บทที่ 117 ทุกสิ่งที่เจ้าเคยครอบครอง

ท่องภพสยบหล้า

บทที่ 117 ทุกสิ่งที่เจ้าเคยครอบครอง
กลับมาพูดถึงเงาดำที่ปรากฏร่องรอยเป็นรายแรกร่างนั้น มันทะลวงพื้นที่ตระกูลฟาง ไม่นานก็มาถึงศาลบรรพชน เพียงกระโดด ก็เข้ามาข้างใน

ฟางเจ๋อโฮ่วตอนนี้ถูกกักบริเวณเอาไว้ในศาลบรรพชน ฟางเฮ่อหลิงไม่ได้ทำร้ายทารุณอะไร เพียงแค่ชิงอำนาจของเขา ไม่ให้เขาออกไปก็เท่านั้น

เงาดำก้าวเข้ามาในศาลบรรพชนอย่างรวดเร็ว ฟางเจ๋อโฮ่วยังไม่นอน กำลังนั่งคุกเข่าต่อหน้าป้ายบรรพชน

เงาดำพูดขึ้นว่า “เฮ่อหลิงออกไปแล้ว ข้ารู้สึกว่าไม่ค่อยชอบมาพากล พวกเราควรจะ…”

“ปล่อยเขาไปเถอะ” ฟางเจ๋อโฮ่วไม่หันกลับมา “เขาโตแล้ว มีความอยากพิสูจน์ตัวเองอย่างเลี่ยงไม่ได้”

“แต่ว่า…”

“ไม่มีแต่ว่า เป็นเพราะความความเห็นแก่ตัวของข้าจึงทำให้ตระกูลฟางสูญเสียคนหนุ่มที่ยอดเยี่ยมที่สุดรุ่นต่อไป ตอนนี้เส้นทางการค้าของรัฐอวิ๋นพึ่งไม่ได้แล้ว เทียบกับสองตระกูลนั้น ตระกูลฟางไม่มีอนาคต เฮ่อหลิงอยากสร้างหน้าตา ก็ให้เขาลองพนันดูสักครั้งจะเป็นไร พนันชนะย่อมดี หากแพ้ ข้าที่เป็นพ่อคนนี้จะแบกรับเก็บกวาดให้เขาเอง แม้จะต้องวางเดิมพันด้วยตระกูลฟางทั้งตระกูล แต่ขอแค่เขาเติบโตขึ้น ข้าก็ยินดี”

เงาดำไม่พูดอะไรอีก

ความภักดีของเขามีให้ต่อฟางเจ๋อโฮ่วคนเดียวเท่านั้น

ประสบกับการชิงอำนาจจากฟางเฮ่อหลิง ฟางเจ๋อโฮ่วใช่ว่าจะไม่มีทางต่อต้าน เขาเพียงแค่ให้ท้ายกับการตัดสินใจของลูกชายอีกครั้งก็เท่านั้น

……

เจียงวั่งรักษาระยะห่างอย่างระมัดระวัง ความลึกซึ้งในเคล็ดหลอมกายาสี่สัตว์เทพมากพอให้เขาควบคุมกายเนื้อได้อย่างแม่นยำ ไม่ต้องอาศัยพลังวิชาเต๋าก็สามารถไล่ตามเป้าหมายได้ทัน

เขาไม่ต้องตามฟางเฮ่อหลิงให้ทัน แค่ตามเงาดำที่สะกดรอยตามฟางเฮ่อหลิงก็เท่านั้น

หลบกองทัพประจำเมืองที่เดินตรวจตรายามค่ำคืนได้อย่างง่ายได้ เงาดำสามเงาพุ่งไปอย่างรวดเร็ววในเมือง เงาแล้วเงาเล่า ออกไปจากเมืองเฟิงหลินจากประตูเมืองทางใต้

และฐานที่มั่นของกองทัพประจำเมืองก็อยู่เขตชนบททางใต้

“ฟางเฮ่อหลิงคิดจะทำอะไร”

เจียงวั่งสงสัยนิดๆ ลังเลว่าจะส่งข่าวอะไรบอกเว่ยเหยี่ยนหรือเจ้าหล่างดีหรือไม่ แต่คิดถึงว่าข้างหน้าเป็นหน่วยรักษาการณ์ลับของกรมอาญา ก็ตัดสินใจล้มเลิก

