู้สึกเสียใจมากและเป็นกังวลว่าพวกเขาจะปลูกอะไรกันต่อไปดี เมื่อเห็นว่าซูหวานหว่านนำต้นกล้าพริกไปขายให้กับหมู่บ้านใกล้เคียง พวกเขาก็มีความคิดบางอย่างขึ้นมาและเอ่ยเรียกเด็กสาวเอาไว้

ซูหวานหว่านรู้ดีว่าพวกชาวบ้านกำลังคิดจะทำอะไร นางจึงพูดออกมาอย่างชัดเจน “ปีนี้พริกถูกปลูกเป็นจำนวนมาก คนในหมู่บ้านครึ่งหนึ่งต่างร่วมมือกับข้า ทั้งหมู่บ้านหยางหลิวก็ได้ตกลงร่วมมือกับข้าในการปลูกพริก ส่วนต้นที่เหลืออยู่ในมือข้าจะเอาไปปลูกเอง”

“กล่าวอีกนัยคือไม่มีต้นพริกเหลือแล้วงั้นหรือ?” หวังเซียนซูเดินแหวกกลุ่มชาวบ้านออกมา นางจ้องมองซูหวานหว่านด้วยอย่างไม่เชื่อในคำพูดของนาง “นังเด็กคนนี้! เหตุใดถึงเป็นคนเนรคุณเช่นนี้! ไม่ให้พริกกับหมู่บ้านเราแล้วยังไปปลูกให้หมู่บ้านอื่นอีก! ต้นพริกพวกนั้นเจ้าควรจะให้เราเป็นคนปลูกสิ!”

เหตุใดคนพวกนี้ถึงหน้าด้านหน้าทนแบบนี้เล่า!!

ซูหวานหว่านกลอกตาและหัวเราะ “ทุกคนได้ลงชื่อในข้อตกลงเอาไว้แล้ว แท้จริงแล้วต้นพริกเหล่านั้นข้าจะเอาไว้ให้พวกเจ้าปลูก แต่พวกเจ้ากับฮวงต้าถวงด่าทอข้าเอาไว้อย่างไรลืมแล้วหรือ? ต้องให้ข้าเตือนความจำหรือไม่?”

“ซูหวานหว่าน! หากเจ้าไม่ให้ เชื่อหรือไม่ว่าข้าจะเป็นคนขโมยมันมาเอง!” หวังเซียนซูโกรธจนหน้าดำคล้ำเครียด

คิดว่านางไม่มีวิธีรับมืออย่างงั้นหรือ? ซูหวานหว่านยิ้มเยาะ “หากเจ้าจะขโมยก็ขโมยเสียสิ เมื่อเจ้าปลูกแล้วข้าจะไม่รับซื้อผลผลิตจากเจ้า ดูเสียว่าเจ้าจะไปขายให้ใคร?”

หากซูหวานหว่านไม่รับซื้อ ก็ทำได้แค่ค้าปลีกเท่านั้น

แต่ว่ามันคงไม่สามารถขายได้ทั้งหมดในเวลาอันรวดเร็ว! และพริกที่เหลืออยู่เป็นจำนวนมากก็คงจะเปล่าประโยชน์!

หวังเซียนซูโกรธจนพูดไม่ออกและไม่กล้าที่จะขโมย ดังนั้นซูหวานหว่านจึงหันหลังเดินออกไป หลังจากแจกจ่ายต้นพริกให้หมู่บ้านใกล้เคียงเรียบร้อยแล้ว หญิงสาวก็มุ่งหน้ากลับหมู่บ้าน พลันใดนั้นก็ได้ยินเสียงหวังเซียนซูอีกครั้งบริเวณหน้าลานบ้านหลี่ฉือโทว

“พี่สะใภ้ ครอบครัวของท่านมักจะช่วยซูหวานหว่านขนของอยู่บ่อยครั้งไม่ใช่หรือ? ความสัมพันธ์ของพวกท่านจะต้องดีมากแน่ ๆ! ความสัมพันธ์ระหว่างท่านกับข้าก็ดีมิใช่น้อย ท่านช่วยไปซื้อต้นพริกจากซูหวานหว่านให้ข้าได้หรือไม่ เมื่อถึงเวลาท่านก็ช่วยเอาพริกไปขายให้ข้าหน่อย เมื่อพริกแก่เต็มที่ข้าจะมอบมันเทศให้แก่ท่านเป็นการตอบแทน ท่านคิดว่าอย่างไร?”

