“ข้าไม่อยากติดค้างอะไรท่าน” เจียงหลีหน้านิ่ง แล้วพูดตรงๆ นางไม่อยากติดค้างชายใด นอกจากลู่เจี้ย
น้ำใจของหรงจิ่ง นางรับไว้ไม่ได้ และคงคืนไม่ไหว
หรงจิ่งยิ้มออกมา แล้วค่อยๆ ถอยไปยังเงามืดด้านหลัง “ทั้งหมดนี้ข้าสมัครใจเอง ท่านไม่ต้องเป็นห่วง”
“หรงจิ่ง!” เจียงหลีเสียงดังขึ้นมาก รีบเดินไปยังเงามืด
แต่ทว่า หลังจากที่นางเข้าไปในเงามืด ตรงนั้นไม่มีใครอยู่เลย หรงจิ่งก็ไม่รู้ไปอยู่ไหน
สมควรตาย!
เจียงหลีขมวดคิ้ว
ทันใดนั้น นางก็เข้าใจการเลือกของหรงจิ่ง นี่คือการประลองระหว่างเขาและลู่เจี้ย ส่วนนางก็คือสนามประลอง
หรงจิ่งโง่อย่างนั้นหรือ
แน่นอนว่าไม่โง่!
เขามองแผนการของลู่เจี้ยออกอย่างทะลุปรุโปร่ง แต่ยังคงทำตามแผนการนี้ต่อไป มันคือการเดิมพันหรือ ถ้าหากเขาชนะ ก็จะได้ใจนาง ถ้าหากเขาแพ้ ก็จะกลายเป็นเสี้ยนหนามในความรู้สึกของนางและลู่เจี้ย
เขารู้ว่าด้วยนิสัยของนางแล้ว ไม่มีทางลืมชายผู้ที่ทุ่มเทให้นางหมดหัวใจและไม่หวังอะไรตอบแทน ต่อให้ความรู้สึกนั้นจะไม่ใช่ความรัก แต่ก็ได้ครองพื้นที่ในใจนาง
ลู่เจี้ยวางแผนมา เขาก็วางแผนกลับ
สิ่งที่พวกเขาแย่งชิงกันก็คือหัวใจของนาง และที่ทำไปทั้งหมด ก็เพื่อปูทางให้นางในอนาคต
เพราะลู่เจี้ยรู้ว่านางขี้เกียจ
เพราะหรงจิ่งรู้ว่านี่คือความท้าทายสิ่งสุดท้ายที่ลู่เจี้ยให้เขา
แต่หรงจิ่งกลับไม่รู้ว่าลู่เจี้ยไม่เคยหายไปไหนเลย ความทุ่มเทของเขา ได้กำหนดให้แพ้ไว้อยู่แล้ว แต่ว่าแพ้แล้วอย่างไรต่อล่ะ เจียงหลีจะจดจำเขาคนนี้ไปตลอดจริงๆ หรือ
ทันใดนั้น เจียงหลีก็รู้สึกอึดอัดใจ ถึงขั้นหงุดหงิด “ข้ารู้มาตลอดว่าเรื่องของชายหญิงเป็นเรื่องที่ทุกข์ เมื่อก่อนเป็นข้าที่เห็นผู้อื่นว้าวุ่น พอมาถึงทีตัวเอง ถึงได้รู้ว่ามีเรื่องมากมายที่ตัวเองไม่สามารถควบคุมได้”
ปัง!
เจียงหลีใช้มือทุบลงไปบนโต๊ะอย่างแรง กัดฟันแล้วพูดว่า “ลู่เจี้ย เจ้านี่บ้าจริงๆ เลย!” ถ้าหากไม่ใช่เพราะแผนที่เขาวางไว้ หรงจิ่งคงไม่ถูกทำให้สะเทือนใจแบบนี้หรอก
ทันใดนั้น เจียงหลียิ้มเยาะออกมาจากสายตา พูดพึมพำกับตัวเองว่า “ลู่เจี้ยนะลู่เจี้ย ถ้าท่านรู้ว่าได้ขุดหลุมไว้ให้ตัวเอง ท่านจะทำอย่างไร” ชั่วขณะนั้น นางก็อยากจะเห็นว่าจักรพรรดิผู้ที่นับพันปีหน้าก็ไม่เปลี่ยนแปลงจะทำหน้าอย่างไร
ชายผู้ที่หึงแม้กระทั่งอีกร่างของตนเอง จะยอมให้ในใจของนางจดจำชายอื่นได้อย่างไร
หายใจเข้าลึกๆ เจียงหลีเลิกคิดเรื่องที่ว้าวุ่นนี้ “นอน! คืนนี้ไม่ฟงไม่ฝึกแล้ว!”
