บทที่ 118 ผู้สืบทอดมรรคากระดูกขาว

ท่องภพสยบหล้า

บทที่ 118 ผู้สืบทอดมรรคากระดูกขาว
ก๊อกๆๆ~ก๊อกๆๆ

เสียงเคาะประตูดังขึ้น

“ใคร”

ไป๋เหลียนดึงประตูห้อง มองเห็นดวงตาขาวคู่หนึ่งก่อนเป็นอันดับแรก

นางกะพริบตา ก็สลัดจากสีขาวนั่นหลุดออกมา “ผู้อาวุโสสองมีธุระอันใด”

“ข้าไม่มีธุระอะไรก็มาหาธิดาเทพไม่ได้หรือ” ผู้อาวุโสสองหัวเราะ รอยยิ้มบนใบหน้าเหี่ยวย่นเดิมควรจะพูดได้ว่าเมตตากรุณา แต่เพราะดวงตาที่เหลือเพียงสีขาวคู่นั้นจึงทำให้ดูแปลกประหลาดนัก “พลังบำเพ็ญของธิดาเทพก้าวหน้าไปไม่น้อย ช่างเป็นบุญของพวกเราจริงๆ”

“ที่ไหนกัน ผู้อาวุโสถึงจะมีความสามารถล้นฟ้า เป็นเสาหลักค้ำสรรค์ของพรรคเราต่างหาก”

“ฮ่าๆๆ ไม่คิดจะให้ข้าเข้าไปนั่งสักหน่อยรึ”

“นี่…” ไป๋เหลียนเผยสีหน้าลำบากใจ “จะอย่างไรข้าก็เป็นสตรี ไม่ค่อยสะดวกเท่าไร”

“ข้าเห็นธิดาเทพตั้งแต่เล็กจนเติบใหญ่ เจ้าก็เหมือนลูกสาวของข้า มีอะไรไม่สะดวก” ผู้อาวุโสสองพูดพลางเบียดเข้าไปในห้อง

กวาดตามองซ้ายขวาสักหน่อย ถามขึ้นอย่างเหมือนไม่ได้ตั้งใจว่า “ธิดาเทพไยจึงคลุมผ้าราตรีในห้องของตัวเอง”

ไป๋เหลียนกะพริบตาปริบๆ “สวยสคราญเลิศล้ำ จำต้องปกปิดแอบซ่อน”

“ฮ่าๆๆ…” ผู้อาวุโสสองหัวเราะขึ้นมา แต่จู่ๆ เสียงหัวเราะก็หยุดชะงัก “โอวหยางกลับมาแล้ว ข้าได้กลิ่นของเขา”

“นี่เป็นเรื่องที่ดีเหลือเกิน! ไม่เสียแรงที่พวกเราทุ่มเทแรงกายแรงใจ เสียสายลับเพื่อปกปิดร่องรอยของเขาตลอดทางไปมากมายขนาดนั้น เช่นนั้นทำไมผู้อาวุโสใหญ่จึงยังไม่ปรากฏตัวอีกเล่า”

“ใครเดาความคิดของเขาออกได้บ้างเล่า”

“ท่านเดาไม่ได้ ข้าก็ยิ่งไม่รู้แล้ว”

“ไม่รู้ หรือไม่อยากรู้”

“ข้าไม่จำเป็นต้องรู้” ไป๋เหลียนหัวเราะ “เรื่องใหญ่ในสำนักก็เป็นเหล่าผู้อาวุโสเป็นผู้ตัดสินใจ ข้ารอข่าวอยู่เงียบๆ ก็พอแล้ว”

ผู้อาวุโสสองมองนางอย่างลึกล้ำ ก็ลุกขึ้นเดินออกไปข้างนอก

ก่อนก้าวออกไปข้างนอกอยู่ๆ ก็หยุดฝีเท้า พูดขึ้นว่า “ธิดาเทพวันนี้ไยจึงพูดง่ายนัก”

ไป๋เหลียนหัวเราะแห้งๆ “ดูท่านพูดเข้า ข้าพูดยากตั้งแต่เมื่อไรกัน แม้จะอารมณ์เกรี้ยวกราดไปบ้างบางครั้ง แต่ก็ไม่ใช่เพื่อพรรคเราหรอกหรือ”

