ณ ตำหนักตะวันออก เมืองหลวง
นางหลิวที่นานๆ จะมาสักครั้ง พินิจดูสีหน้าขาวซีดเป็นกระดาษของหลิวรั่วอวี้ พลางเอ่ยอย่างปวดใจว่า “เหตุใดสีหน้าจึงย่ำแย่เพียงนี้?” เพราะเวลานี้ในห้องมีเพียงพวกนางลูกพี่ลูกน้องสองคน นางหลิวจึงถามไปตรงๆ ว่า “หรือเพราะองค์รัชทายาทมะ…ไม่ดีกับเจ้าอีกแล้ว?”
หลิวรั่วอวี้ยิ้มจางๆ ทั่วแผ่นดินต่างรู้ว่าผู้สืบทอดราชบัลลังก์เลอะเลือนไร้คุณธรรมผู้นั้นจะเคยทำดีกับนางยามใด? แต่นางเองก็ไม่ได้สนใจเรื่องนี้สักเท่าใด ดีชั่วนางก็อยู่ในเงื้อมมือของแม่เลี้ยงมาสิบกว่าปี จางเสากวงแม่ลูกคอยจดจ่อแต่จะทรมานนาง ทั้งรูปแบบกลอุบายนานาล้วนโหดร้ายกว่าเซินสวินมากนัก เซินสวินทุบตีด่าทอ ก็หาใช่ว่าหลิวรั่วอวี้จะไม่ได้เก็บมาใส่ใจเลยแม้แต่น้อย เพียงแต่ต่อให้ไปถือสาเขา นางก็ยังวางเอาไว้หลังจางเสากวงแม่ลูก
นางหลบเลี่ยงหัวข้อการสนทนานี้อย่างเอื้อมระอา บอกว่า “ขนมดอกบัวที่พี่เจ็ดนำมาครานี้ ดูเผินๆ แล้วเป็นพี่เจ็ดทำ แต่พอมองให้ละเอียดกลับมีความแตกต่างกัน …เป็นจิ่งเอ๋อร์ทำใช่หรือไม่? นางเริ่มเรียนทำอาหารแล้วหรือเจ้าคะ?”
“ก็มิใช่รึ” นางหลิวมองออกว่านางไม่อยากเอ่ยถึงองค์รัชทายาทให้มากนัก จึงได้แต่ทอดถอนใจอยู่ในใจ แต่ก็ไม่ไล่เบี้ยถามต่อ …ในใจของหลิวรั่วอวี้ไม่มีองค์รัชทายาทและรำคาญที่จะต้องสิ้นเปลื้องจิตใจกับองค์รัชทายาทด้วย วิธีผูกมัดใจเอาอกเอาใจที่สอนนางมา นางล้วนนำไปใช้กับตัวฮองเฮา …อีกประการ องค์รัชทายาทเซินสวินผู้นั้น ก็มิใช่ว่าเมื่อเป็นที่โปรดปรานของเขาแล้วก็จะสามารถผูกมัดจิตใจเขามาได้โดยง่าย เรื่องนี้แม้ว่านางหลิวจะสงสารหลิวรั่วอวี้อีกสักปานใดก็ทำได้เพียงคิดแต่ไร้กำลังจะช่วยได้แล้ว
ในชั่วเวลานี้จึงทำได้เพียงเปลี่ยนหัวข้อสนทนาไปตามหลิวรั่วอวี้เท่านั้น “เดิมทีครั้งนี้นางก็อยากจะมาหาเจ้ากับข้า เพียงแต่ก่อนหน้านี้เจ้าส่งคนไปบอกว่าไม่ให้นางมา…”
“วันหน้า รอจนทางตำหนักเว่ยยางจัดงานเลี้ยง พี่เจ็ดค่อยพานางเข้าวัง ไปพบกันยามอยู่ต่อหน้าพระพักตร์ฮองเฮาก็เหมือนกันเจ้าค่ะ” หลิวรั่วอวี้ตอบกลับมาอย่างราบเรียบ “จิ่งเอ๋อร์เป็นคนใจอ่อนมาแต่ไร ท่านดูสภาพข้ายามนี้สิ เอาแต่ล้มป่วยอยู่ทุกวี่วัน หากให้นางเห็นเข้าก็คงจะต้องทำให้นางเป็นทุกข์ แล้วไยต้องทำเช่นนั้น?”
