พูดมาถึงขั้นนี้แล้ว ลู่เสวียนจะปฏิเสธได้อย่างไร
“หากเป็นเช่นนี้ ลู่เสวียนขอบพระทัยความหวังดีของฝ่าบาทและตระกูลไป๋เซี่ยง ขอน้อมรับพระบัญชา” ลู่เสวียนคิดแล้วคิดอีก พยักหน้าตอบตกลง
ลู่เสวียนก็ไปด้วย เหวินเหรินชิ่งชิ่งมีสีหน้าไม่สบอารมณ์ ส่งเสียงฮึดฮัด แล้วนั่งลงยังที่ของตัวเอง
นางหันหน้าหนี เหมือนเด็กโกรธไม่มองหน้าลู่เสวียน มองดูแล้วก็มีความน่ารักปนอยู่
“ฮ่าๆๆ… ดี มาๆ ดื่มกันต่อ” เป่ยเหมินเวยยิ้มกว้าง ราวกับผู้ใหญ่ที่ใจดี ให้ทุกคนร่วมฉลองพิธีต้อนรับราชวงศ์จยาเซียนต่อ
เสียงเพลงบรรเลงจากภายในงาน ค่อยๆ ดังออกไปตามสายลม ดังเข้าไปในพระราชฐานชั้นใน
จากงานเลี้ยงไม่ไกล ในตำหนักสวยงามและเงียบสงบ หรงจิ่งยืนอยู่ที่ล่างชายคา มองท้องต้นไม้ที่สั่นไหวในยามค่ำคืนคล้ายกับเงาปีศาจ ไม่รู้ว่าคิดอะไรอยู่
อาเฉวียนนำเสื้อคลุมเดินมาด้านหลัง คลุมให้กับเขา “ท่านชาย ดึกแล้ว”
หรงจิ่งยิ้มที่มุมปากบางๆ สายตามองไปยังงานเลี้ยง แล้วเอ่ยกับอาเฉวียนว่า “ทางนั้น ดูคึกคักมาก”
“อืม” อาเฉวียนตอบกลับอย่างเงียบๆ
ทันใดนั้น นอกตำหนัก มีเสียงคนก้าวเดินดังมา
“ใครอยู่ตรงนั้น” ดวงตาอาเฉวียนเพ่งมอง
หรงจิ่งมองไปทางนอกตำหนัก จากที่มืดมีเงาคนหนึ่งปรากฏขึ้น เมื่อแสงจันทร์สาดไปที่เงาบนตัว หรงจิ่งจึงเอ่ยเสียงเบา “ที่แท้ก็คือท่านใต้เท้าจงเจิ้งเหยี่ยนี่เอง”
จงเจิ้งเหยี่ยยืนอยู่ที่หน้าประตูตำหนัก แสดงความเคารพหรงจิ่ง “มาหายามค่ำ รบกวนท่านแล้ว”
“ไม่เป็นไร ข้าก็ยังไม่ได้พักผ่อน” หรงจิ่งเอ่ย ในเสียงนั้น ไม่ได้ปรากฏความยินดีหรือโมโห
หลังจากจงเจิ้งเหยี่ยยืนตรงจึงเอ่ยขึ้น “ที่มารบกวนท่านชายจิ่งวันนี้ มีเพียงคำถามเดียวที่อยากจะถามท่านชายจิ่ง”
“เชิญใต้เท้าพูด หากหรงจิ่งทราบ จะบอกให้ท่านกระจ่าง” หรงจิ่งเอ่ย
ท่าทีของเขา ทำให้จงเจิ้งเหยี่ยสบายใจขึ้นมาก น้ำเสียงที่เปล่งออกมา ดูสบายกว่าตอนแรกมาก “ไม่รู้ว่าท่านชายจิ่งรู้จักคนข้างกายของลู่เสวียนไหม ข้างกายเขามีสาวใช้ที่คอยปรนนิบัตินามว่าเซ่าจวินหรือไม่”
“สาวใช้คนนี้ รูปร่างหน้าตาเป็นเช่นไร” หรงจิ่งถามกลับ
จงเจิ้งเหยี่ยสังเกตสีหน้าเขาอยู่ตลอดเวลา แต่ไม่พบความผิดอะไร เมื่อได้ยินเกี่ยวกับสาวใช้ข้างกายลู่เสวียนก็ดูไม่ตกใจ นี่ยืนยันได้ว่า ลู่เสวียนต้องมีสาวใช้ที่ไว้ใจอยู่ข้างกายเป็นแน่ “ใบหน้านางดูธรรมดา อายุไม่มาก ดูไม่โดดเด่น แต่หยวนหวังดูเหมือนจะวางใจนางมาก”