ผู้อาวุโสสองในที่สุดก็จากไป ความกดดันที่ปกคลุมอยู่ในห้องเหมือนถูกประตูห้องสกัดกั้น

……

“บางทีนี่อาจจะเป็นการหยั่งเชิงครั้งสุดท้าย”

ไป๋เหลียนถอนใจเอ่ยพึมพำ

นางนั่งนิ่งๆ อยู่ครู่หนึ่ง เมื่อแน่ใจแล้วว่าไม่มีใครมารบกวนอีก ถึงได้วางจานค่ายกลหนึ่งลง เปิดตู้เสื้อผ้า หิ้วเจียงวั่งที่สองตาปิดสนิทออกมา แล้วโยนไปบนเตียง

เจียงวั่งในตอนนี้อยู่ในสภาวะที่ประสาทรับรู้ทั้งห้าถูกผนึก มีเพียงทำเช่นนี้เท่านั้นถึงจะหลบหลีกดวงตาที่เหลือแต่สีขาวคู่นั้นได้

ไป๋เหลียนประสานปางมือ แก้ตราผนึกประสาทรับรู้ทั้งห้า

เจียงวั่งผุดลุกขึ้นมา มองไป๋เหลียนพลางถือกระบี่ไม่พูดไม่จา

แม้เขาจะอยู่ในสภาวะถูกผนึกประสาทรับรู้ทั้งห้าอยู่ตลอด ไม่ได้ยินบทสนทนาระหว่างไป๋เหลียนและผู้อาวุโสสอง แต่ปล่อยประสาททั้งห้าเป็นอิสระ ทำจิตใจให้สงบ คิดทบทวนเรื่องวันนี้

“เจ้าอยากถามอะไรก็ถามมาเถอะ” ไป๋เหลียนเดินมาข้างโต๊ะแล้วนั่งลง

“เจ้าช่วยข้าเอาไว้อีกครั้งหนึ่งแล้ว” เสียงของเจียงวั่งค่อนข้างลำบากใจ

ไป๋เหลียนหัวเราะขึ้นมา “มากพอจะพูดถึงเสียที่ไหน”

“ที่นี่คือรังของพรรคกระดูกขาว เจ้าเป็นคนของพรรคกระดูกขาวอย่างนั้นรึ” เจียงวั่งถาม

“พวกเราล้วนเป็นคนในพรรค” ไป๋เหลียนพูด

รู้ดีว่าถกเถียงกับนางว่าพรรคกระดูกขาวเป็นสำนักเต๋าสายหลักหรือไม่ไม่มีความหมายอะไร เจียงวั่งจึงพูดซ้ำอีกครั้งว่า “ข้าแค่ถามถึงเจ้าเท่านั้น เจ้าเป็นคนของพรรคกระดูกขาวใช่หรือไม่”

“ไม่ใช่ข้า” ไป๋เหลียนยื่นนิ้วเรียวขาวเนียนออกไป จิ้มเจียงวั่งแล้วพูดขึ้นว่า “เป็นพวกเรา”

“หมายความว่าอย่างไร”

“เดิมไม่ควรบอกเจ้าเร็วขนาดนี้ เพราะ ‘ลอกคราบ’ ของเจ้ายังไม่สำเร็จ” ไป๋เหลียนถอนหายใจ ถามขึ้นว่า “แต่วันนี้ในเมื่อเจ้ามาปรากฏตัวขึ้นที่นี่ ไม่ได้คำตอบก็ไม่มีทางเลิกราถูกต้องไหม”

เจียงวั่งไม่ตอบคำถามนาง แต่ถามไปว่า “ดังนั้นวันนี้ฟางเฮ่อหลิงมาที่เขาหัววัวเป็นกับดักใช่หรือไม่ เล็งเป้าใคร”

“การขุดหลุมพรางของทูตกระดูกขาวครั้งนี้ ไม่ได้เล็งเป้าใครไว้ เพียงแต่คืนนี้ไม่ว่าใครสะกดรอยตามฟางเฮ่อหลิงล้วนต้องตายที่นี่ทั้งสิ้น อย่างไรเสียที่แห่งนี้ก็เป็นที่ที่เราใกล้จะทิ้งอยู่แล้ว เจ้ากับหน่วยรักษาการณ์ลับกรมอาญาคนนั้น ก็แค่มาพบเข้าพอดีเท่านั้น”