ความจริงแล้ว ทั้งสองพี่น้องล้วนเข้าใจดีถึงสาเหตุที่แท้จริงที่นางเสนอแนะว่าไม่ต้องพาเสิ่นซูจิ่งเข้าวังมา …แม้แต่แม่ยายจางเสากวง องค์รัชทายาทก็ยังดูท่าว่าเกิดความสนพระทัย แล้วประสาอันใดกับผู้อื่น? เสิ่นซูจิ่งอายุสิบสองปีแล้ว กริยามารยาทสงบเสงี่ยมงดงาม ทั้งนางหลิวและหลิวรั่วอวี้ล้วนไม่อยากให้นางถูกองค์รัชทายาทพบเห็นเขาแล้วเกิดเรื่องไม่ดีขึ้น
เมื่อนางหลิวคิดถึงว่า หลิวรั่วอวี้ต้องแต่งงานกับคนเช่นนี้ ใจก็ยิ่งรู้สึกเป็นทุกข์นัก นางนิ่งงันไปพักหนึ่ง จึงว่า “ก่อนหน้านี้ไม่นานได้ยินว่าเจ้าเจ็บหนักหนหนึ่ง …ยามนี้หายแล้วหรือ?”
“คราก่อนล้มป่วยไม่เบาเจ้าค่ะ แทบจะตายไปเสียแล้ว” เมื่อได้ยินนางเอ่ยถามถึงเรื่องที่นาง ‘เจ็บหนัก’ ก่อนหน้านี้ระยะหนึ่ง ดวงตาของหลิวรั่วอวี้ก็สั่นไหวคราหนึ่ง ในน้ำเสียงที่จงใจเอ่ยอย่างราบเรียบนั้นคล้ายกำลังสั่นอยู่น้อยๆ “เคราะห์ดีที่…อื่ม หายแล้วเจ้าค่ะ”
นับตั้งแต่อุปนิสัยของหลิวรั่วอวี้เปลี่ยนไปอย่างมาก ยามอยู่ต่อหน้าหลิวรั่วอี๋ลูกผู้พี่ของนาง นางก็ไม่เคยยอมเปิดเผยความทุกข์ของตนออกมาอีกแม้แต่น้อย สีหน้าของนางหลิวเปลี่ยนไปโดยไม่ทันรู้ตัว บอกว่า “มีอันใด? เหตุใดจึงเป็นเช่นนี้?”
นางหลิวรู้อยู่แล้วว่าที่บอกว่า หลิวรั่วอวี้ล้มเจ็บทุกสองสามวัน มีห้าหกในสิบส่วนล้วนเป็นเพราะถูกองค์รัชทายาทข่มเหงทำร้าย ครานี้ได้ยินเข้าก็ปักใจว่าหลิวรั่วอวี้จะต้องถูกองค์รัชทายาทลงมืออย่างหนักมืออีกเป็นแน่ …ไม่พูดพร่ำทำเพลงนางคว้ามือของหลิวรั่วอวี้มา แล้วดึงแขนเสื้อขึ้น ปรากฏว่าบนลำแขนขาวดังหิมะมีรอยบีบแถบหนึ่งที่ช้ำจนเป็นสีเขียวสีม่วง ดูน่ากลัวนัก
นางหลิวโกรธจนน้ำตาแทบร่วง “องค์รัชทายาททำอันใดอีก? บุตรีจากภรรยาเอกของตระกูลหลิวแห่งตงหูสูงส่งดังทองคำ แต่เขากลับทุบดีด่าทอได้ตามอำเภอใจเหมือนบ่าวคนหนึ่งรึ? แม้จะเป็นฮ่องเต้ก็ยังไม่เคยทารุนต่อขุนนางเยี่ยงนี้เลย!” ยามบันดาลโทสะขึ้นมา นางหลิวก็ไม่สนใจสิ่งใดอีกแล้ว พลันดึงหลิวรั่วอวี้มา แล้วลุกขึ้นจะไปเอาความกับฮองเฮาที่ตำหนักเว่ยยาง “เจ้าไปเฝ้าฯ ฮองเฮากับข้า! ข้ากลับอยากถามฮองเฮาสักหน่อยว่า เป็นถึงองค์รัชทายาทแต่กลับทุบตีพระชายาองค์รัชทายาทที่แต่งเข้ามาถูกต้องตามธรรมเนียมเช่นบ่าวผู้หนึ่งจนเขียวช้ำไปทั้งตัว นี่มันเป็นธรรมเนียมเช่นใดกัน? ฮ่องเต้ทรงเคยทำเช่นนี้ต่อฮองเฮารึ?!”
