ภาคที่สาม มิต้อง ตีกรับ ร่ำสุรา จากจอกทอง ตอนที่ 71-2 ตัดสินใจ

ยอดสตรีฉางอิ๋ง ภาคที่ 2-3

“ก่อนหน้านี้เฟิงเอ๋อร์ให้โม่เหยี่ยเอาสิ่งของที่ลี่เอ๋อร์ทิ้งไว้ในมือซินอี๋ตั้งแต่ตอนที่เขายังไม่รู้ความ แต่ปรากฏว่าโม่เหยี่ยกลับเอาออกมาไม่ได้แม้สักชิ้น” เสิ่นเซวียนพลันมีสีหน้าประชดประชัน “ในจดหมายที่เฟิงเอ๋อร์เขียนให้ข้าเป็นการส่วนตัวครานั้น เขาก็สงสัยในเรื่องนี้ยิ่งนัก เมื่อนำมาเทียบกับเรื่องที่โม่เหยี่ยหมั้นหมายกับม่านซาในยามนี้แล้ว ดูท่าว่าความกังวลของเฟิงเอ๋อร์ก็คงจะถูกต้องแล้ว!”

เขาเหลือบตามองน้องชายคราวหนึ่ง บอกว่า “หากเรื่องที่โม่เหยี่ยเป็นเลือดเนื้อเชื้อไขของลี่เอ๋อร์แพร่งพรายออกไป ก็มิได้มีผลกระทบอันใดต่อลี่เอ๋อร์ในยามนี้ แต่มู่ซิวเอ่อร์ตายด้วยน้ำมือของตระกูลเสิ่นของเรา ต่อให้เผ่าของอาอีถ่าหูเป็นฝ่ายเข้ามาเจรจาสงบศึกกับเราเอง นั่นก็เพราะพวกเขาไม่มีทางเลือก ยิ่งไปกว่านั้นการเจรจาสงบศึกก็มิใช่การยอมแพ้! ไม่ว่าอย่างไร ตระกูลเสิ่นของเราก็เป็นอริกับพวกตี๋มาเป็นชาติแล้ว หากมีคนรู้ว่าโม่เหยี่ยเป็นสายเลือดของตระกูลเสิ่น แล้วเขายังหวังจะครองตำแหน่งข่านได้ที่ใด? พวกตี๋ยอมรับว่าพ่อของเขาเป็นชาวเว่ยที่มีที่มาไม่ชัดเจนได้ แต่กลับไม่อาจยอมรับได้ว่าพ่อของเขามิใช่เป็นเพียงคนตระกูลเสิ่น ยิ่งไปกว่านั้นก็ยังเป็นบุตรชายคนโตจากภรรยาเอกในรุ่นนี้ของตระกูลเสิ่นอีกด้วย! และเดิมทีเขาควรจะเป็นหลานชายคนโตที่เกิดจากอนุภรรยาของตระกูลเสิ่นเรา! เรื่องทั้งหมดนี้เกรงว่าเขาคงจะคิดมาเรียบร้อยตั้งนานแล้ว …ข้าคิดว่าเฟิงเอ๋อร์ควรส่งคนไปแอบตรวจสอบดูว่าโม่เหยี่ยทำอย่างไรจึงบังเอิญไปช่วยสะใภ้สามได้พอดี แล้วอูกู่เหมิงไปตกลงสิ่งใดเอาไว้กับเขากันแน่!”

…ด้วยเหตุที่มีช่องโหว่ว่าโม่เหยี่ยทำลายสิ่งของที่เกี่ยวข้องกับเสิ่นจั้งลี่บิดาของเขาไปจนหมดแล้ว เสิ่นจั้งเฟิงและเสิ่นเซวียนสองพ่อลูกจึงสังเกตเห็นหลุมพรางนี้ขึ้นมาในทันใด

เมื่อมองโดยผิวเผินแล้ว เรื่องอาจเป็นดังนี้…

หลังจากข่านมู่ซิวเอ่อร์คนก่อนถูกสังหาร ชิวตี๋ก็แยกกันออกเป็นสองฝักฝ่าย โม่เหยี่ยซึ่งมีฝีมือธนูล้ำเลิศเลือกที่จะไปอยู่กับอาอีถ่าหูซึ่งเป็นลุงแต่ไม่ไปอยู่กับอูกู่เหมิงลูกผู้พี่ของเขา เขามีเหตุผลที่สมควรนัก นั่นเพราะในระหว่างทางที่ถูกทัพเว่ยไล่สังหาร เขาก็ได้รับข่าวว่าแม่ของตนถูกผลักลงมาจากรถม้า โม่เหยี่ยรีบกลับไปปกป้องแม่ แต่กลับถูกองครักษ์ที่กระโจมอ๋องขัดขวางไว้ ในขณะที่เขากำลังร้อนใจจึงสังหารเหล่า องครักษ์แห่งกระโจมอ๋องที่ขัดขวางเขาไปเสีย

