ภาคที่สาม มิต้อง ตีกรับ ร่ำสุรา จากจอกทอง ตอนที่ 72 ส้างกวานคนงาม

ยอดสตรีฉางอิ๋ง ภาคที่ 2-3

หลังจากโม่เหยี่ยจากด่านเตี๋ยชุ่ยไปแล้ว ดีชั่ว ยามเขาจากไปเขาก็รับเสบียงและเครื่องใช้ที่มีราคาเทียบเท่าหนึ่งพันตำลึงทองและมุกหนึ่งหีบไปแล้ว เว่ยฉางอิ๋งจึงได้ตอบแทนบุญคุณไปแล้ว ส่วนเรื่องอื่นล้วนต้องเป็นเสิ่นจั้งเฟิงไปร้อนใจแล้ว นางจึงพาพวกของนางเฮ่อไปท่องเที่ยวชมภูเขาแม่น้ำด้วยกัน

เพียงแต่ต้องให้นางเฮ่อคอยดูไว้ว่า ขอเพียงเป็นที่ที่อาจมีพวกตี๋เข้ามาได้ก็ห้ามไปโดยเด็ดขาด

บทเรียนเรื่องม้าขาวเพิ่งจะผ่านไปนาน เว่ยฉางอิ๋งยังคงจดจำความหวาดผวาและความรู้สึกว่าโชคดีที่ฝังอยู่ในใจตอนนั้นได้ ย่อมไม่มีทางไม่ฟังคำของนางเฮ่อและคนอื่นๆ อีก

เพียงแต่ออกไปท่องเที่ยวข้างนอกทุกวัน แต่วันนี้จู่ๆ กลับหยุดเสีย เว่ยฉางอิ๋งให้คนไปเรียกนางเฮ่อมาหาตั้งแต่เช้า เอ่ยด้วยสีหน้าทอดถอนใจว่า “มีเรื่องจะต้องรบกวนท่านอา”

นางเฮ่อจึงหัวเราะลั่นออกมา “ฮูหยินน้อยจะมาเกรงใจอันใดกับข้าน้อยเจ้าคะ?” จากนั้นก็เอ่ยอย่างจริงจังว่า “ฮูหยินน้อยจะให้ข้าน้อยทำสิ่งใดเจ้าคะ?”

“เย็นวันพรุ่ง ส้างกวานสืออีผู้นั้นจะมาร่วมงานเลี้ยงในเรือนพักของเรา ตามที่ท่านพี่บอก คนผู้นี้กินดื่มจืดและเบานัก ไม่ชอบทานเนื้อ เกรงว่าคนครัวที่มีอยู่เดิมของเราจะทำอาหารจำพวกผักที่เขาชอบทานไม่ได้ จึงต้องขอให้ท่านอาแสดงฝีมือสักหน่อย” เสิ่นจั้งเฟิงและเว่ยฉางอิ๋งล้วนเป็นผู้ฝึกวรยุทธ์ ผู้ฝึกวรยุทธ์ต้องใช้แรงมาก ดังนั้นอาหารก็จะเน้นไปทางพวกปลาและเนื้อ ส่วนผักและอาหารเบาๆ ก็จะทานแกล้มเท่านั้น

คนครัวของที่พวกเขาใช้ย่อมไม่ถนัดทำอาหารที่ไม่มีเนื้อ

ความจริงแล้วนางเฮ่อกำลังคิดเตรียมตัวจะไปลงไม้ลงมือให้เว่ยฉางอิ๋ง ได้ยินคำก็นิ่งไปสักพัก จากนั้นจึงตอบมาอย่างไม่รู้ว่าจะร้องไห้หรือหัวเราะดีว่า “ข้าน้อยก็นึกว่ามีงานยากเย็นอันใด ที่แท้ก็เพียงแค่ทำอาหารมื้อหนึ่ง นี้ล้วนเป็นสิ่งที่ข้าน้อยควรทำอยู่แล้วเจ้าค่ะ ฮูหยินน้อยโปรดวางใจ ข้าน้อยเคยร่ำเรียนกับพี่หวงมาหลายชนิด หากให้ทำแค่อาหารทานแกล้มเล็กๆ น้อยๆ ย่อมต้องทำได้ รับรองไม่ทำท่านเสียหน้าแน่นอนเจ้าคะ”