“พี่เจ็ดท่านอย่าเพิ่งร้อนใจ นี่มิใช่องค์รัชทายาททำเจ้าค่ะ” หลิวรั่วอวี้รีบปัดมือนางออก พลางเอ่ยเตือน “พี่เจ็ดท่านลองดูทิศทางของรอยบีบนี้สิเจ้าคะ เป็นข้าทำเอง…”
นางหลิวสะดุ้ง ยั้งเท้าเอาไว้แล้วมองอย่างละเอียด ปรากฏว่าไม่เหมือนเป็นคนอื่นทำจริงดังว่า นางตกตะลึงและอดจะร้อนใจหนักไม่ได้ “นี่เจ้าหมายความว่าอย่างไร?”
“ที่ล้มป่วยคราก่อนข้าคิดไม่ตกเล็กน้อย จึงบีบแขนตนไปสองสามหน” หลิวรั่วอวี้ถอนใจเบาๆ …ซึ่งความจริงย่อมไม่เป็นดังนี้ และความจริงก็ไม่อาจบอกกับนางหลิวได้ด้วย…
วันนั้นหลิวรั่วอวี้ได้รับจดหมายที่เว่ยซินหย่งให้คนนำมาส่ง เมื่อรู้เรื่องที่เว่ยฉางเจวียนถูกองค์รัชทายาทย่ำยี นางจึงรีบไปทูลฮองเฮากู้ที่ตำหนักเว่ยยาง เดิมทีนางคิดจะอาศัยโอกาสนี้ยืมมือฮองเฮามากำจัดจางเสากวงแม่ลูกซึ่งเป็นหนามยอกอกตน แต่จนใจที่ฮองเฮากู้กลับกลัวว่าหากจางเสากวงตายแล้ว จะไม่เป็นผลดีต่อองค์รัชทายาท เมื่อลองชั่งน้ำหนักดูแล้วก็ยังรู้สึกว่าหลิวรั่วอวี้ที่ไม่เป็นที่รักของบิดารังแกได้ง่ายกว่า จึงกลับเลือกมาบีบให้หลิวรั่วอวี้ฆ่าตัวตายเพื่อแบกรับเรื่องนี้เอาไว้เอง
หลิวรั่วอวี้ย่อมไม่ยินยอม!
ยังไม่ต้องเอ่ยว่า ไม่ว่าอย่างไรนางก็ทนยอมตายไปก่อนจางเสากวงแม่ลูกไม่ได้ ต่อให้มีคำสัญญาของฮองเฮากู้ …ในเมื่อหลิวรั่วเหยียกล้าวางแผนให้องค์รัชทายาทย่ำยีเว่ยฉางเจวียน …ในขณะที่มีโอกาสดีเพียงนี้ ฮองเฮาก็ยังเลือกจะไม่แตกหักกับจางเสากวง วันหน้าเมื่อสมุหกลาโหมหลิวซือฮวายสนับสนุนให้องค์รัชทายาทขึ้นครองราชย์ ก็จะสร้างความชอบอันใหญ่หลวง แล้วฮองเฮาจะไม่ลืมเรื่องเล็กน้อยเช่นนี้ไว้บนเมฆชั้นเก้าโน่นหรอกหรือ? ถึงยามนั้น เมื่อหลิวรั่วอวี้กลายเป็นผีแล้วจะยังวิ่งออกมาจากปรโลกและบีบคอฮองเฮากู้ให้ตายได้หรือ?
ถ้าหากเป็นดังนี้ได้จริง ตั้งแต่ครั้งจางเสากวงรังแกหลิวรั่วอวี้ ทั้งแม่เลี้ยงผู้นี้และหลิวไห้ก็จะต้องถูกจางเสายางมารดาของนางกำจัดไปตั้งนานแล้ว
ฉะนั้น หลิวรั่วอวี้จึงปฏิเสธคำขอของฮองเฮากู้ไปโดยไม่ลังเลแต่อย่างใด!