ดังนี้แล้วเขาก็ย่อมล่วงเกินมู่ซิวเอ่อร์ และอูกู่เหมิงก็เป็นบุตรชายคนโตของมู่ซิวเอ่อร์ ไม่ว่าจะเป็นเพราะโม่เหยี่ยไม่พอใจหรือเพราะไม่กล้าจะอยู่ใต้พรมของเขาต่อไปก็ล้วนเป็นเรื่องที่สมเหตุสมผลทั้งสิ้น

ฉะนั้นเขาย่อมต้องไปสวามิภักดิ์กับอาอีถ่าหูโดยปริยาย

จากนั้นก็คืออาอีถ่าหูพ่ายแพ้ต่อน้ำมือของอูกู่เหมิงมาหลายครั้ง จึงทำให้ขาดแคลนเสบียงและเครื่องใช้และกำลังตกอยู่ภาวะคับขัน เวลานี้เองโม่เหยี่ยจึงได้ก้าวออกมาแล้วเสนอว่าจะไปขอเจรจาสงบศึกกับชาวเว่ย โดยใช้เรื่องที่ชาวเว่ยไม่หวังจะเห็นอูกู่เหมิงยึดครองอาอีถ่าหูมาขอความช่วยเหลือจากชาวเว่ย เพื่อเป็นการรับมือกับอูกู่เหมิง

เนื่องด้วยชาวตี๋เพิ่งจะเสร็จศึกกับชาวเว่ย ย่อมต้องเป็นกังวลอย่างมากว่าทูตที่มาเจรจาสงบศึกจะถูกปฏิเสธแล้วจากนั้นก็จะถูกสังหาร ด้วยเหตุนี้เองโม่เหยี่ยจึงเป็นคนอาสามาทำการนี้เอง อาอีถ่าหูกำลังร้อนรนจนลนลาน ไม่เพียงรับปากคำร้องขอของเขา ยังให้คำมั่นว่าขอเพียงเขาเจรจาสงบศึกสำเร็จ ก็จะยกองค์หญิงม่านซาให้แต่งงานกับเขา …ยามนี้โม่เหยี่ยจัดการทุกอย่างได้อย่างราบรื่น ทั้งยังนำเสบียงและเครื่องใช้จำนวนมหาศาลที่ได้รับจากการที่ ‘บังเอิญ’ ไปช่วยชีวิตเว่ยฉางอิ๋งเอาไว้มาเป็นของหมั้น และกำหนดวันแต่งงานกับองค์หญิงม่านซาเอาไว้เรียบร้อยแล้ว

ทว่าจากมุมมองของทางฝั่งเสิ่นเซวียนและเสิ่นจั้งเฟิงแล้ว เรื่องนี้กลับมีช่องโหว่ให้เห็นอยู่…

โม่เหยี่ยสวามิภักดิ์กับทางอาอีถ่าหูนั้นสามารถเข้าใจได้ แต่อาอีถ่าหูที่พ่ายแพ้ต่ออูกู่เหมิงมาหลายครั้งติดต่อกันกลับออกจะแปลกอยู่ เพราะเมื่อครั้งที่มู่ซิวเอ่อร์บิดาของอูกู่เหมิงยังอยู่ อาอีถ่าหูก็ล้วนไม่อาจควบคุมคนทั้งหมดเอาไว้ได้ หากว่ากันเรื่องทำสงคราม คนของอาอีถ่าหูกลับมิได้ด้อยกว่าคนของอูกู่เหมิง และตัวเขาเองก็มีประสบการณ์ออกรบโชกโชนกว่าอูกู่เหมิง…

หากบอกว่าพ่ายแพ้สักครั้งก็ยังมิเป็นไร แต่แพ้มาติดต่อกัน กระทั่งยังถูกกวาด เสบียงและเครื่องใช้ไปอีก จนทำให้เผ่าของเขาต้องตกอยู่ในที่นั่งลำบากว่าที่ต้องขาดแคลนสิ่งของในฤดูหนาวขึ้นมาในทันใด …เรื่องนี้ก็น่าแปลกแล้ว