…
วันรุ่งขึ้น เจียงหลีนอนจนตะวันสายโด่ง
ในตอนที่นางตื่นขึ้นมา ล้างหน้าล้างตาเสร็จแล้ว จะไปหาลู่เสวียน ก็ค้นพบว่าในเรือนรับรองซื่อฟางมีแขกที่ไม่คาดคิดอยู่หนึ่งท่าน
นางมาได้อย่างไร
เจียงหลีมองเหวินเหรินชิ่งชิ่งด้วยความแปลกใจ แล้วก็มองลู่เสวียนที่นั่งหน้าเครียดอยู่ตรงข้าม เอ๊ะ…..เกิดอะไรขึ้น มาก็มาแล้ว ทำไมถึงทำหน้าไม่ยินยอมแบบนั้น? เหมือนว่าจะโดนบังคับให้มาเรือนรับรองซื่อฟาง ส่วนสีหน้าของลู่เสวียน ก็เหมือนจะไม่ค่อยต้อนรับองค์หญิงพระองค์นี้เท่าไหร่!
“คือ…”
ได้ยินเสียงของนาง แววตาของลู่เสวียนก็เป็นประกายขึ้นมา “เซ่าจวิน เจ้ามาแล้ว!” เขาลุกขึ้นอย่างตื่นเต้น แล้วรีบเดินไปหาเจียงหลี
สายตาของเหวินเหรินชิ่งชิ่งก็มองไปยังพวกเขาทั้งสองคน ถึงขั้นมองเจียงหลีอย่างพินิจพิเคราะห์ด้วยความสงสัย
ในงานเลี้ยงวังเมื่อคืน เหวินเหรินชิ่งชิ่งก็ได้ปะทะกับลู่เสวียนแล้ว แต่กลับไม่เห็นว่ามีเจียงหลีอยู่ แน่นอนว่าเป็นเพราะผลของการที่เจียงหลีตั้งใจจัดการอย่างเงียบๆ
“ในเมื่อเจ้ามาแล้ว ก็รีบไล่นางไปซะ” พอลู่เสวียนเดินไปถึงข้างๆ เจียงหลี ก็พูดเสียงเบา
ใครจะรู้ เจียงหลียังไม่ทันได้ถาม ก็เห็นเหวินเหรินชิ่งชิ่งลุกขึ้นมา แล้วตะโกนใส่ลู่เสวียนว่า “นี่ คนที่ตรงไปตรงมาเขาไม่แอบคุยกัน เจ้ามาว่าข้าลับหลังต่อหน้าข้า ยังมีความเป็นสุภาพบุรุษยู่หรือไม่”
“…” ลู่เสวียนยิ่งหน้าเครียดเข้าไปอีก
เจียงหลีกะพริบตามองไปยังหน้าของเขา แล้วก็มองเหวินเหรินชิ่งชิ่งด้วยความอยากรู้ แล้วก็แอบๆ ถอยหลังไป
เห็นท่าทางของนาง ลู่เสวียนสีหน้าดิ้นรน แล้วพูดว่า “ไร้น้ำใจ!”
เจียงหลีมุมปากกระตุก ไม่ได้รู้สึกอะไร
“ถ้าไม่ใช่เพราะว่าฝ่าบาทให้ข้ามาบอกเจ้าเรื่องการฝึกประสบการณ์ของตระกูลไป๋เซี่ยง เจ้าคิดว่าข้าจะมาไหมเล่า” เหวินเหรินชิ่งชิ่งพูดเหตุผลที่มา
ที่แท้ก็มาเพราะเรื่องนี้ เจียงหลีเลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อย เข้าใจแล้ว
นางมองลู่เสวียน แววตามีความตำหนิ เหมือนกำลังพูดว่า เรื่องนี้เจ้าผิด
ลู่เสวียนกลับหันไปอย่างโมโห แล้วตะโกนใส่เหวินเหรินชิ่งชิ่งว่า “เจ้าอยากพูดอะไรก็พูด ทำไมพอมาถึงก็มาต่อว่าข้า ยังบอกให้ข้าไปไกลๆ ไม่ต้องมาใกล้ชิดกับเจ้า ไม่ต้องมาคิดหาวิธี เจ้าคิดว่าเจ้าเป็นใครกัน”
ฮะ……
ในใจเจียงหลีหัวเราะ เหอะๆ แล้วก็แอบๆ ถอยหลังไปอีกก้าว
หางคิ้วของเหวินเหรินชิ่งชิ่งยกขึ้น สีหน้ามีความเหยียดหยาม “ข้าเพียงแค่จะเตือนเจ้า ทางที่ดีอย่ามาหาเรื่องข้า ข้าไม่มีทางชอบเจ้า และไม่มีทางแต่งงานกับเจ้า ต่อให้เป็นพระราชโองการก็ไม่แต่ง! ไม่มีใครบังคับข้าเหวินเหรินชิ่งชิ่งให้ทำเรื่องที่ไม่อยากทำได้!”