นางหวงร่ำเรียนวิชามาจากจี้ชวี่ปิ้ง คนเป็นหมอโดยเฉพาะหมอเลื่องชื่อ ย่อมไม่มีทางพิถีพิถันกับการดูแลตนเอง ซึ่งผู้ที่ดูแลตนเองโดยมากแล้วล้วนสนับสนุนให้กินดื่มจืดๆ เบาๆ พยายามหลบเลี่ยงเนื้อสัตว์ ฉะนั้น นางหวงจึงทำอาหารวางและอาหารแกล้มเก่งมาก นางเฮ่ออยู่ที่เฟิ่งโจวมานานปี อาหารจำพวกผักของทางเฟิ่งโจวเดิมทีก็มีรสค่อนข้างจืดอยู่แล้ว แล้วยิ่งเป็นอาหารที่นางหวงถ่ายทอดมา ฝีมือทำอาหารประเภทนี้จึงไม่เลวเลยจริงๆ

เว่ยฉางอิ๋งคิดในใจว่าต่อให้เส้างกวานสืออีมีความสามารถอีกเท่าใด และเก็บตัวอยู่ในสถานที่เช่นด่านเตี๋ยชุ่ยเรื่อยมาก ทั้งยังเป็นชาวบ้านทั่วไป คิดว่าคงจะทานแต่อาหารรสจืดๆ จนเคยชินแล้ว ไม่ว่าอย่างไรด้วยฝีมือทำอาหารของ นางเฮ่อก็คงพอต้อนรับเขาได้แล้ว

จึงสั่งอาหารกับนางเฮ่อไปสองสามอย่างในทันใด เพื่อให้นางเตรียมเอาไว้ตั้งแต่วันนี้ นางเฮ่อได้ฟังแล้วว่าล้วนมิใช่อาหารที่ซับซ้อนทำยากอันใด ล้วนเป็นอาหารพื้นๆ ทำให้รู้ว่าเสิ่นจั้งเฟิงอยากจะจัดงานแบบงานเลี้ยงในบ้านเพื่อต้อนรับส้างกวานสืออีผู้นี้ นางจึงยิ้มพลางถามว่า “หรือว่าท่านส้างกวานผู้นี้ถูกคุณชายทาบทามสำเร็จแล้วเจ้าคะ?”

“ก็มิใช่หรอกรึ?” เว่ยฉางอิ๋งทำหน้าเหมือนจะร้องไห้ “ข้าเพิ่งได้ยินท่านพี่บอกข่าวนี้เมื่อครู่นี้เอง อยากออกไปขอบคุณฟ้าขอบคุณดินที่ลานบ้านเสียเดี๋ยวนี้จริงๆ …ข้ายังคิดว่าท่านผู้นี้จะวางท่าต่อไปอีกสักปีครึ่งปีโน่น!”

นางเฮ่อบอกว่า “นี่ก็เป็นเพราะคุณชายของเราเป็นคนจิตใจดี ชื่นชมความสามารถของเขาด้วยใจจริง จึงได้อะลุ่มอล่วยให้เขาเพียงนี้ หากเป็นผู้อื่นแล้วท่านส้างกวานผู้นี้ไม่รู้จักกาลเทศะเช่นนี้ ไม่แน่ว่าอาจทำให้ตนเองเดือดร้อนไปแล้วเจ้าค่ะ”