หวังเซียนซู ‘ฉลาด’ จริง ๆ!

ยังคงคิดหาวิธีอื่นจนได้!

ซูหวานหว่านหัวเราะออกมาและมุ่งตรงไปเคาะประตูบ้านหลี่ฉือโทว แสร้งทำเป็นไม่รู้ว่าหวังเซียนซูอยู่ข้างในบ้าน และพูดออกมาว่า “ป้าสะใภ้หลิว ต้นพริกของข้าแจกจ่ายหมดแล้ว วันนี้ชาวบ้านในหมู่บ้านหยางหลิวก็เอาไปปลูกเป็นชุดสุดท้ายด้วย ลุงฉือโทวช่วยข้าเอาไว้มาก ๆ และครอบครัวของข้าก็อยากจะเชิญครอบครัวท่านป้าไปทานอาหารเย็นที่บ้านของข้าเป็นการตอบแทนที่ช่วยเหลือ!”

“ได้ ข้าจะไปเดี๋ยวนี้แหละ! ข้าจะไปช่วยเจ้าล้างผักนะ ชาวบ้านหลายคนบอกว่าอาหารที่บ้านเจ้าอร่อยมาก ข้าอยากจะเรียนรู้เคล็ดลับในการปรุงอาหารของเจ้าบ้าง!” สะใภ้หลิวยิ้มออกมาอย่างมีความสุขและตอบตกลงทันที หลังจากที่ไม่ได้ยินเสียงเคลื่อนไหวจากหน้าประตูบ้าน นางก็คิดว่าซูหวานหว่านจากไปแล้ว จึงพูดกับหวังเซียนซู “น้องหวัง ไม่ใช่ว่าข้าไร้น้ำใจหรืออะไรหรอกนะ แต่เจ้าทำแบบนั้นกับนางก่อน อีกอย่างตอนนี้ก็ไม่มีต้นกล้าพริกแล้ว ส่วนเรื่องที่เจ้าเสนอข้ามา ข้าอยากจะตอบตกลงช่วยแต่ก็คงจะตอบตกลงช่วยเจ้าไม่ได้! ซูหวานหว่านนั้นไม่มีต้นกล้าพริกเหลือแล้ว ดังนั้นเจ้าอย่าพยายามให้เปลืองแรงไปเลย”

หลังจากฟังประโยคนั้นจบซูหวานหว่านก็เดินออกไป และเป็นอย่างที่คาดไว้ป้าหลิวไม่ได้พูดถึงเรื่องนี้ระหว่างมือเย็น

แต่เป็นซูหวานหว่านที่เอ่ยเตือนขึ้นมา “ต้นพริกที่ปลูกก็เริ่มโตแล้ว แต่มันไม่เป็นผลอันดีต่อคนที่มุ่งร้ายหวังทำร้ายต้นพริก หากพวกท่านไม่มีอะไรทำก็ไปดูแปลงนาของพวกท่านบ้างเถอะ”

สะใภ้หลิวและหลี่ฉือโทวตอบตกลงและอดไม่ได้ที่จะไปดูแปลงพริกของตัวเองในเย็นวันนั้น เมื่อไปถึงก็พบว่ามีคนจำนวนไม่น้อยเตรียมลงมือทำลายต้นพริกของตน พวกเขาโกรธจนรีบไปหาหัวหน้าหมู่บ้าน ซึ่งคนเหล่านั้นก็ถูกจับตัวไปและต้องจ่ายค่าชดใช้ หลังจากนั้นภายในหมู่บ้านก็เงียบสงบลงพักใหญ่ ไม่มีใครก่อเรื่องอันใดอีก

ซูหวานหว่านเองไม่มีอะไรทำ ในเวลาว่างจึงเรียนรู้วิธีการเย็บ ปัก ถัก ร้อยกับผู้เป็นแม่ แต่ฉีเฉิงเฟิงได้มาหาหญิงสาวที่บ้านบ่อยขึ้นเรื่อย ๆ จนกระทั่งชายหนุ่มถูกเรียกตัวเพื่อช่วยเหลือผู้พิพากษาของมณฑลในการจัดการกับประวัติคดี