มีเอกลักษณ์! เจียงหลีมองนางด้วยความชื่นชม ในใจเกิดความรู้สึกชอบเหวินเหรินชิ่งชิ่งขึ้นมา
“เหอะ! เจ้าวางใจได้ ข้าจะชอบใครก็คงไม่ใช่เจ้า ต่อให้ผู้หญิงทั้งโลกตายหมดแล้ว ขอก็ไม่แต่งกับเจ้า!” ลู่เสวียนยิ้มเยาะ
“…” เจียงหลีเงยหน้ามองลู่เสวียน ด่าในใจ เจ้าเด็กบ้า ผู้หญิงทั้งโลกตายหมดอย่างนั้นรึ นางไม่ใช่ผู้หญิงหรืออย่างไร มาแช่งนางรึ
“เช่นนั้นก็ดี! จำคำพูดวันนี้ของเจ้าไว้ด้วย” เหวินเหรินชิ่งชิ่งยิ้มเยาะอย่างเหยียดหยาม
“ข้าไม่จำเฉพาะชาตินี้หรอก ชาติหน้า ชาติหน้าๆ ก็จะจำไว้!” ลู่เสวียนตอบกลับไปอย่างไม่ยอมอ่อนข้อ
“เช่นนั้น…” เจียงหลีดูต่อไปไม่ได้ ทนไม่ไหวพูดแทรกทั้งสองที่ทะเลาะกันอยู่
ลู่เสวียนและเหวินเหรินชิ่งชิ่งมองนางมาพร้อมๆ กัน ขณะนั้น นางก็รู้สึกว่าทั้งสองต่างรู้กัน แล้วก็รู้สึกเหมือนกัน
“องค์หญิง น่าจะพูดเรื่องการฝึกของตระกูลไป๋เซี่ยงเสียหน่อยไหมเพคะ” เจียงหลีพูดเตือน
“อ้อ! ใช่แล้ว เกือบลืมไปเลย” เหวินเหรินชิ่งชิ่งสงบสติอารมณ์ ไร้ซึ่งความหยิ่งยโสเหมือนเมื่อครู่นี้ เพียงแต่ตอนที่มองลู่เสวียน สีหน้าก็เย็นชาขึ้นมา ลู่เสวียนก็ส่งเสียงแสดงความไม่พอใจด้วยความอวดดี แล้วเมินหน้าหนี
“สถานที่การฝึกประสบการณ์ของตระกูลไป๋เซี่ยงในครั้งนี้ก็คือสุสานโบราณหลิงจง” เหวินเหรินชิ่งชิ่งดูจริงจังขึ้นมา
“สุสานโบราณหลิงจง!”
เจียงหลีและลู่เจี้ยส่งเสียงตกใจออกมาพร้อมกัน
หลิงจง!
นั่นคือการมีอยู่ที่สุดยอดที่สุดของหนานฮวง
“อืม…ก็มีที่บอกอีกอย่างหนึ่งว่าไม่ใช่หลิงจง แต่น่าจะเป็นเนี่ยนจง…” เหวินเหรินชิ่งชิ่งขมวดคิ้วเล็กน้อย แล้วก็แก้ให้ถูกต้อง
“เนี่ยนจงหรือ” ในใจของเจียงหลียิ่งรู้สึกตื่นเต้นมากขึ้น
“นี่ สรุปคือหลิงจงหรือเนี่ยนจงกันแน่!” ลู่เสวียนพูดด้วยน้ำเสียงรำคาญ
เหวินเหรินชิ่งชิ่งมองเขาด้วยหางตา “ข้าจะไปรู้ได้อย่างไร ข่าวลือจากข้างนอกมาแบบนี้ คนของตระกูลไป๋เซี่ยงค้นพบสุสานโบราณก่อนหน้านี้ได้ไม่นาน คนฝีมือดีของตระกูลได้ไปสำรวจมาแล้ว ค้นพบว่าไม่ได้อันตรายมาก ดังนั้นก็เลยเอาการสำรวจสุสานโบราณมาเป็นการทดสอบสำหรับคนรุ่นต่อไป”
“สถานที่นี้ถูกค้นพบ ผู้ที่มีอำนาจคนอื่นๆ จะไม่เข้าร่วมรึ” เจียงหลีถามด้วยความสงสัย
เหวินเหรินชิ่งชิ่งพูดว่า “นี่คือโชคชะตาของตระกูลไป๋เซี่ยง เป่ยโหรวมีกฎว่าใครก็ตามที่ค้นพบโบราณสถานที่มีพลังอันดับหนึ่ง ก็มีสิทธิพิเศษในการสำรวจก่อน ถ้าคนอื่นๆ อยากจะเข้าไป ก็จำเป็นต้องรอให้การสำรวจครั้งแรกจบลงก่อน ถ้าหากมีคนฝ่าฝืน ไม่ว่าเป็นใคร ตระกูลที่ค้นพบโบราณสถานนั้นก่อนก็มีสิทธิ์จัดการ”
เจียงหลีสังเกตเห็นว่าที่นางพูดคืออำนาจแรก ไม่ใช่คนแรก…