และแน่นอนว่าคำขอของฮองเฮากู้ย่อมไม่อาจปฏิเสธได้อย่างง่ายได้เยี่ยงนั้น เมื่อเห็นว่าหลิวรั่วอวี้ไม่ฟังคำนาง ฮองเฮากู้ก็เรียกบ่าวคนสนิทเข้ามาในทันใด เพื่อ ‘มาช่วยให้พระชายาองค์รัชทายาทได้เข้าใจคุณธรรมอันใหญ่หลวง’
ในช่วงเวลาสำคัญนั้นเอง หลิวรั่วอวี้ไม่อาจมาห่วงคิดอันใดมากมาย จึงลากเว่ยซินหย่งลงน้ำไปด้วยกันเสียเลย นางบอกไปชัดเจนว่าจดหมายนี้มาจากเว่ยซินหย่ง ยิ่งไปกว่านั้นตนเองก็ส่งจดหมายไปมากับเว่ยซินหย่งมาระยะหนึ่งแล้ว …และเพื่อให้ฮองเฮากู้หวาดกลัวพอ แม้แต่ชื่อเสียงของตนหลิวรั่วอวี้ก็ยังไม่สนใจแล้ว นางบอกฮองเฮาเป็นนัยๆ ว่าความสัมพันธ์ของตนกับเว่ยซินหย่งนั้นมิใช่แค่เพียงผิวเผิน หากจู่ๆ ตนเองมาตายอยู่ในวัง เว่ยซินหย่งก็จะไม่มีทางปล่อยให้ฮองเฮากู้แม่ลูกอยู่ดีมีสุขเป็นแน่!
หากเพียงแค่ข่มขู่เช่นนี้ มีเพียงปากเปล่าไร้หลักฐาน คนเช่นฮองเฮากู้ย่อมไม่มีวันตกใจได้โดยง่าย ในขณะที่นางกำลังทั้งตกใจทั้งโกรธอยู่นั้นก็ยังคงไม่ยอมเปลี่ยนใจที่จะให้หลิวรั่วอวี้เป็นคนรับผิดไป แต่หลิวรั่วอวี้ยิ้มหยันพลางบอกกับฮองเฮาว่า …จดหมายลาตายของเว่ยฉางเจวียนอยู่ในมือของเว่ยซินหย่ง! ภายในนั้นมีรายละเอียดเรื่ององค์รัชทายาทย่ำยีนางจนทำให้นางตั้งต้องครรภ์ทั้งที่ยังไม่ได้แต่งงานเอาไว้ด้วย!
ตระกูลเว่ยมีการต่อสู้ภายในล้วนเป็นที่รู้กันโดยทั่ว เดิมทีเว่ยซินหย่งอยู่ฝั่งของ แม่เฒ่าซ่ง ในขณะที่รุ่ยอวี่ถังยังคงอ่อนแออยู่นี้ เขาย่อมไม่ยอมให้เรื่องใหญ่โตที่มีผลต่อการสืบราชบัลลังก์เช่นนี้มาทำให้รุ่ยอวี่ถังยิ่งอ่อนแอลงไปอีก แต่หลังจากเว่ยเจิ้งหงหายดีแล้ว และเดิมทีแม่เฒ่าซ่งก็เป็นคนที่ลำเอียงไปหาเลือดเนื้อเชื้อไขแท้ๆ ของตนอยู่แล้ว แม้แต่บุตรและหลานจากอนุนางก็ยังไม่เห็นเป็นคนเสียด้วยซ้ำ ยิ่งไม่ต้องเอ่ยถึงเว่ยซินหย่งที่มีสายเลือดห่างไกลกับนางและเว่ยฮ่วนเพียงนั้น
ส่วนเว่ยซินหย่งก็เป็นผู้เพียบพร้อมทั้งความสามารถและหน้าตา ท่วงท่าสง่างาม แล้วจะยินยอมมาคอยอยู่เป็นตัวเสริมเพื่อขับให้เว่ยเจิ้งหงโดดเด่นได้อย่างไร?
เจ้าหนุ่มที่มีความกล้าคับฟ้าเช่นนี้ แม้แต่พระชายาองค์รัชทายาท ก็มิใช่ว่าเขาย่อมกล้ามาเกี้ยวพาราสีหรอกหรือ?!