“คำนี้ท่านอาอย่าได้พูดไปเชียว” เว่ยฉางอิ๋งรู้ว่านางเฮ่อเป็นคนพูดจาขวานผ่าซากจึงรีบยิ้มยับยั้งนางเอาไว้พลางเอ่ยเตือน “เวลานี้ท่านพี่ให้ต้อนรับท่านส้างกวานสืออีอย่างสมเกียรติ …ด้วยสายตาของท่านพี่แล้ว คาดว่าความสามารถของคนผู้นี้ก็จะต้องควรค่าพอให้เขาเล่นตัวมาตลอดระยะเวลาที่ผ่านมานี้ …ดีชั่วพวกเราก็ยังไม่เคยได้พบเขา รอจนได้พบแล้วไม่แน่ว่าก็อาจรู้สึกว่าเขาไม่เลวด้วยเช่นกัน?”

เมื่อนางเฮ่อหลุดปากไปก็รู้สึกว่านางออกจะพูดเกินไปหน่อย ไม่ว่าส้างกวานผู้นี้จะคู่ควรให้เสิ่นจั้งเฟิงต้อนรับอย่างมีเกียรติเช่นนี้หรือไม่ ในเมื่อเสิ่นจั้งเฟิงก็ใช้เวลาหว่านล้อมเขามานานเพียงนี้แล้ว หากยามนี้กลับพิสูจน์ได้ว่าส้างกวานดีแต่ชื่อ คนที่จะเสียหน้ายิ่งกว่าก็มีเพียงว่าที่ประมุขตระกูลแห่งหมิงเพ่ยถังเท่านั้น หาใช่ส้างกวานสืออีที่จนยามนี้ก็ยังไม่มีชื่อเสียงอันใดไม่

ยามนี้เว่ยฉางอิ๋งช่วยหาทางลงให้นาง นางจึงรีบเปลี่ยนหัวข้อสนทนาไปอย่างขัดเขิน

ความจริงแล้วแม้เว่ยฉางอิ๋งจะยับยั้งไม่ให้นางเฮ่อวิพากษ์วิจารณ์ส้างกวานสืออี แต่ในใจนางเองก็ยังค่อนข้างข้องใจ …ผู้มีความสามารถที่โดยส่วนตัวสามีของตนเรียกขานเขาในทีล้อเล่นว่าเพชรน้ำหนึ่งผู้นี้ ที่แท้แล้วเป็นคนเช่นใด?

ดีที่วันงานก็เป็นวันพรุ่งแล้ว คืนวานเสิ่นจั้งเฟิงก็บอกกับนางแล้วว่าจะพานางออกไปต้อนรับท่านผู้นี้ด้วย

วันรุ่งขึ้น เว่ยฉางอิ๋งรู้สึกอยากรู้อยากเห็นอยู่เต็มอกตื่นมาแต่เช้าตรู่ และพากันแต่งกายอย่างพิถีพิถันพร้อมกันกับเสิ่นจั้งเฟิง เพื่อเป็นการแสดงออกว่าพวกเขาให้ความสำคัญต่อการต้อนรับที่ปรึกษาที่เพิ่งทาบทามมาได้ผู้นี้ ตอนกลางวันวันนี้ เว่ยฉางอิ๋งก็ตรวจสอบทุกๆ เรื่องที่เตรียมไว้ต้อนรับส้างกวานสืออีอีกครั้งหนึ่ง เมื่อแน่ใจว่าไม่มีข้อผิดพลาดแล้วจึงกลับมาในห้อง แล้วมาสนทนาหัวร่อต่อกระซิกกับสามีในระหว่างที่รอเขามา

จนช่วงเย็น บ่าวมารายงานว่าส้างกวานสืออีพาบ่าวมาร่วมงานเลี้ยงแล้ว

งานเลี้ยงในคืนวันนี้เสิ่นจั้งเฟิงไม่เพียงจัดงานในรูปแบบงานเลี้ยงในบ้านและพาเว่ยฉางอิ๋งออกมาต้นรับด้วยกัน ยิ่งไปกว่านั้นก็เชิญส้างกวานสืออีมาเพียงคนเดียว เวลานี้ในเมื่อส้างกวานสืออีมาถึงแล้ว เว่ยฉางอิ๋งจึงรีบสั่งบ่าวซ้ายขวาไปเตรียมเปิดงานเลี้ยง