คนของกรมอาญาย่อมมีวิธีติดต่อทางการในทันที หากมีเรื่องอะไรเกิดขึ้นจริงๆ ก็ไม่มีทางพลาด

เขาค้นพบอย่างรวดเร็วว่า เส้นทางเกิดการเปลี่ยนแปลง

พวกเขาอ้อมฐานที่มั่นกองทัพประจำเมืองไปไกลลิบ มุ่งหน้าไปยังทางใต้ต่อไป

ทางตะวันออกเฉียงใต้ของเมืองเฟิงหลินคือตำบลเฟิ่งซี มุ่งหน้าต่อไปก็จะเป็นทางไปเมืองซานซาน ส่วนทางใต้ จากฐานที่มั่นกองทัพประจำเมืองมุ่งหน้าไปทางใต้อีกก็จะมีภูเขาหัววัว ก็ไม่เคยได้ยินว่ามีอะไรพิเศษ

ดูจากความเข้าใจของเจียงวั่ง หากมีกลุ่มลัทธิชั่วร้าย รังพรรคนอกรีตอะไร จะอย่างไรก็คงไม่ถึงกับยอมซ่อนตัวใต้จมูกกองทัพประจำเมือง

กำลังรบของกองทัพเมืองเฟิงหลินแข็งแกร่งนัก รวมกับเว่ยเหยี่ยนตอนนี้บรรลุแล้ว ตอนนี้หนึ่งแม่ทัพใหญ่ สองรองแม่ทัพล้วนเป็นผู้แข็งแกร่งขอบเขตมังกรทะยาน แล้วยังมีรองแม่ทัพขอบเขตผ่านสวรรค์อีกห้าคน ไม่ว่าจะเผชิญกับขั้นอำนาจแบบไหนก็ล้วนมีกำลังต่อการทั้งนั้น หากใช้วิชาค่ายกลทหารก็ยิ่งมากพอถล่มเมือง

แต่ฟางเฮ่อหลิงกลับขึ้นไปบนเขาหัววัวจริงๆ

เขาหัววัวมีเนินนูนขึ้นมาสองเนิน ลักษณะคล้ายเขาวัว ได้ชื่อมาก็เพราะเหตุนี้

ยอดเขาไม่สูง ทิวทัศน์พื้นๆ ไม่มีถิ่นของโจรภูเขา และก็ไม่มีสัตว์ร้ายเพ่นพ่าน ต่อให้มีกองทัพเมืองเฟิงหลินฝึกซ้อมจนหมดเกลี้ยงไปแล้ว

แต่ก็เป็นภูเขาธรรมดาๆ ลูกนี้ที่ตอนนี้พลันให้เจียงวั่งรู้สึกเหมือนสัตว์ร้ายกินมนุษย์อย่างหนึ่ง ความกดดันนี้ไม่รู้ว่ามาจากไหน

จากตรงนี้มองกลับไปที่ฐานที่มั่นกองทัพประจำเมือง ไฟในค่ายกลายเป็นจุดเล็กๆ ไปแล้ว

เจียงวั่งฝืนบังคับความกังวลในใจ ตามท้ายเงาดำที่อยู่ไกลลิบขึ้นเขา

ไม่ว่าจะอย่างไร อย่างน้อยเขาก็ต้องรู้ให้ได้ว่าฟางเฮ่อหลิงไปพบใคร นี่ถึงจะปิดคดีได้ และด้วยพลังบำเพ็ญระดับแปดขอบเขตผ่านสวรรค์ กระบี่หมอกมงคลแห่งบูรพาบริบูรณ์ วิชาเต๋าบุปผาเพลิงสมบูรณ์ ทั้งยังมีผู้ฝึกตนกรมอาญาอยู่ข้างหน้าคอยเตือนภัย หนีเอาชีวิตรอดไม่ใช่ปัญหา

มีเสียงนกร้องแปลกประหลาดหลายเสียงเป็นบางครั้ง ยิ่งทำให้ป่าเขาเงียบงันขึ้นไปอีก

ความกังวลเริ่มรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ

มือที่ถือกระบี่ของเจียงวั่งกำแน่น แต่ไม่ได้ชักออกมา ความแวววาวของคมกระบี่เป็นไปได้ว่าอาจจะเปิดเผยตัวตนของเขาออกมา