เมื่อเขามีจดหมายสั่งเสียของเว่ยฉางเจวียนอยู่ในมือ แล้วผู้ใดจะเปิดโปงเรื่องจริงออกมาไม่ได้ ทั้งนี้ก็เพื่อบีบให้เว่ยฮ่วนต้องสู้ตายกับฮองเฮากู้ และให้ตนเองได้ตักตวงผลประโยชน์จากเรื่องนี้?
ดีชั่ว คนผู้นี้ก็ตัวคนเดียวไม่มีสิ่งใดให้ต้องห่วง ฮองเฮากู้คิดว่าเว่ยซินหย่งมีใจทะเยอทะยานยิ่งนัก เพียงแต่ไม่ว่าจะอยู่ที่จือเปิ่นถังหรือว่ารุ่ยอวี่ถัง ข้างบนหัวเขาก็ยังมีคนระดับจิ่งเฉิงโหวและฉางซานกงอยู่ จิ่งเฉิงโหวและฉางซานกงล้วนมีลูกหลาน ลำพังเพียงสนใจลูกหลานของตนก็ยังไม่ทันแล้ว จะมีแก่ใจใดไปช่วยสนับสนุนบ่มเพาะเขา? ยิ่งเขาเก่งกาจและโดดเด่นมากเท่าใด เกรงว่าผู้อาวุโสทั้งสองท่านนี้คอยข่มเขาลงไปก็ยังไม่ทันเลย! เพราะอย่างไรทั้งสองทางล้วนมีเลือดเนื้อเชื้อไขที่สามารถฝากความหวังเอาไว้ได้ และทั้งสองสายของตระกูลเว่ยก็ไม่เหมือนตระกูลหลิวแห่งตงหูและตระกูลเสิ่นแห่งซีเหลียงที่มีพวกหรงและพวกตี๋มาเป็นตัวช่วยให้พวกเขาทดสอบความสามารถของประมุขตระกูล
เพื่อให้ได้มาซึ่งซื่อเสียง คนที่นอกจากความสติปัญญาและความสามารถแล้วก็ไม่มีสิ่งใดอีก ย่อมเป็นผู้ที่กล้าเสี่ยงมากที่สุด!
ทว่า เว่ยซินหย่งกล้าเสี่ยง ฮองเฮากู้กลับไม่กล้า …นางมีองค์รัชทายาทเป็นพระโอรสเพียงองค์เดียว แม้จะมีพระนัดดาแท้ๆ ที่เป็นชายแล้วหลายพระองค์ ทว่าพระราชโอรสของฮ่องเต้ก็มีตั้งมากมายเพียงนั้น และในพระโอรสทั้งหมดขององค์รัชทายาทก็ไม่มีผู้ใดที่ฮ่องเต้โปรดปรานเป็นพิเศษด้วย หากวันใดองค์รัชทายาทสูญเสียตำแหน่งแล้ว ด้วยสถานการณ์บ้านเมืองที่ไม่สงบเช่นในยามนี้ ฮ่องเต้จะทรงแต่งตั้งพระราชนัดดาผู้สืบทอดราชบัลลังก์ได้อย่างไร?
ที่คอขาดบาดตายที่สุดก็คือ นอกจากองค์รัชทายาทแล้ว ผู้ที่ฮ่องเต้รักใคร่เป็นที่สุดในยามนี้ก็คืออีอ๋องเซินปั๋ว
เซินปั๋วมีความแค้นเรื่องสังหารมารดากับฮองเฮากู้ เมื่อเขาขึ้นสืบทอดราชบัลลังก์แล้ว ฮองเฮากู้แม่ลูกก็จะต้องไม่มีวันอยู่เป็นสุขแน่ แม้แต่ตระกูลกู้แห่งหงโจวก็ยังเกรงว่าจะต้องพลอยรับเคราะห์ไปด้วย!