พรรคกระดูกขาวอีกไม่นานก็จะไปจากเขาหัววัว

เจียงวั่งจับข้อมูลนี้ได้อย่างว่องไว แต่เขาวางมันไว้ก่อน ถามขึ้นว่า “ลอกคราบหมายความอย่างไร พวกเราอะไร”

“ดอกบัวกระดูกขาวที่หลังของเจ้า จู่ๆ เจ้าก็กุมวิชาสร้างร่างคืนวิญญาณเอาไว้ได้…เรื่องเหล่านี้ยังไม่มากพอให้เจ้าคิดเชื่อมโยงอีกหรือ”

“เจ้าเข้าใจข้าดีมาโดยตลอด เรื่องพวกนี้อาจจะเป็นการวางหมากของเจ้าก็ได้ ดอกบัวกระดูกขาวอาจจะเป็นเจ้าสลักมันลงไปในตอนที่ข้าสลบก็ได้ วิชาสร้างร่างคืนวิญญาณก็ไม่แน่ว่าเจ้าอาจจะใช้วิธีอะไรสักอย่างถ่ายทอดให้ข้า…ข้าไม่มีทางมีความเกี่ยวพันกับพรรคกระดูกขาว”

“วิชาระดับเปลี่ยนแปลงความทรงจำ ข้าไม่มีหรอกนะ” จู่ๆ นางก็หัวเราะขึ้นมา “แต่ว่า ข้าคอยจับตามองเจ้ามาโดยตลอด ตั้งแต่ตอนที่เจ้ายังเป็นขอทานคนหนึ่ง…”

เจียงวั่งตื่นตะลึงขนลุกขนพอง!

เพื่อหลบหนีการไล่ล่าของฟางเผิงจวี่จึงปลอมตัวเป็นขอทาน มีชีวิตอยู่ไปวันๆ ที่อารามเต๋าหวนสัจจะ นั่นเป็นเรื่องก่อนจะเปิดชีพจรเชียวนะ ไป๋เหลียนกลับจับตามองเขาตั้งแต่ตอนนั้นแล้วหรือ

ไป๋เหลียนอธิบายขึ้นมาอย่างรวดเร็วว่า “ตอนนั้นพวกเจ้ากลุ่มขอทานหยุดพักที่อารามหวนสัจจะก็เป็นการตัดสินใจที่พวกข้าชักนำ”

เสียงของนางเรียบเรื่อย “อารามหวนสัจจะเป็นที่ที่มีความหมายมาก และก็เป็นสถานที่ที่เทพเลือก ตั้งแต่ตอนที่จั่วกวงเลี่ยจะรบตายครั้งนั้น ข้าก็สงสัยว่า ขอทานมากมายขนาดนั้นตายหมด ทำไมจึงมีเพียงเจ้าเท่านั้นที่ไม่ตาย เป็นเพียงแค่ความบังเอิญเท่านั้นหรือ ทำไมหลังจากเจ้ากลับมายังสำนักเต๋า พลังบำเพ็ญก็พัฒนาไปอย่างรวดเร็ว ท่าทางเจ้าก็คงค้นพบเหมือนกันกระมัง หลังจากเปิดชีพจร ความเร็วในการฝึกบำเพ็ญของเจ้าอยู่เหนือคนธรรมดา สิ่งที่สำคัญที่สุดคือ เจ้ากลืนกินเมล็ดพันธุ์เต๋ากระดูกขาวได้ เจ้าปรับตัวเข้ากับเคล็ดวิชาลับพรรคกระดูกขาวได้อย่างสมบูรณ์แบบ เจ้าใช้วิชาสร้างร่างคืนวิญญาณได้! เจ้าไม่ใช่คนธรรมดา เจ้าคือผู้สืบทอดมรรคาพรรคกระดูกขาว!