“ชู่…”

จู่ๆ ก็มีลมหอมหวลทะลักมา เจียงวั่งรู้สึกว่าตัวเองถูกความอบอุ่นอ่อนนุ่มบางอย่างโอบล้อม มือข้างหนึ่งปิดปากของเขาเอาไว้

เจียงวั่งร่างเกร็งขึงก่อนจะผ่อนคลายลง เขาไม่ใช่ว่าไม่มีเวลาให้ตอบโต้ แต่เพราะรู้แล้วว่าคนที่มาคือใคร

“ไป๋เหลียน?” ยามเมื่อมือข้างนั้นเลื่อนลง เจียงวั่งก็ถามขึ้นอย่างงแผ่วเบา

มือข้างนั้นเลื่อนจากริมฝีปากเจียงวั่ง แล้วบีบคางของเขา หมุนใบหน้าเขากลับมา

เจียงวั่งจึงได้เป็นไป๋เหลียนที่ใบหน้าอยู่ใต้อาวุธเวทผ้าคลุมหน้าโปร่งบางสีดำ

“เจ้ามาที่นี่ได้อย่างไร” แววตาของไป๋เหลียนค่อนข้างดุดัน แต่กลับกดเสียงพูดเบาๆ

ท่าทางบนเขาหัววัวนี้มีสิ่งที่ทำให้นางหวาดเกรง

เจียงวั่งยื่นนิ้วชี้ออกไปที่ไกลลิบ บอกให้รู้ว่าตัวเองสะกดรอยตามคนพวกนั้นมา

ไป๋เหลียนปล่อยคางของเขา แล้วคว้ามือเขา

“ตามข้ามา!”

อาภรณ์ปลิวพริ้ว ทะลวงผ่านผืนป่าราวนกกลางคืน ไม่นานก็หายไปไร้ร่องรอย

……

และแทบจะเป็นเวลาเดียวกันนั้น ฟางเฮ่อหลิงที่อยู่บนภูเขาก็พลันหันหน้ามา!

คนที่สะกดรอยตามฟางเฮ่อหลิงมาตลอดทางเป็นหน่วยรักษาการณ์ลับของกรมอาญาจริงๆ

เขาเป็นลูกน้องคนสนิทของซ่านฉา เพราะฉลาดละเอียดเก่งกาจจึงถูกจัดให้รับภารกิจนี้ ตลอดทางมาเขาก็ระมัดระวังรอบคอบจริงๆ รักษาระยะห่างมาโดยตลอด

แต่ยามเขาเห็นฟางเฮ่อหลิงหันกลับมาจากที่ไกลลิบก็รู้ว่าเรื่องราวไม่สู้ดีแล้ว

เขาไม่รีรอ เรียกเอาธูปสีเหลืองดอกหนึ่งออกมาทันที นิ้วหนึ่งบี้ลงไป จะจุดมันขึ้นมา

ธูปเหลืองเมื่อติด กรมอาญาทางนั้นจะรับรู้ข้อมูลได้ทันที ธูปเหลืองไหม้จนหมดสิ้นหมายถึงผู้จุดอยู่ในอันตราย

แต่ธูปดอกนี้…กลับไม่เกิดอะไรขึ้นเลย จุดอย่างไรก็จุดไม่ติด!

เขายังคิดจะประสานปางมือเรียกไฟ ทว่ามือเรียวยาวขาวละเอียดข้างหนึ่งก็ยื่นมาถึง คว้าธูปสีเหลืองเล่มนี้ไปอย่างแผ่วเบา

จากนั้นเขาก็รู้สึกว่าทั้งตัวเบาหวิว บินขึ้นมา

ยิ่งบินยิ่งสูง

ตอนนี้เขาถึงจะพบว่า คนที่ยืนนิ่งอึ้งอยู่กับที่ ยังทำท่าประสานปางมืออยู่คนนั้น ไม่ใช่ตัวเขาเองหรอกหรือ