เมื่อคิดถึงเซินปั๋วขึ้นมา ฮองเฮากู้ก็อดจะคิดลึกเข้าไปอีกชั้นไม่ได้ว่า ก่อนนี้เซินปั๋วขออภิเษกกับเว่ยลิ่งเยวี่ยแห่งจือเปิ่นถัง เพื่อให้มาเป็นพระชายาอีอ๋องมาหลายครั้งหลายคราและครั้งนั้นตนเองก็เคยขัดขวางเอาไว้ด้วย แม้เว่ยฉางเจวียนผู้นี้จะถือกำเนิดในรุ่ยอวี่ถัง ทว่าก็ล้วนเป็นบุตรีตระกูลเว่ยแห่งเฟิ่งโจวเช่นเดียวกับเว่ยลิ่งเยวี่ย ต่อให้เซินปั๋วคิดไม่ถึง สนมเอกเติ้งก็จะไม่มีวันปล่อยโอกาสที่จะไปเอ่ยเตือนสติฮ่องเต้ว่า เป็นไปได้หรือไม่ที่องค์รัชทายาททำดังนี้เพราะจงใจหาเรื่องพระอนุชา ฉะนั้นในขณะที่พระอนุชาไม่อาจอภิเษกกับว่าที่พระชายาเว่ยได้ เขาก็ย่ำยีน้องสาวของว่าที่พระชายาไปเสีย เพื่อทำให้เซินปั๋วเสียหน้า?
ซึ่งแน่นอนว่าตัวของฮ่องเต้เองก็หลงใหลในกามรมย์ยิ่งนักเช่นกัน จึงไม่แน่ว่าจะเห็นเรื่องนี้สลักสำคัญอันใดนักหนา ทว่าอาศัยเรื่องของเซินปั๋วผู้นี้ผู้เดียว สนมเอกเติ้งก็ล้วนนำไปสร้างเรื่องสร้างราวต่อไปได้อีก…
ประการสำคัญที่สุดก็ยังคือตระกูลเว่ยแห่งเฟิ่งโจว!
ในเมื่อตระกูลเว่ยปล่อยให้เว่ยฉางเจวียนตาย ก็เห็นชัดว่าพวกเขาไม่หวังให้เกิดอุปสรรค์อื่นใด ก่อนที่เว่ยเจิ้งหงจะหายดีและออกไปรับราชการอย่างเป็นทางการ ซึ่งนี่ก็ยังเป็นเพราะตระกูลทางสายของเว่ยฉางเจวียนไม่เป็นที่พึงใจของแม่เฒ่าซ่ง แม่เฒ่าซ่งมิได้สนใจแม้แต่น้อยว่าบุตรีของบุตรชายที่เกิดจากอนุผู้นี้จะเป็นหรือตาย จึงมิได้ไล่เรียงเอาความ แต่หากเรื่องนี้แพร่ออกไป เพื่อหน้าตาแล้ว ตระกูลเว่ยก็จะไม่อาจไม่ไปสอบถามหาคำชี้แจงจากองค์รัชทายาทได้ ตามความเข้าใจของฮองเฮากู้ที่มีต่อ ตระกูลสูงศักดิ์และตระกูลใหญ่ทั้งหลายแล้ว นางไม่มีทางอยากไปสู้ตายกับตระกูลเว่ยเช่นนี้อย่างแน่นอน!
และเป็นเพราะว่านี่เป็นความอัปยศของทั้งตระกูลเว่ย มิใช่เพียงแค่รุ่ยอวี่ถังสายเดียวเท่านั้น ทั้งจือเปิ่นถังและสายข้างเคียงทั้งน้อยใหญ่ของตระกูลเว่ยที่แตกแขนงออกไปหลายร้อยปี ทั้งหมดก็จะมีความแค้นและศัตรูเดียวกัน!
ยิ่งไปกว่านั้น ตระกูลสูงศักดิ์อื่นๆ ก็จะไม่ยอมนิ่งดูดายแน่
เว่ยฉางเจวียนเป็นบุตรีตระกูลสูงศักดิ์ นางจึงเป็นตัวแทนของหน้าตาของสตรีสูงศักดิ์แห่งตระกูลสูงศักดิ์ แต่กลับถูกองค์รัชทายาทย่ำยี ไม่ว่าที่แท้แล้วอีกห้าตระกูลสูงศักดิ์ในเขตทะเลจะคิดเห็นเช่นใด จะสนับสนุนให้เปลี่ยนผู้สืบราชบัลลังก์อย่างจริงใจหรือไม่ แต่พวกเขาก็จะไม่มีวันนั่งดูตระกูลเว่ยไปขอคำชี้แจ้งจากราชสำนักเพียงลำพัง อย่างน้อยในฉากหน้าก็จะต้องออกเสียงสนับสนุนตระกูลเว่ย …อำนาจและอิทธิพลที่มหาศาลเยี่ยงนี้ ต่อให้ฮองเฮากู้ดูแลจัดการจนตระกูลกู้แห่งหงโจวให้เป็นเหมือนตระกูลเติ้งที่เคยรุ่งโรจน์เป็นที่สุด ก็ยังไม่อาจทานรับได้เลย
ฉะนั้นแล้ว ฮองเฮากู้จึงเหลือเพียงสองทางเลือก หนึ่งคือปิดปากแม้กระทั่งตัว เว่ยซินหย่งไปด้วย สองคืออดทน!