เมื่อสั่งความบ่าวเรียบร้อยแล้ว เว่ยฉางอิ๋งก็จัดแจงเสื้อผ้าเครื่องประดับ และตามสามีออกไปต้อนรับที่ประตูรอง

แม้ที่ด่านจะค่ำเร็ว ทว่าทุกที่ในเรือนพักล้วนจุดโคมสว่างไสวเต็มไปหมดเอาไว้ตั้งนานแล้ว จึงไม่ต้องกังวลว่าจะมองไม่ถนัด

อาศัยแสงจากโคมไฟ เพียงเว่ยฉางอิ๋งทอดตาไปก็เห็นคนสองคนที่กำลังถูกบ่าวนำเข้ามา คนที่อยู่ข้างหน้าร่างกายกำยำบึกบึน หน้าเหลี่ยม ดวงตาดังเสือดาว คิ้วเข้มหนาดังใบมีด จมูกโด่งเป็นสัน แม้จะสวมชุดยาวที่บัณฑิตฝ่ายบุ๋นมักจะสวมกัน ก็ไม่อาจปิดบังรัศมีความดิบเถื่อนยามเขาทอดสายตามาได้

นี่ก็คือส้างกวานสืออีที่สามีต้องค่อยๆ ใช้วิธีน้ำหยดลงหินเป็นเวลาเกือบปีจึงทาบทามได้สำเร็จรึ?

เว่ยฉางอิ๋งออกจะประหลาดใจเล็กน้อย ในจินตนาการของนาง ผู้ที่เรียกขานว่าเป็นที่ปรึกษาก็ควรจะค่อนข้างมีราศีอย่างบัณฑิต แต่เมื่อคิดไปอีกที …เสิ่นจั้งเฟิงบอกว่าส้างกวานสืออีผู้นี้ชำนาญการวางกลยุทธ์ทางทหาร ชายในชุดบัณฑิตที่พรรณนาไปก่อนหน้านี้ว่าเหมือนกับนายทหารเหี้ยมหาญที่นางเห็นอยู่ในยามนี้ ไม่แน่ว่าจะเป็นบัณฑิตฝ่ายบุ๋นก็เป็นได้?

ในใจกำลังใคร่ครวญไปมา เว่ยฉางอิ๋งเห็นว่าคนเข้ามาใกล้ตรงหน้าแล้ว เสิ่นจั้งเฟิงก็ก้าวเข้าไปรับอีกสองก้าว นางจึงรีบก้าวเท้าเล็กๆ ก้าวหนึ่งตามสามีไป แล้วตั้งท่าจะคำนับ พร้อมกับเตรียมรอยยิ้มที่อ่อนโยนเป็นกันเองและคำทักทายตามพิธีเอาไว้

ไม่คิดว่าเสิ่นจั้งเฟิงเดินเข้าไปสองก้าว แต่กลับเอ่ยไปยังข้างหลังชายในชุดบัณฑิตผู้นั้นอย่างร้องไห้ก็ไม่ใช่หัวเราะก็ไม่เชิงว่า “พี่ส้างกวาน! ข้ารู้ว่าพี่ส้างกวานไม่ชอบความอึกทึก วันนี้จึงไม่ได้เชิญคนนอก มีเพียงคนในมาพบกันอยู่ที่นี่ แล้วเหตุใดพี่ส้างกวานจึงยังคงหลบอยู่ข้างหลังน้องมู่ ไม่ยอมโผล่หน้าออกมาเล่า?”

