บทที่ 119 ทาบกระบี่มองไปรอบๆ ด้วยจิตใจที่งุนงง
“คืนนี้เจ้านอนอยู่ในบ้านตลอด ไม่ได้ออกไปไหนเลย เจ้าตัดสินใจว่าคืนพรุ่งนี้จะไปจับตาดูฟางเฮ่อหลิง เพื่อตรวจสอบว่าเขามีอะไรผิดปกติไหม…”
เจียงวั่งรู้สึกว่าตนเองกำลังแช่อยู่ในบ่อน้ำร้อน บนผิวน้ำเต็มไปด้วยกลีบดอกไม้
น้ำเสียงอ่อนโยนราวกับล่องลอยอยู่ที่ขอบฟ้า เขารู้สึกสบาย คิดอยากจะหลับไปเช่นนี้ตลอดกาล
ในโลกที่อบอุ่นไร้ขีดจำกัดนี้ เขาปลดการป้องกัน ความรับผิดชอบ ความสับสน สิ่งที่ให้เขารู้สึกไม่ปลอดภัยทั้งหมดลง
“ข้าควรจะฟังเสียงนี้” เขาคิด
ตอนที่ทั้งหมดกำลังจะสิ้นสุด บนผิวน้ำอันไร้ขอบเขต มีดอกบัวตูมดอกหนึ่งบานออกระหว่างกลีบดอกไม้เหล่านั้น
มันยิ่งโตยิ่งสูง จนมาอยู่ในระยะเดียวกับเส้นสายตาของเจียงวั่ง
ดอกบัวเบ่งบาน ตรงกลางเป็นเทียนดำแท่งหนึ่ง
พรึบ…
เปลวไฟสีดำจุดติดขึ้นกะทันหัน และเผาไหม้ทะเลกลีบดอกไม้ทั้งหมดในพริบตา!
คลื่นเปลวเพลิงอันไร้ขอบเขตโถมซัดทุกสิ่ง
“เฮือก!”
เจียงวั่งตื่นขึ้น
เขาพบว่าตนเองกลับมานอนอยู่ในบ้านตนเองที่ตรอกอาชาเหินแล้ว ยิ่งไปกว่านั้นยังสัมผัสได้ถึงลมหายใจสม่ำเสมอของเจียงอันอัน
เขาตระหนักขึ้นมาว่าการผนึกความทรงจำเสร็จสิ้นแล้ว ตนเองถูกไป๋เหลียนส่งกลับมาที่บ้านเรียบร้อย
แต่ทว่าเขายังจำทั้งหมดได้ เขาไม่ได้ลืมอะไรไปเลย
ไม่ ไม่เพียงแต่ไม่ลืมเรื่องที่เกิดขึ้นบนเขาหัวโค แต่ในสมองกลับมีความทรงจำเพิ่มขึ้นมาอีกหน่อยด้วย
นั่นคือวิชาลับเต๋าวิชาหนึ่ง วิชาล่องหนกระดูกขาว
หลักการเดิมคือใช้อายุขัยประเคนเอาใจต่อยมโลก รับความสามารถที่จะทะลุผ่านหยินหยางสองโลกได้ชั่วคราว
เหมือนสถานการณ์ที่ได้รับวิชาสร้างร่างคืนวิญญาณก่อนหน้า เทียนดำแท่งนั้นในจุดผ่านสวรรค์ ก็สั้นลงไปท่อนหนึ่งอย่างชัดเจน
“ข้าคือผู้สืบทอดมรรคากระดูกขาว? ข้าคือผู้สืบทอดมรรคากระดูกขาว?”