ฮองเฮาเข้าวังมานานปี ทั้งก่อนหลังก็ต่อสู้กับเหล่าสนมกำนัลที่เป็นที่โปรดปรานมาแล้วนับไม่ถ้วน ปกครองทั้งหกตำหนักมาเนิ่นนานแล้ว นางย่อมชอบทางเลือกที่หนึ่งมากกว่า
แต่จนใจเหลือที่เว่ยซินหย่งเก็บตัวอยู่ภายใต้กำมือของจิ่งเฉิงโหวมาหลายปี รู้ว่าจิ่งเฉิงโหวสัมผัสได้ถึงความชิงชังและจิตใจที่ต้องการจะประหัสประหารของเขา และอาจส่งคนมาส่งให้เขาไปพบกับบิดาและพี่สาวร่วมท้องของเขาได้ตลอดเวลา เขาจึงเตรียมตัวรับมือเป็นอย่างดีเสมอมา ด้วยเหตุนี้เองทำให้คนที่ฮองเฮากู้ส่งไปไม่เพียงไม่อาจจับตัวเขามาได้ แต่กลับถูกองครักษ์ข้างกายเขาสังหารคนสนิทของนางไปสองคน
ยิ่งไปกว่านั้นเมื่อเว่ยซินหย่งสังหารคนแล้วก็ยังสั่งให้คนแอบนำศพมาทิ้งไว้ไม่ไกลจากประตูหลังจวนที่อยู่ในเมืองหลวงของตระกูลกู้แห่งหงโจวด้วย…
การตักเตือนที่ชัดเจนเช่นนี้ การข่มขู่ที่น่าสะพรึงกลัวเช่นนี้ ทำให้ฮองเฮากู้ไม่มีความกล้าจะลงมืออีก
ฉะนั้นนางจึงทำได้แต่เพียงอดทน
ต่อให้พระชายาองค์รัชทายาทหลิวรั่วอวี้บอกกับนางอย่างหน้าตาระรื่นว่าตนเองไม่ได้ชอบองค์รัชทายาทแม้แต่น้อยนิด หากแต่ไปหมายตาเว่ยซินหย่งที่ทั้งหล่อเหลาและมีความสามารถ ความหมายทั้งในนอกคำพูดล้วนคือทั้งสองคนเป็นชู้กันมานานแล้ว ฮองเฮากู้ก็ยังทำได้เพียงอดทน …เมื่อคิดถึงภาพของฮองเฮาที่เคยสูงส่งกว่าผู้ใดเสมอมา กลับต้องโกรธจนเอามือทาบอกและอ่อนระทวยลงกับที่ ทั้งยังต้องดึงมือนางอันออกแล้วสั่งให้ปล่อยตนกลับไปตำหนักตะวันออกอย่างปลอดภัยแล้ว…
หลิวรั่วอวี้ก็อดจะโค้งริมฝีปากขึ้นมายิ้มน้อยๆ ไม่ได้ แล้วเอ่ยกับนางหลิวซึ่งเป็น ลูกผู้พี่และกำลังมองนางด้วยสีหน้าเป็นกังวลว่า “ก็เป็นเพียงแค่ตนเองคิดไม่ตกไปชั่วขณะเท่านั้น พี่เจ็ดท่านไม่ต้องเป็นกังวลไปหรอกเจ้าค่ะ ท่านดูสิ ก็มิใช่ว่ายามนี้ข้ายังอยู่ดีหรอกหรือ?”
ดีเป็นที่สุดทีเดียว