“…” เว่ยฉางอิ๋งมองไปที่ชายหนุ่มในชุดบัณฑิตหนแล้วหนเล่าอย่างงุนงง ตอน เสิ่นจั้งเฟิงเอ่ยปาก ชายผู้นั้นก็หลบถอยไปข้างๆ ก้าวหนึ่ง เพื่อให้คนข้างหลังที่เขายืนบังอยู่เผยตัวออกมา พร้อมกันนั้นก็เอ่ยอย่างจนใจว่า “คุณชายเสิ่นสาม ข้าน้อยเสียมารยาทแล้ว เดิมทีข้าน้อยก็มองเห็นมาแต่ไกลแล้วว่าฮูหยินของท่านก็อยู่ด้วย จึงไม่กล้าเดินอยู่ข้างหน้า ด้วยเกรงว่าจะเป็นการล่วงฮูหยินของท่าน แต่จนใจนักที่คุณชายบ้านข้ากลับไม่ยินยอมโดยเด็ดขาด ฉะนั้น…”

เขาว่ามาดังนี้ หากยังไม่รู้ว่าเขามิใช่นาย และคนข้างหลังผู้นั้นจึงจะใช่ก็นับว่าโง่เต็มทนแล้ว เว่ยฉางอิ๋งชะเง้อคอมองไปข้างหลังเขาอย่างหมดคำพูด คิดในใจว่าเหตุใดเมื่อส้างกวานสืออีผู้นี้มองเห็นว่าตนอยู่ด้วยจึงไม่อยากจะเดินมา ในเมื่อก็ยอมมาแล้วและยังเอาบ่าวมาด้วย คงมิใช่ว่าเขามีความคิดเห็นใดกับตนหรอกนะ?

ทว่าเมื่อมองไปครานี้ แม้ว่าตั้งแต่เว่ยฉางอิ๋งออกเรือนก็ได้ผ่านการฝึกฝนตนมาไม่น้อยแล้ว แต่ก็ยังอดจะตกตะลึงไม่ได้…

ผู้ที่ยืนอยู่ข้างหลังชายในชุดบัณฑิตนั้น กลับเป็นชายหนุ่มที่มองดูแล้วเพิ่งอยู่ในวัยจวนจะเกล้าผมเท่านั้น แต่เมื่อดูจากกว้านไม้ไผ่สานที่เขาใช้รัดผมแล้ว เขากลับได้เกล้าผมแล้ว เพียงแต่คนผู้นี้มีรูปร่างผอมบาง ผิวพรรณขาวนวลเนียน ดูไปแล้วอ่อนวัยกว่าอายุจริงมาก

หากเป็นเพียงแค่อ่อนกว่าวัยไม่กี่ปี นี่กลับไม่ถึงกับทำให้เว่ยฉางอิ๋งตกตะลึง นั่นเพราะเหล่าสตรีสูงศักดิ์ในตระกูลเลื่องชื่อล้วนใส่ใจเรื่องการบำรุงความงามเป็นที่สุด ทั้งแม่เฒ่าซ่ง ฮูหยินซ่ง ฮูหยินซู …ส่วนตัวเว่ยฉางอิ๋งยังไม่ถึงวัยที่ต้องบำรุง แต่ก็ไม่ได้มีญาติผู้ใหญ่ทุกคนที่นางเคยพบที่ดูเยาว์วัยกว่าอายุจริงอย่างชัดเจน

ปัญหาคือ …ส้างกวานสืออีผู้นี้ก็มีหน้าตางดงามเกินไปหน่อยแล้ว!

มิผิด เป็นความงดงาม ไม่ใช่หน้าหวาน กระทั่งไม่ใช่หล่อเหลา

หากมิใช่เพราะคนผู้นี้สวมชุดบัณฑิตสีน้ำเงินทั้งตัว หน้าอกแบนเรียบ มองเห็นลูกกระเดือกชัดเจน เว่ยฉางอิ๋งก็จะนึกว่าที่แท้แล้วส้างกวานสืออีผู้นี้เป็นหญิงที่แต่งกายเป็นชาย!