เจียงวั่งมองสองมือของตนเอง อึ้งไปเล็กน้อย
ทว่าที่เพิ่งได้รับวิชาล่องหนประหลาดมา ก็เป็นการยืนยันคำพูดของไป๋เหลียนอีกครั้งอย่างไม่ต้องสงสัย
“ความทรงจำของข้าไม่ได้ถูกปิดผนึก จากการพิจารณาของไป๋เหลียน นี่มันหมายความว่า…ข้าเริ่ม ‘ตื่น’ แล้วหรือ”
“ฟางเฮ่อหลิงสมคบคิดกับสำนักกระดูกขาวไปแล้วอย่างไม่ต้องสงสัย สำนักกระดูกขาวน่าจะมีแผนอะไรต่อเมืองเฟิงหลิน อาจจะเพื่อแก้แค้นการสังหารของเว่ยชวี่จี๋ก่อนหน้า หรืออาจจะมีแผนการอื่น และแม้ว่าตอนนี้ข้าจะไปสารภาพเรื่องนี้กับทางการ มันก็ยังแทบจะไม่เกิดประโยชน์อะไร ไป๋เหลียนเคยพูดไว้ ว่าคืนนี้พวกเขาจะย้ายที่ อย่างมากก็อาจจะจับตัวฟางเฮ่อหลิงได้เท่านั้น แต่ถ้าหากให้พวกเขารู้ว่าข้าคือผู้สืบทอดมรรคากระดูกขาวล่ะก็…ข้าคงตายอย่างไม่ต้องสงสัย”
เจียงวั่งทดลองปลอบใจตนเอง
“สถานการณ์ตอนนี้คือ สำนักเต๋ากับกรมอาญายังไม่สงสัยในตัวข้า ไป๋เหลียนคิดว่าความทรงจำของข้าถูกปิดผนึกไปแล้ว จึงวางใจในตัวข้าอย่างมาก แต่ข้ากลับไม่ได้สูญเสียความทรงจำอะไรไป ดังนั้นตัวเลือกที่ดีที่สุดของข้า คือควรจะดึงพี่ใหญ่กับน้องห้ามาอยู่ด้วยกัน พาอันอันหนีออกไป รอจนสถานการณ์ในเมืองเฟิงหลินเข้าที่เข้าทาง ค่อยตัดสินใจต่อสถานการณ์ว่าจะกลับเข้ามาหรือไม่…”
“ไม่ ถ้าหากพี่ใหญ่รู้ความจริง จะต้องไม่ยอมออกไปแน่ น้องห้าน่าจะอย่างไรก็ได้ อันอัน…อันอันจะยอมออกจากบ้านเกิดหรือ จะทนกับความทุกข์ของการจากบ้านเกิดเมืองนอนได้หรือ”
“เมืองเฟิงหลิน…ตำบลเฟิ่งซี…ตำบลเสี่ยวหลิน…”
เจียงวั่งที่จิตเต๋าสงบมาโดยตลอดก็สับสนขึ้นมาแล้ว ยิ่งคิดยิ่งกลุ้ม ยิ่งคิดยิ่งสับสน
เลยทิ้งตัวลงนอน เข้าสู่มิติมายาพิศวง
…
‘เวทีเสวนากระบี่ระดับแปดเปิดแล้ว’
‘ตู๋กูไร้เทียมทานปัจจุบันไม่อยู่ในร้อยอันดับแรกระดับโจวเทียน ไม่ถูกแสดงชื่อ’
‘กำลังจับคู่ระดับโจวเทียน…’
‘จับคุ่สำเร็จ!’
…
‘พ่ายแพ้!’
‘พ่ายแพ้!’
‘พ่ายแพ้!’