ไป๋เหลียนสุดท้ายพูดขึ้นว่า “ภายหลังข้าถึงเข้าใจ เหตุที่เจ้าปรากฏตัวขึ้นที่อารามหวนสัจจะเป็นการวางแผนขององค์เทพ”

“ไม่ ไม่ถูก!” เจียงวั่งส่ายหน้า เขาเชื่อว่าพลังบำเพ็ญของเขามาจากมิติมายาห้วงจักรวาล ไม่เกี่ยวอะไรกับพรรคกระดูกขาวเลย แต่มิติมายาห้วงจักรวาลเป็นความลับใหญ่ที่สุดของเขาในตอนนี้ จะเอาออกมาเป็นเหตุผลโต้แย้งไม่ได้

“กลัวแต่ปากเจ้าจะบอกไม่ถูก แต่ในใจกลับร้องไห้ขี้มูกโป่ง”

“ผู้สืบทอดมรรคาอะไรกัน!” เจียงวั่งถอยหลังไปก้าวหนึ่ง “ข้าเคยบอกแล้ว ข้าไม่มีทางอภัยให้กับการกระทำของพรรคกระดูกขาว ข้าก็ไม่มีทางร่วมลงมือทำเรื่องชั่วช้ากับพวกเจ้าด้วยเช่น พวกเราไม่ใช่ผู้ร่วมอุดมการณ์!”

“นั่นเป็นเพราะเจ้ายังมองความจริงของโลกใบนี้กระจ่าง ไม่ได้ลบความดีจอมปลอมของเจ้าออกไปอย่างหมดจด ยังหาตัวตนที่แท้จริงไม่เจอ”

“ข้ารู้ชัดดีว่าตัวข้าเป็นใคร ไม่จำเป็นให้เจ้ามาเตือน” เจียงวั่งพยายามควบคุมอารมณ์ของตัวเอง ทำให้ตัวเองจิตใจสงบมาขบคิด

“เมล็ดพันธุ์เต๋ากระดูกขาวคืออะไร” เขาถาม

“เป็นของที่ล้ำค่ามาก ข้าก็มีเม็ดหนึ่งเช่นกัน มันสามารถเติบโตได้จากการดูดซับสารอาหารของผู้ที่ถูกปลูกถ่าย สุดท้ายก็ควบคุมผู้ถูกปลูกถ่ายได้อย่างสมบูรณ์ แต่คิดไม่ถึงว่าเจ้าจะกลืนกินมันลงไป…ดังนั้นเจ้าดูสิ เมล็ดพันธุ์เต๋าย่อมไม่มีผลกับผู้สืบทอดมรรคา!”

เจียงวั่งมองนางอย่างเย็นชา “เจ้าเคยปลูกเมล็ดพันธุ์ไว้ในกายข้าอย่างนั้นรึ”

แววตาของไป๋เหลียนแฝงด้วยแววขอโทษอย่างหาได้ยาก “ตอนนั้นพวกเรายังไม่สนิท…”

“ตอนนี้ก็ไม่สนิท เจ้าทำให้ข้ารู้สึกแปลกหน้านัก!” เจียงวั่งพูดอย่างเย็นชา “ไม่จำเป็นต้องพูดแล้ว! ข้าไม่มีทางเชื่อเด็ดขาดว่าตัวเองเป็นผู้สืบทอดมรรคาอะไรนั่น ต่อให้เป็นจริงๆ ข้าก็ไม่มีทางร่วมกระทำความชั่วกับคนหน้าเนื้อใจเสืออย่างพวกเจ้า!”

‘ต่อให้’ คำหนึ่ง แม้จะแสดงถึงความเด็ดเดี่ยว แต่ก็บ่งบอกถึงความหวั่นไหว

ไป๋เหลียนไม่รีบร้อนจับจุดนี้เป็นประเด็น กลับย้อนถามขึ้นว่า “ตกลงแล้วเป็นเลี้ยงสัตว์ร้าย ไม่สนใจความเป็นความตายของประชาชนเป็นพวกหน้าเนื้อใจเสือ หรือเลาะชีพจรเต๋าของเผ่าวารีทำยาเปิดชีพจรเป็นพวกหน้าเนื้อใจเสือ”

“เจ้าอย่าได้คิดใช้คำพูดมาสั่นคลอนใจเต๋าของข้า!” เสียงของเจียงวั่งเด็ดเดี่ยว เหมือนว่าหากไม่พูดเช่นนี้ก็จะไม่มากพอจะต้านทานแรงกดดันที่เขาได้รับ