“หากเป็นเช่นนั้น ก็ใช่แล้ว” ดวงตาของหรงจิ่งปรากฏความเคลื่อนไหว และเอ่ยด้วยเสียงนิ่ง
จงเจิ้งเหยี่ยมองไปที่เขา “ใช่แล้วหรือ ท่านชายจิ่งรู้จักหรือไม่”
หรงจิ่งยิ้มบางๆ น้ำเสียงดูปกติ “ข้าก็เคยได้ยินมา ลู่เสวียนมีสาวรับใช้คนหนึ่ง โตมากับเขา ทั้งสองมีความสัมพันธ์ที่ดีต่อกัน เพียงแต่ สาวรับใช้คนนั้นหน้าตาธรรมดา ดังนั้นคงไม่มีโอกาสจะได้ร่วมหอเคียงหมอน”
หลังจากจงเจิ้งเหยี่ยฟังที่หรงจิ่งพูดจบ ในหัวเขาก็นำสิ่งที่ได้ยินมาของสาวรับใช้ที่เจียงหลีแปลงตนมาด้วยใบหน้าใหม่ทันที
ความสงสัยเกี่ยวกับเซ่าจวิน ถูกคลายลงไปไม่น้อยแล้ว
“ขอบใจท่านชายจิ่งมาก” จงเจิ้งเหยี่ยทำความเคารพอีกครั้ง
หรงจิ่งส่ายหน้าและไม่ถามต่อ
จงเจิ้งเหยี่ยมองสีหน้าเขาดูไม่ได้มีความอยากรู้อยากเห็นอะไร ก็มิได้มีเจตนาสืบสวนต่อ ยิ้มแล้วเอ่ยว่า “หากเป็นเช่นนั้น ข้าไม่รบกวนเวลาพักผ่อนของท่านชายจิ่งแล้ว ขอตัวลา”
เมื่อพูดจบ เขาก็เดินออกไป และเงาค่อยๆ จางหายไปกับความมืด
หลังจากที่เขาเดินจากไป หรงจิ่งเก็บซ่อนรอยยิ้มไว้ไม่อยู่ ดวงตาดูมีความสุขุมอย่างชัดเจน “นางมาแล้ว”
“ท่านชาย ใครมาแล้วหรือ” อาเฉวียนถามอย่างไม่เข้าใจ
หรงจิ่งหันหลังกลับไป
อาเฉวียนดูงงงวงย เขาเหมือนเห็นสิ่งที่ไม่เคยปรากฏบนใบหน้าของท่านชาย โดยเห็นถึงความอบอุ่นบนใบหน้า
ตอนแรกอาเฉวียนคิดจะตามขึ้นไป แต่เมื่อก้าวไปได้หนึ่งก้าว ก็หยุดลง ท่านชายพูดแล้ว ไม่อยากให้ใครรบกวน ใครในที่นี้ คงรวมถึงเขาด้วย
เมื่อคิดทบทวนดูแล้ว อาเฉวียนที่จงรักภักดียืนรออยู่หน้าประตูใหญ่ ราวกับเทวดาเฝ้าประตูที่ยืนตระหง่านอยู่ ดวงตาดูมีความแหลมคม จับตามองความเคลื่อนไหวในความมืด
…
หลังจากงานเลี้ยงในวังหลวงสิ้นสุดลง เฉิงหวังส่งลู่เสวียนและคนของเขากลับไปยังเรือนรับรอง
รอจนเฉิงหวังกลับไปแล้ว ลู่เสวียนจึงถอนหายใจ “เฮ้อ คบค้ากับคนที่มีแผนการในใจเหนื่อยเสียจริง”
เจียงหลีง่วงเหงาหาวนอน ไม่ได้สนในคำพูดเขา หันหลังเดินเข้าห้องตัวเองไป
เมื่อเห็นนางเดินไป ลู่เสวียนรีบเอ่ย “โอ้ย! การฝึกประสบการณ์กับพี่น้องตระกูลไป๋เซี่ยง…”
“พรุ่งนี้ค่อยว่ากัน ข้าเพลียแล้ว” เจียงหลีพูดโดยไม่หันไปมอง และหายไปจากสายตาของลู่เสวียน
แต่ทว่า หลังจากนางเดินเข้าห้องไป ดวงตาของความอ่อนเพลียได้หายไป และดวงตาเป็นประกายคล้ายมองเห็นอะไรบางอย่างในความมืด และจดจ้องไปยังกลางห้อง แล้วพูดเสียงเบา “ออกมา”
แสงจันทร์สาดส่องผ่านช่องหน้าต่าง ส่องมายังในห้อง แบ่งภายในห้องออกเป็นสองส่วน ทั้งสว่างและมืด