หลังจากพ่ายแพ้สามครั้งติด เจียงวั่งจึงสงบลงมาได้บ้าง
การต่อสู้คือเรื่องที่จิตวิญญาณจำเป็นต้องจดจ่อมุ่งมั่น ในความใจจดใจจ่อเช่นนี้สามารถมองข้ามเรื่องอื่นๆ ได้ สามารถโยนความกลัดกลุ้มเหล่านั้นทิ้งไปได้ชั่วคราว
แต่พอหลังจากที่ทั้งหมดสิ้นสุดลง สิ่งที่ต้องเผชิญหน้าก็ยังคงต้องกลับมาเผชิญหน้า
ทุกครั้งที่กระตุ้นเวทีเสวนากระบี่ระดับแปดจำเป็นต้องใช้ยี่สิบแต้ม สู้แพ้ก็ต้องเสียไปอีกยี่สิบแต้ม
เจียงวั่งมองแต้มที่เหลือของตนเองสองพันหกร้อยแปดสิบแต้ม นิ่งงันเงียบๆ อยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นจึงคิดที่จะออกไป
พั่บๆๆ
กระเรียนกระดาษอ้วนตัวหนึ่งบินเข้ามา
เป็นจดหมายของวินิจฉัยไร้เทียมทาน: สหายตู๋กู ข้าฝึกจนครบสมบูรณ์ย่ำสู่ระดับโจวเทียนอย่างเป็นทางการแล้ว ใกล้จะสำเร็จวงจรจักรวาลใหญ่ขั้นสมบูรณ์แล้ว! เป็นอย่างไรบ้าง จะประมือกันหน่อยไหม
ผู้ฝึกตนที่เบื้องหลังมั่นคงอย่างวินิจฉัยไร้เทียมทาน ที่ยังวนเวียนอยู่ในระดับเคลื่อนชีพจรก่อนหน้านี้ไม่ใช่เพราะสะสมพลังไม่เพียงพอ แต่กำลังเฝ้ารอโครงสร้างวงจรจักรวาลที่สมบูรณ์แบบที่สุดของเขามาตลอดต่างหาก
ตระกูลเหล่านั้นล้วนมีคนระดับสูงคอยใช้ประสบการณ์ที่สั่งสมมาโดยเฉพาะตอบสนองกลับอย่างทันท่วงที เพื่อกำหนดเส้นทางพัฒนาที่เหมาะสมที่สุดสำหรับพวกเขา
ดังนั้นการที่เขาเพิ่งสำเร็จวงจรจักรวาลเล็กได้สมบูรณ์ แต่พูดว่ากำลังจะสำเร็จวงจรจักรวาลใหญ่นั้น ไม่ใช่การคุยโม้โอ้อวด เพราะเส้นทางของเขาถูกปูมาดิบดีแล้ว ยิ่งไปกว่านั้นยังเป็นเส้นทางสู่สวรรค์ที่ราบเรียบเดินสะดวกอีกด้วย
เจียงวั่งเดิมทีไม่คิดจะตอบจดหมายกลับ และเขาเองก็ไม่มีความคิดที่จะต่อสู้อีกรอบ
ทว่าคิดไปคิดมา ก็เลือกที่จะใช้สิบแต้มเข้าสู่มิติทางช้างเผือก
ยังคงเป็นศาลาหลังหนึ่งในทางช้างเผือก
เจียงวั่งที่เพิ่งมาถึง ร่างอ้วนกลมของวินิจฉัยไร้เทียมทานก็ปรากฏอยู่ตรงข้ามแล้ว
“ทำไมหรือ นานๆ ทีจะหาเรื่องมาคุยกับข้า ต้องสิ้นเปลืองขนาดนี้เลยหรือ” วินิจฉัยไร้เทียมทานพิจารณาซ้ายทีขวาที จุ๊ปากเอ่ยชม
ตอนนี้ทั้งสองคนดูสนิทสนมมาก แน่นอนว่ายกความดีความชอบให้กับความ ‘พูดมาก’ ของวินิจฉัยไร้เทียมทาน เอะอะก็ส่งกระเรียนกระดาษหาเรื่องคุยกับเจียงวั่งอยู่เรื่อย
พอเจียงวั่งตอบกลับ ก็จะโต้ตอบไปมาไม่น้อยกว่ายี่สิบครั้ง
เขาเป็นคนรู้จักเพียงคนเดียวของเจียงวั่งในมิติมายาห้วงจักรวาล อาจจะพอนับเป็นเพื่อนได้อยู่