เขาพยายามควบคุมลมหายใจระงับความโกรธ เน้นย้ำการตัดสินใจของตัวเอง “ไป๋เหลียน ในเมื่อต่างอุดมการณ์เช่นนั้นก็แยกกันเดิน ข้าเคยพูดไว้ว่า ชีวิตของข้าเป็นเจ้าที่ช่วยเอาไว้ ตอนนี้เจ้าเอามันกลับไปเถอะ”

ดวงตาของไป๋เหลียนงดงามมาก คล้ายโกรธแต่ก็คล้ายตัดพ้อ เป็นประกายวาววับ นางใช้ดวงตาแบบนั้นจับจ้องเจียงวั่ง

“ข้าจะทำใจฆ่าเจ้าได้อย่างไร” นางพูดเสียงโยน เอ่ยอย่างนุ่มนวลว่า “แต่ว่า ขอเพียงเจ้าให้ความร่วม ข้าสามารถลบความทรงจำในคืนนี้ของเจ้าได้ ทุกอย่างทำเหมือนไม่เคยเกิดขึ้น รอเมื่อเจ้าตื่นขึ้นอย่างสมบูรณ์ถึงจะจำเรื่องคืนนี้ได้”

“หลอกตัวเองอย่างนั้นรึ”

“ไม่ใช่ แค่ยังไม่ถึงเวลาก็เท่านั้น”

ไป๋เหลียนลุกขึ้น ยื่นหน้าเข้าไปใกล้ แล้วก็กดตัวเขาให้นั่งบนเตียงโดยที่เจียงวั่งยังไม่ทันที่จะได้ตั้งตัว

“มองตาข้า” นางพูด “ข้าไม่มีเคล็ดวิชาควบคุมความทรงจำ เพียงแต่ใช้เคล็ดวิชาลับบางอย่างผนึกความทรงจำช่วงหนึ่งเอาไว้ ดังนั้นเจ้าจะต้องผ่อนคลายจิตใจ ให้ความร่วมมืออย่างสุดกำลังถึงจะได้ หากเกิดเหตุไม่คาดฝันขึ้น ขั้นเบาก็จิตใจผิดปกติ ขั้นหนักก็วิญญาณแตกสลาย”

เจียงวั่งรู้ดีนี่เป็นทางเลือกที่ดีที่สุดแล้ว

คืนนี้เขาพลาดก้าวเข้ามาที่เขาหัววัว เหยียบย่างเข้ามาในรังคนชั่ว เดิมก็มีความตายเป็นจุดจบอยู่แล้ว

ไป๋เหลียนทำการปกปิดต่างๆ นานาเป็นการช่วยชีวิตเขา แต่ไม่ว่าจะอย่างไร ก็ไม่มีทางให้เขาเอาความลับของพรรคกระดูกขาวกลับไปเมืองเฟิงหลินแน่

และเขาก็ยินดีที่จะตาย แต่ไม่ยอมร่วมกระทำความชั่วกับพรรคกระดูกขาว

ตอนนี้สามารถชะลอการตัดสินใจที่เขาจะต้องเผชิญหน้า ทั้งยังไม่ต้องตาย

เจียงวั่งเปิดจิตใจโดยสมบูรณ์ ปล่อยให้สติรับรู้ถูกกลับดอกบัวนับไม่ถ้วนท่วมจม

เขาสัมผัสได้ถึงความอบอุ่นและเมตตา ตลอดจนอาลัยอาวรณ์อย่างหนึ่ง

จากนั้นตัวเขาที่อยู่ในทะเลกลีบดอกบัวไร้ขอบเขตก็มองเห็นดอกบัวตูมดอกหนึ่งลอยมาหา

มันยิ่งโตก็ยิ่งสูง จนกระทั่งเทียบเท่ากับครรลองสายตาของเจียงวั่ง

จากนั้นดอกบัวก็บานออก ใจกลางดอกบัวที่เบ่งบานไม่ใช่เกสรดอกไม้ และก็ไม่เกิดเป็นฝักบัวเช่นกัน

แต่เป็น…เทียนสีดำเล่มหนึ่ง!

………………………………………………………