หากนับช่วงเวลาที่อาอีถ่าหูพ่ายแพ้มาติดต่อกัน ก็เป็นเวลาหลังจากที่โม่เหยี่ยมาสวามิภักดิ์กับเขาพอดี

“ต่อให้เวลานี้โม่เหยี่ยล้วนไม่อาจไปพูดจาใดๆ ในเรื่องการศึกกับอาอีถ่าหู ยิ่งไม่อาจรู้ถึงยุทธวิธีที่เป็นความลับของอาอีถ่าหูได้” เสิ่นโจ้วถอนใจพลางว่า “แต่องค์หญิงม่านซาที่ได้รับความเชื่อใจและได้ทำหน้าที่สำคัญกลับทำได้ ดูท่าว่าการที่โม่เหยี่ยมาเจรจาที่ด่านเตี๋ยชุ่ยในครานี้ เรื่องที่ได้เปิดเผยฐานของตนกับเฟิงเอ๋อร์และเรื่องที่มาเจรจาสงบศึกล้วนเป็นเรื่องรอง หากไล่เรียงกันไปจริงๆ แล้วก็ยังเพื่อให้ได้แต่งงานกับม่านซาที่นัดแนะกับเขาไว้นานแล้วกระมัง? อย่างไรเสีย ต่อให้ม่านซารู้ความลับเรื่องพ่อของเขา ก็ไม่น่าจะมีโอกาสแพร่งพรายความลับนี้ออกไป รอจนม่านซาผู้นี้แต่งงานกับเขาเรียบร้อยแล้ว สองสามีภรรยาตัวน้อยนี้ก็จะร่วมมือกันตัดขาเก้าอี้ของอาอีถ่าหู ซึ่งก็ไม่รู้ว่าอาอีถ่าหูผู้นี้จะมองออกหรือไม่…”

เขาค่อนข้างไม่เห็นดีเห็นงามกับการกระทำของม่านซา “เพื่ออำนาจแล้ว แม้แต่บิดาของตนเองก็ยังหักหลังได้ ม่านซา สตรีผู้นี้ช่างใจคดแล้งน้ำใจนัก!”

“แล้งน้ำใจ?” เสิ่นเซวียนกลับยิ้มอย่างหมดคำพูด “ม่านซาได้รับความเชื่อถือจากอาอีถ่าหูอย่างมากมาแต่ไร แต่เหตุใดหลังจากที่โม่เหยี่ยมาสวามิภักดิ์กับอาอีถ่าหูแล้วนางจึงเพิ่งจะเริ่มคิดการหักหลังบิดาตน? สมมติว่านางหักหลังอาอีถ่าหูตั้งแต่แรก ก็เกรงว่าอูกู่เหมิงคงจะหาโอกาสสังหารอาอีถ่าหูไปได้ตั้งนานแล้ว!”

เสิ่นโจ้วได้ยินคำ สีหน้าก็เปลี่ยนไปทันใด กล่าวว่า “พี่ใหญ่หมายถึง?”

“ลี่เอ๋อร์เลี้ยงลูกมาดีจริงๆ!” เสิ่นเซวียนเอ่ยไปเรียบๆ “ข้าถึงได้บอกว่าวันหน้าพวกเราไม่อาจประคบประหงมหมิงเอ๋อร์เกินไป แต่ต้องขัดเกลาเขาให้หนักๆ จึงจะได้การ …แรกเริ่มก็เอาเรื่องที่เขาสังหารองครักษ์ในกระโจมอ๋องไปเกลี่ยกล่อมอูกู่เหมิง ให้ปล่อยเขาไปเป็นสายลับ แล้วกล่อมให้ม่านซายอมเปิดเผยความลับของอาอีถ่าหูกับเขา และบีบให้เผ่าของอาอีถ่าหูต้องตกอยู่ในที่นั่งลำบาก จนไม่อาจยอมรับปากว่าจะส่งเขาไปเจรจาสงบศึกที่ด่านเตี๋ยชุ่ยด้วยความหวังที่มีเพียงน้อยนิด …เมื่อถึงเวลานี้ก็เอาฐานะที่ตนเป็นถึงบุตรหลานตระกูลเสิ่นไปบีบให้พวกเรายอมตอบรับสงบศึก! ในระหว่างนี้ก็ยังให้อูกู่เหมิงสละม้าพื้นถิ่นล้ำค่าตัวหนึ่งและทหารม้าที่เก่งกล้าอีกกลุ่มหนึ่ง มาช่วยเขาสร้างบุญคุณที่ช่วยชีวิตสะใภ้บ้านเราเอาเอาไว้!”