เช่นนั้นตอนนี้เขาคืออะไร วิญญาณรึ

เขาตกใจ เขาดิ้นรน แต่ก็ไม่มีความหมายอะไรทั้งนั้น

จากความเจ็บปวดมหาศาลรุนแรงที่ทะลักมา ‘ท่วมจม’ เขาทั้งตัว โจมตีจนร่างแหลกเป็นเสี่ยง

ชายที่สวมหน้ากากกระดูกขาวคลายมือลงเล็กน้อย ปล่อยให้วิญญาณที่แหลกราญยับเยินสลายไป

“เป็นคนของกรมอาญานี่เอง” เขาที่เดาเรื่องราวได้หัวเราะออกมาเบาๆ “ซ่านฉานี่ช่างมีความกล้าเสียจริง”

ฟางเฮ่อหลิงยืนอยู่กลางเขา มองภาพทูตกระดูกขาวกระชากวิญญาณค้นจิต

เขาไม่อาจควบคุมความเย็นยะเยือกที่ทะลักออกมาจากส่วนลึกในใจได้เลย แต่สีหน้าของเขากลับเรียบนิ่งมาก

นับจากที่เขาตัดสินใจกักบริเวณบิดาเสี้ยวขณะนั้น เขาก็รู้แลล้วว่าตัวเองตัดสินใจแบบไหน

นี่คือทางเลือกของตัวเขาเอง

เขาทำได้เพียงแค่อาศัยตัวเอง เขาจะต้องเติบโตขึ้น อีกทั้งยังไม่มีความเป็นไปได้ที่จะหันหลังกลับไปอีกแล้ว

“ข้าถูกกรมอาญาจับตามองแล้ว ต่อไปต้องทำอย่างไร” เขาถาม

“คนคนนี้ตายแล้ว เท่ากับยอมรับว่าข้ามีปัญหา”

“เจ้ามีปัญหาอะไร” เสียงของทูตกระดูกขาวแปลกประหลาดนัก “หน่วยรักษาการณ์ลับคนหนึ่งพลีชีพในตอนปฏิบัติภารกิจ นี่ไม่ใช่เรื่องปกติหรอกหรือ ใครยืนยันได้ว่าความตายของเขาเกี่ยวพันกับเจ้า”

“ใต้เท้า” ฟางเฮ่อหลิงค่อนข้างอัดอั้น และรู้สึกจนปัญญานิดๆ เช่นกัน “ข้าทำงานให้ท่านอย่างจริงใจ สิ่งที่ควรทำข้าก็ทำแล้ว ไม่มีหนทางให้หันหลังกลับแล้ว! ท่านอย่างได้หยอกล้อข้าเล่นอีกเลย”

“ไม่ๆๆ ข้าไม่ได้หยอกล้อเจ้า ข้าก็พูดกับเจ้าอย่างจริงใจเช่นกัน กรมอาญาหากจะตรวจสอบตระกูลฟาง จะสืบอะไรออกมาได้อย่างนั้นหรือ”

“ไม่ได้ เรื่องเกี่ยวพันที่ควรจัดการก็จัดการหมดจดแล้ว อีกทั้งตัวข้า…ก็ไม่รู้จริงๆ ว่าเรื่องที่ท่านให้ข้าทำเหล่านั้นมีความหมายอะไร กรมอาญาสืบอะไรออกมาไม่ได้ทั้งนั้น”

“เช่นนั้นก็ให้พวกเขาตรวจสอบ”

ฟางเฮ่อหลิงถอนหายใจ “แต่บางครั้งพวกเขาก็ไม่ต้องใช้หลักฐาน”

“รับมือกับคนทั่วไปก็เป็นเช่นนั้นจริงๆ นั่นแหละ” ทูตกระดูกขาวยิ้มขึ้นมา “แต่อย่าลืมเสียเล่า เจ้าเป็นลูกศิษย์สำนักเต๋า”

“แต่ข้ามีจุดน่าสงสัย สำนักเต๋าก็ใช่ว่าจะปกป้องข้า”

“เจ้าหนูที่น่าสงสาร เจ้าไม่รู้เลยว่าตัวเองมีอะไร” ทูตกระดูกขาวหัวเราะหึๆ หมุนตัวเดินไปในเขา “เรื่องวันนี้ยกเลิก กลับไปเถอะ”

………………………………………………………