นั่นเพราะท่านผู้นี้มีใบหน้าหวานหยดย้อย ดวงตาดังหยดหมึกดำ จมูกเป็นสันเหมือนเสา ริมปากดังย้อมด้วยสีแดง กระทั่งขนตายาวๆ ก็งอนงามดังเช่นของเว่ยฉางอิ๋ง …ท่ามกลางทุกสิ่งบนใบหน้าที่งดงามเย้ายวนใจคน ก็มีเพียงคิ้วคู่ยาวที่ตรงเข้าไปในตีนผมที่ทำให้ดูมีความหล่อเหล่าขึ้นมามากสักหน่อย นอกนั้นแล้วมีสิ่งใดบ้างที่เด็กสาวแรกรุ่นนับหมื่นนับพันไม่ใฝ่ฝันอยากได้มี?

โดยเฉพาะที่ยามนี้เป็นเวลาโพล้เพล้ ในเรือนพักล้วนจุดโคมส่องสว่าง

ว่ากันว่ายลหญิงงามใต้แสงโคม ด้วยเค้าโครงหน้าของส้างกวานสืออีผู้นี้ หากมองเขาในยามกลางวันก็เกรงว่าจะเข้าใจผิดว่าเขาเป็นหญิงสาวที่งดงามผู้หนึ่ง ยามนี้เป็นเวลากลางคืน เมื่อแสดงโคมส่องไป ยิ่งทำให้ผิวพรรณของคนผู้นี้ดูเปล่งปลั่งนวลเนียนยิ่งนัก ยามเงยหน้าขึ้นมาพลางชม้ายชายตาก็งดงามจนเกินบรรยาย!

…หากมองจากไกลๆ สักหน่อยก็ยังนึกว่า เสิ่นจั้งเฟิงรับหญิงงามคนใหม่เข้ามาคารวะนายผู้หญิงอย่างเจียมเนื้อเจียมตัวทีเดียว!

เว่ยฉางอิ๋งพลันเข้าใจขึ้นมาทันใดว่าเหตุใดเมื่อตอนที่ตนเพิ่งมาถึงซีเหลียง และ เสิ่นจั้งเฟิงยังคงนอนพักรักษาตัวอยู่ จึงกระเซ้ากับตนว่าที่ด่านเตี๋ยชุ่ยมีเพชรน้ำหนึ่งอยู่ผู้หนึ่ง… แม้ว่าแต่โบราณมาการใช้คำว่าคนงามมาเปรียบเปรยกับผู้มีความสามารถจะมีให้พบเห็นอยู่ไม่น้อย แต่ครานั้นเสิ่นจั้งเฟิงคิดถึงคำว่า ‘เพชรน้ำหนึ่ง’ คำนี้ เกรงว่าน่าจะคิดถึงรูปร่างหน้าตาของส้างกวานสืออีผู้นี้เสียมากกว่ากระมัง…

ยิ่งไปกว่านั้น ส้างกวานสืออีไม่เพียงมีหน้าตาดังหญิงงาม กริยาท่าทางของเขาก็ดูเหนียมอายประหนึ่งสาวบริสุทธิ์ที่ยังไม่แต่งงานอีกด้วย! เดิมทีเมื่อเว่ยฉางอิ๋งได้ยินบ่าวแซ่มู่ที่มากับเขาพูด ก็ยังคิดว่าส้างกวานสืออีผู้นี้ถือดีในความสามารถของตน และดูแคลนนาง ฉะนั้นเมื่อเห็นนางจากที่ไกลๆ จึงไม่ยอมเข้ามาเสียอีก

ปรากฏว่าเสิ่นจั้งเฟิงเข้าไปทักทายเขาสักพัก ส้างกวานสืออีจึงยอมเงยหน้าขึ้นมาอย่างเหนียมอาย แล้วตอบไปสองสามคำด้วยเสียงบางเบาเหมือนเสียงยุง …เว่ยฉางอิ๋งจึงเข้าใจในทันใดว่า เจ้าหมอนี่ไม่ใช่ดูแคลนตน หากแต่เป็นเพราะตกใจที่เห็นคนแปลกหน้าจึงไม่กล้าเดินมา