“ต่อให้เจรจาสงบศึกไม่สำเร็จ ด้วยฐานะบุตรหลานตระกูลเสิ่นและบุญคุณที่ช่วยชีวิตสะใภ้สามเอาไว้อย่างเปิดเผย อย่างน้อยก็จะสามารถนำเสบียงและเครื่องใช้ที่เผ่าของอาอีถ่าหูต้องการอย่างเร่งด่วนกลับไปได้จำนวนหนึ่ง ไม่ต้องห่วงว่าจะไม่อาจทำให้ทั้งเผ่าให้ความสำคัญกับเขาขึ้นมา! โดยสรุปก็คือ จากแผนการที่เขาลอบวางเอาไว้ นับแต่เผ่าของอาอีถ่าหูขาดแคลนข้าวของที่จะใช้ในฤดูหนาว และการเดินทางมาด่านเตี๋ยชุ่ยครานี้ ดีชั่วเขาก็ไม่มีวันขาดทุนเป็นแน่!”

“น้องรองเจ้าว่าแผนการเช่นนี้ของโม่เหยี่ย หมิงเอ๋อร์ที่อ่อนกว่าเขาแค่ไม่กี่ปีจะสามารถเทียบเท่าได้อย่างไร? ยามนี้ข้าก็อยากเริ่มเคี่ยวกร่ำพวกกวงเอ๋อร์จนแทบทนรอไม่ไหวแล้ว!”

สีหน้าของเสิ่นโจ้วเปลี่ยนไปมาอยู่หลายรอบ บอกว่า “โม่เหยี่ยผู้นี้มีเล่ห์เหลี่ยมลึกล้ำนัก ทั้งยังไม่ใคร่มีเจตนาดีต่อตระกูลเสิ่นของเราเท่าใด ตามความเห็นข้า เขาคงจะวางแผนเล่นงานหูตาของลี่เอ๋อร์ในซีเหลียงไปหมดแล้วกระมัง!”

เขาถอนใจคราวหนึ่ง “หากโม่เหยี่ยยืนกร้านไม่ยอมกลับเข้ามาในตระกูลเสิ่นของเรา ก็ทำได้เพียงปล่อยให้เขาล้มป่วยจนตาย หรือไม่ก็วางแผนให้ตนพ่ายแพ้หรือถูกคนวางแผนสังหารแล้ว!”

แม้โม่เหยี่ยจะเป็นสายเลือดของตระกูลเสิ่น แต่ไม่ว่าจะเป็นเสิ่นเซวียนที่ระแวงพวกเขาแม่ลูกมาแต่แรก หรือว่าเสิ่นโจ้วที่รู้สึกสงสารโม่เหยี่ยตลอดมา ล้วนไม่หวังให้คนที่อาจเป็นศัตรูต่อหมิงเพ่ยถังเติบโตขึ้นมาได้

“ข้าก็เห็นว่าเป็นเช่นนี้ ในเมื่อเจ้าก็เห็นดีด้วย เช่นนั้นก็ตอบจดหมายเฟิงเอ๋อร์ไปเถิด” เสิ่นเซวียนหรี่ตาลงพลางเอ่ยเสียงอ่อนลง

ไม่ว่าอย่างไร เสิ่นจั้งเฟิงก็เป็นน้องชายของเสิ่นจั้งลี่ ย่อมต้องคำนึงพี่ชายของตนเป็นแน่ แม้เขาจะคาดเดาเรื่องราวเบื้องลึกเหล่านี้ออก แต่ก็ทำได้เพียงใช้วิธีบอกใบ้แก่บิดาและท่านอา จากนั้นก็รอจนบิดาและท่านอาสั่งว่าต้องทำเช่นใดเท่านั้น …นั่นเพราะไม่ว่าอย่างไรเขาก็ไม่อาจพูดได้ชัดเจนว่า ข้าเดาว่าหลานชายผู้นี้คิดไม่ซื่อ จึงเสนอแนะให้พวกเราจัดการให้เขาตายไปเสียไวๆ เพื่อมิให้กลายมาเป็นภัยต่อตระกูลของเราหรอกกระมัง…