เมื่อได้ยินเสียงนางดังขึ้น ในความมืดมีความเคลื่อนไหวปรากฏ เงาของคนเดินออกมายังที่แสงจันทร์ส่องถึง แสงจันทร์สะท้อนเห็นคนที่ใส่เสื้อคลุมปรากฏอยู่ตรงสายตาของเจียงหลี
“หรงจิ่ง” เจียงหลีเรียกชื่อเขาขึ้น คล้ายกับว่านางไม่ได้ตัดสินใจที่จะปิดบังตัวจนจากเขา และไม่ได้แปลกใจที่เขามาปรากฏตัว
“คิดไว้แล้วว่าเจ้าต้องมา หลังจากยืนยันในใจ มีทั้งความรู้สึกแปลกใจและยินดี” หรงจิ่งอมยิ้มพูด
ระหว่างคิ้วของเจียงหลีเหี่ยวย่น เดินเข้าใกล้เขา และมองไปที่เขาอย่างละเอียด เขายังคงเหมือนตอนที่อยู่ที่อาณาจักรจยาเซียน ดูสุภาพและสันโดษ “อันที่จริงท่านไม่ต้องมาที่นี่ก็ได้นะ”
รอยยิ้มของหรงจิ่งชัดเจนขึ้น “ที่แท้ เจ้าก็รู้เรื่องทั้งหมด”
เจียงหลีหายใจเข้าไปลึกๆ ไม่ได้พูดอะไร
แต่หรงจิ่งเอ่ย “ลู่เจี้ยเป็นคนที่มีความสามารถมาก หลังข้ามาถึง ถึงรู้ว่าตัวเองถูกนำไปเป็นส่วนหนึ่งในแผนการของเขาแล้ว แต่รู้แล้วจะทำเช่นไรได้ คนที่เลือกทางนี้คือข้าเอง ไม่ใช่เขา”
“ในเมื่อเข้าใจ ทำไมท่านยังเลือกทำเช่นนี้” เจียงหลีคิ้วขมวด เขาไม่อยากติดหนี้บุญคุณชายตรงหน้าไปมากกว่านี้
ดวงตาที่ดูสงบนิ่งของหรงจิ่งปรากฏความเคลื่อนไหว และพูดด้วยรอยยิ้ม “เพราะว่าข้าก็อยากรู้ว่าสุดท้ายแล้วข้าจะชนะเขาได้สักครั้งหรือไม่”
“…” เจียงหลีไม่มีคำใดจะพูด
ความเงียบสงัดเกิดขึ้นระหว่างพวกเขาทั้งสอง
สุดท้าย เจียงหลีทำลายความเงียบนั้นลง “หรงจิ่ง ท่านไปเถิด ตอนนี้ท่านไม่ไป หลังจากนี้ก็ต้องไปอยู่ดี ไปใช้ชีวิตอย่างที่ท่านอยากใช้ ไม่ต้องมาเกี่ยวข้องกับเรื่องพวกนี้อีก”
“เรื่องเป่ยโหรวเจ้าไม่ต้องกังวล ข้าจะหาทางแบ่งเบาเจ้าเอง ที่ลู่เสวียนถูกเชิญมา พวกเจ้าแสร้งทำเป็นคล้อยตามไปก็พอ หลังจากกลับอาณาจักรจยาเซียน ทั้งหมดรอข้าส่งข่าวไป ยังมีอีกอย่าง สถานะของเจ้าตอนนี้ ถูกเฉิงหวังเป่ยเหมินเจวี๋ยสงสัย แต่ว่าเขาใช้ให้จงเจิ้งเหยี่ยมาสืบหาจากตัวข้าไป น่าจะคลายความกังวลไปได้ไม่น้อย ตรงกันข้ามกับฮ่องเต้เป่ยโหรว เป่ยเหมินเจวี๋ยต้องระวังตัวไม่ให้เขาสงสัย ช่วงเวลาที่เจ้าอยู่เป่ยโหรว พยายามไม่ต้องไปใกล้ชิดเขามาก จะได้ไม่มีพิรุธหลุดออกมา” หรงจิ่งพูด
“หรงจิ่ง!” เจียงหลีตะคอกเสียงเบา
หรงจิ่งเหลือบตาขึ้น ความรู้สึกที่แสดงออกดูตรงไปตรงมาไม่มีอะไรปิดบังนาง และหัวเราะขึ้นมาทันใด “ได้ยินว่าเจ้าเป็นห่วงข้าจากปากเจ้าเอง ทั้งหมดนี้ก็คุ้มค่าแล้ว