…ยังต้องให้บ่าวแซ่มู่กล่อมซ้ายกล่อมขวา ส้างกวานสืออีจึงรวบรวมความกล้าเดินมาได้ แต่ก็ต้องขอให้บ่าวแซ่มู่เดินอยู่ข้างหน้าเพื่อบังตัวเขาเอาไว้…

นี่หากเป็นเด็กเล็กๆ คนหนึ่ง เว่ยฉางอิ๋งก็จะเข้าไปกระเซ้าด้วยรอยยิ้มสองสามคำเป็นพอแล้ว

แต่หากนางจำไม่ผิด ส้างกวานสืออีผู้นี้ดูคล้ายอายุยังน้อย แต่ความจริงแล้วกลับอายุมากกว่าเสิ่นจั้งเฟิงเสียอีก

“…ที่สุดข้าก็เข้าใจแล้วว่าเหตุใดท่านพี่จึงต้องทาบทามคนผู้นี้นานเพียงนี้จึงสำเร็จ มิใช่เพราะคนผู้นี้เล่นตัวใหญ่โต หากแต่เป็นเพราะเขาอายเกินไป!” เว่ยฉางอิ๋งรู้สึกสับสนในใจไปหมด ตนเองล้วนไม่รู้ว่าจะต้อนรับแขกเข้างานเลี้ยงพร้อมกับเสิ่นจั้งเฟิงอย่างไร และจะคารวะสุราอย่างไร… เดิมทีนางไม่พอใจเป็นอย่างมากเรื่องที่ส้างกวานสืออีทำให้เสิ่นจั้งเฟิงต้องเสียเวลาไปอย่างมากจึงยอมรับปากจะออกมาช่วยงาน และนางก็ยังลังเลหนแล้วหนเล่าว่าวันนี้ควรจะทดสอบคนผู้นี้ดูสักหน่อยว่าที่แท้แล้วเขาเหนือกว่าผู้อื่นเช่นใด ควรค่าให้เสิ่นจั้งเฟิงให้ความสำคัญกับเขาหรือไม่ …นั่นเพราะนับตั้งแต่เว่ยฉางอิ๋งมาถึงซีเหลียงเสิ่นจั้งเฟิงทุ่มเททั้งแรงกายแรงใจและเวลาไปกับส้างกวานสืออีผู้นี้มากกว่าให้แก่นางซึ่งเป็นภรรยาของเขาเสียอีก!

ปรากฏว่าเมื่อได้พบกับส้างกวานสืออีในยามนี้ เว่ยฉางอิ๋งก็เปลี่ยนมารู้สึกเห็นใจสามีของตนในทันใดว่า “ท่านพี่ช่างมีน้ำอดน้ำทนจริงๆ! คนเช่นนี้ ตั้งแต่อยู่ที่หน้าประตูรองจนถึงยามนี้ ไม่ว่าท่าพี่จะกระเซ้า ยกย่อง เชื้อเชิญ คารวะสุรา หรือสนทนาด้วยอย่างแย้มยิ้ม …ทั้งหมดนี้เขาก็ตอบมาเพียงสามประโยคเท่านั้น ซึ่งสองในสามก็เป็นเพียงคำคำเดียว …เมื่อครู่นี้ข้าคารวะสุราเขาจอกหนึ่งพลางเอ่ยคำไปตามมารยาท ปรากฏว่าเขาก็ตกใจเสียใจเกือบจะทำจอกสุราหล่นจากมือแล้ว คนเช่นนี้ ท่านพี่ก็ยังสามารถกล่อมจนเขายอมรับปากออกมารับราชการ! นี่เรียกว่าสวรรค์เมตตาจริงๆ!”