เพราะในสถานที่อย่างมิติมายาห้วงจักรวาลเช่นนี้ เจียงวั่งไม่เคยเปิดเผยฐานะตัวตนของตนเอง อันที่จริงก็ยังสงสัยอยู่ว่าหากตนเองพูดไปแล้ว วินิจฉัยไร้เทียมทานเองอาจจะไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเมืองเฟิงหลินอยู่ที่ไหน
และเพราะว่าอยู่ที่นี่ ดังนั้นเจียงวั่งจึงไม่จำเป็นต้องเครียดนัก
เขาไตร่ตรองถ้อยคำอยู่ครู่หนึ่ง เอ่ยถามขึ้นว่า “เจ้ารู้จักเทพเทวะกระดูกขาวไหม”
“เทพอะไรนะ”
“เอ่อ ประมาณว่า…เทพเจ้าตนหนึ่งที่สำนักกระดูกขาวเทิดทูนศรัทธาน่ะ”
“บ้าบอคอแตกอะไรล่ะนั่น” วินิจฉัยไร้เทียมทานส่ายศีรษะ เอ่ยขึ้นอย่างเหยียดๆ “พวกลัทธิชั่วร้ายหรือ”
“น่าจะใช่”
“ข้าบอกกับเจ้าไว้นะ สหายตู๋กู อย่าไปเกลือกกลั้วอะไรกับพวกสำนักชั่วร้ายบ้าบอคอแตก การฝึกบำเพ็ญพัฒนามาจนถึงยุคนี้แล้ว ที่เจ้าพวกนั้นถูกเรียนว่าวิชานอกรีตชั่วร้าย ก็เพราะพวกมันเป็นสิ่งที่ถูกคัดออกไป สำนักสายธรรมะมีอยู่ตั้งมากมาย จะเลือกเรียนอะไรก็ได้” วินิจฉัยไร้เทียมทานเตือนขึ้นอย่างตั้งอกตั้งใจ “หากเจ้าไปเจอกับเรื่องอะไรเข้า แล้วคิดที่จะพัฒนาพลังขึ้นอย่างรวดเร็ว สู้มาเข้าร่วมแดนลับจวนสวรรค์ดีกว่า! ข้ายังขาดสมาชิกอีกสองคน กำลังหาคนอยู่พอดี เป็นอย่างไร จะลองดูหน่อยไหม แม้จะดูอันตรายหน่อย แต่ก็ยังน่าเข้าหากว่าพวกเทพชั่วร้ายนะ”
เรื่องที่ถูกวินิจฉัยไร้เทียมทานเอ่ยขึ้นมาอย่างจริงจัง คงไม่ใช่เรื่องเล็กแน่นอน แล้วรายชื่อเข้าร่วมแดนลับจวนสวรรค์อะไรนั่น จะต้องล้ำค่าอย่างมาก
สาเหตุที่เขาไม่ได้อธิบายออกมา น่าจะเพราะตัวแดนลับจวนสวรรค์นี้คงพอมีชื่อมีเสียงอยู่ เขาคิดว่าเจียงวั่งรู้จักแล้ว
ชายอ้วนคนนี้แม้จะดูโอ้อวด พูดมากอยู่หน่อยๆ แต่นิสัยก็ไม่เลวร้ายอะไร และนี่ก็เป็นสาเหตุที่เจียงวั่งยังรักษาความสัมพันธ์กับเขามาโดยตลอด
แต่ตอนนี้ เจียงวั่งไม่สามารถที่จะแบ่งความคิดไปสนใจเรื่องอื่น
“เอาไว้คราวหน้าแล้วกัน”
เขาฝืนยิ้ม “ข้ายังมีธุระ ไปก่อนนะ”
ไม่รอให้วินิจฉัยไร้เทียมทานได้รั้งอะไร เขาก็ออกจากมิติมายาห้วงจักรวาล
เจียงวั่งบางครั้งก็รู้สึกว่า มิติมายาห้วงจักรวาลมันเหมือนกับภาพฝันฉากหนึ่ง
หลังตื่นจากฝัน ทุกอย่างอาจจะกลายเป็นความว่างเปล่า
เขาอาจจะเป็นเหมือนกับกลุ่มขอทานที่อารามหวนสัจจะก็เป็นได้ ถูกฝังตายไปหมดแล้ว
เขาอาจจะจมดิ่งอยู่ในแม่น้ำที่ตำบลเฟิ่งซีก็เป็นได้ ไม่ได้ถูกใครช่วยขึ้นมา
การฝึกบำเพ็ญคืออะไรกันแน่
เพื่อให้มีชีวิตที่ยืนยาวขึ้น หรือว่าเพื่อให้ชีวิตดูมีความหมายมากขึ้นกันนะ
…
ในห้องนอนเงียบสงบ ได้ยินเสียงหายใจเล็กๆ สม่ำเสมอของเจียงอันอัน
เสียงนี้ทำให้เขาจิตใจสงบ
เจียงวั่งรู้ ก่อนที่ฟ้าจะสาง ตนเองต้องตัดสินใจ
……………………………………….