ท้ายที่สุดเขายังคงเป็นข้าราชการชั้นผู้น้อย อย่างไรก็ตามฉีเฉิงเฟิงไม่ต้องการไปที่แห่งนั้น แต่เขาถูกแนะนำโดยหัวหน้าหมู่บ้านและท่านนายอำเภอก็เลือกเขา ซึ่งไป๋หยวนซูได้เดินทางมาที่หมู่บ้านเพื่อแจ้งให้เขาทราบด้วยตัวเอง และซูหวานหว่านก็ยืนอยู่ด้วยพอดี ไป๋หยวนซูจึงพูดออกมาอย่างช่วยไม่ได้ว่า “แม่นางซู ถึงแม้ว่าเจ้าจะไม่ได้เป็นผู้ต้องสงสัยว่าเป็นผู้ก่อเรื่อง แต่ตามกฎแล้วเจ้าก็ต้องไปด้วยเช่นกัน”

“เพราะเหตุใด?” ซูหวานหว่านและฉีเฉิงเฟิงเอ่ยออกมาพร้อมกัน

“ท่านเคยได้ให้ยาวิเศษให้กับคนเป็นตุ่มแดงที่สำนักวันนั้นใช่หรือไม่?” ไป๋หยวนซูถามออกมา

ซูหวานหว่านครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง วันนั้นนางได้เอาน้ำแร่ออกมาจากมิติฟาร์มแล้วให้กับชายผู้นั้น แต่อะไรคือความเกี่ยวข้องกันระหว่างน้ำแร่กับเรื่องที่เกิดขึ้นกัน? ซูหวานหว่านตกตะลึง ไป๋หยวนซูก็พูดออกมาว่า “แม่นางซู เจ้าอยู่ที่หมู่บ้านนี้ตลอด เจ้าอาจไม่รู้ว่าเมื่อเร็ว ๆ นี้มี ‘ของศักดิ์สิทธิ์’ ชนิดหนึ่งวางขายและมันถูกแอบขายภายใต้ชื่อของเจ้า ผู้หญิงในเมืองเกือบทุกคนมียาขวดนั้น แต่ผลลัพธ์ที่ได้กลับทำให้มีตุ่มผุดตามใบหน้า มีคนแจ้งเรื่องนี้กับทางการและตอนนี้ท่านนายอำเภอกำลังขอให้พวกข้าทำการสอบสวนเรื่องนี้อย่างละเอียด”

ดูเหมือนว่านางจะต้องไปด้วยสินะ!

ฉีเฉิงเฟิงอารมณ์ดีอย่างอธิบายไม่ถูกพร้อมพูดกับซูหวานหว่านว่า “ดูเหมือนว่าเจ้ากับข้าจะมีพรหมลิขิตต่อกัน ข้าจำเป็นต้องเข้าเมือง เจ้าก็เลยต้องเข้าเมืองด้วย”

ซูหวานหว่านรู้สึกขบขัน “คงจะเป็นพรหมลิขิตจริง ๆ”

หากไม่ใช่เพราะพรหมลิขิต นางอาจจะถูกแยกกับฉีเฉิงเฟิงไปตั้งแต่พิษกู่นั้นแล้ว

ทั้งสองเข้าไปในเมืองด้วยเกวียนวัวพร้อมไป๋หยวนซู ในระหว่างทางไป๋หยวนซูรู้สึกว่าตัวเองเป็นเหมือนส่วนเกิน เมื่อเห็นหญิงสาวและฉีเฉิงเฟิงพูดโต้ตอบเขินกันไปมา ทำราวกับว่าเขาไม่มีตัวตน…

เมื่อพวกเขามาถึงในเมือง ไป๋หยวนซูก็กระโดดลงจากเกวียนวัว เหลือเพียงแค่หนุ่มสาวสองคนที่นั่งอยู่บนเกวียนวัว ซูหวานหว่านเห็นว่าฉีเฉิงเฟิงมีเหงื่อซึมออกมาเล็กน้อยบนหน้าผาก จึงต้องการจะเช็ดมันออกให้ แต่ทันใดนั้นก็เห็นไข่เน่าจำนวนหลายฟองกำลังพุ่งเข้าใส่นางและฉีเฉิงเฟิง!