[ติดตามข่าวสารได้ที่เพจ : จักรพรรดิ์เทพมังกร]

บทที่ 379 : รับผิดชอบไม่ไหว!

“แค่ข่าวลือจริงรึ..?”

หลัวจ้งอยู่ต่อหน้าผู้คนที่กำลังขุ่นเคืองใจ ต่อหน้าผู้ใต้บังคับบัญชาหลายร้อยนาย ต่อหน้าสื่อสำนักต่างๆอีกมากมาย และต่อหน้าหลิงหยุนที่กำลังยิ้มให้เขาอย่างเหยียดหยัน คอของเขาแห้งผากไปหมดขณะที่ย้ำว่า

“ใช่.. มันเป็นแค่ข่าวลือจริงๆ..”

หลัวจ้งรู้ตัวดีว่าได้พ่ายแพ้หลิงหยุนอย่างราบคาบแล้ว!

ตั้งแต่วันพุธที่ผ่านมา หลังจากที่ได้จัดการคู่แข่งที่แข็งแกร่งอย่างถังเทียนห่าวลงได้ หลัวจ้งก็ได้กระหน่ำโจมตีหลิงหยุนชุดใหญ่ และเฝ้ารอวันที่หลิงหยุนจะปรากฏตัวออกมา เพราะเมื่อถึงวันนั้น เขาก็จะได้กำจัดเสี้ยนหนามของตัวเองให้สิ้นซากเสียที!

และแน่นอนว่าหลังจากที่จัดการส่งหลิงหยุนให้กับตระกูลซันแล้ว ด้วยความดีความชอบของเขาในครั้งนี้ บ้านทั้งสองหลังมูลค่าหลายสิบล้าน และเงินสดในธนาคารของหลิงหยุน ก็ต้องตกเป็นของเขา-หลัวจ้งอย่างแน่นอน!

หลัวจ้งหวังวาดฝันไว้ต่างๆนานา แต่กลับคิดไม่ถึงว่า เมื่อหลิงหยุนกลับมาจริงๆ เขากลับกลายเป็นผู้ที่แส่เข้าไปหาความตายเอง!

เพราะเพียงแค่ระยะเวลาไม่ถึงหนึ่งชั่วโมงเต็มที่เขาเผชิญหน้ากับหลิงหยุนนั้น ความมืดมิดและตกต่ำก็เริ่มเข้ามาเยือนชีวิตของเขา!

แม้ว่าหลิงหยุนจะได้รับชัยชนะที่ยิ่งใหญ่ไปแล้ว แต่มันยังไม่จบเพียงแค่นั้น!

“ตามฉันมา.. แกพูดเองไม่ใช่เหรอว่าทรัพย์สินมากมายของฉันล้วนไม่มีที่มาที่ไป  ถ้างั้นฉันก็จะให้แกได้รู้ว่าทรัพย์สินพวกนั้นฉันได้มายังไง?”

หลิงหยุนกระซิบบอกหลัวจ้งพร้อมกับพยักหน้าให้เดินตามเขามา แต่คำพูดของหลิงหยุนนั้นมีเพียงหลัวจ้งเท่านั้นที่ได้ยิน..

จากนั้นหลิงหยุนก็เดินไปหาเถียนป๋อเตาที่นอนตากแดดจนตัวแทบไหม้ และมองเถียนป๋อเตาด้วยสายตาเย็นชาก่อนจะพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงที่ราบเรียบ

“หัวหน้าหวัง.. เมื่อครู่คุณบอกว่าจะทำยังไงกับบ้านหลังที่สามนะ? พอดีผมความจำไม่ค่อยดี แล้วก็ได้ยินไม่ค่อยถนัด คุณช่วยพูดต่อหน้าทุกคนอีกครั้งซิ!”

เถียนป๋อเตาระล่ำระลักพูดอย่างไม่รอช้า “ฉันบอกว่าบ้านหลังสุดท้ายนั่น ฉันจะยกให้กับเธอเป็นค่าชดเชยที่ทุบบ้านของเธอทิ้งไป จากนั้นเธอจะทำยังไงกับบ้านหลังนั้นก็แล้วแต่เธอ เพราะฉันไม่ใช่เจ้าของอีกต่อไปแล้ว!”

หลิงหยุนยังคงแสร้งทำเป็นไม่ได้ยิน และปล่อยให้เถียนป๋อเตาพูดซ้ำอีกครั้งด้วยเสียงที่ดังกว่าเดิม เพื่อให้มั่นใจว่าทุกคนที่อยู่ในบริเวณนั้นจะได้ยินกันทั่วถึงทุกคน จากนั้นก็หันหน้าไปทางหลัวจ้งพร้อมกับเอื้อมมือไปกดไหล่ของเขาไว้อีกครั้ง

“แกได้ยินชัดเจนแล้วใช่ไม๊? เขาบอกว่ายกบ้านหลังนั้นให้กับฉันแล้ว ในความเห็นของแก.. คิดว่านี่เป็นการกระทำที่เหมาะสมไม๊?”

หลัวจ้งไม่สามารถทนต่อความเจ็บปวดได้อีก เขารีบพยักหน้าพร้อมกับตอบไปว่า “เหมาะ.. เหมาะสมอย่างมาก เขาสมควรต้องจ่ายค่าชดเชยให้..”

หลิงหยุนจ้องหน้าหลัวจ้งอยู่ครู่หนึ่ แล้วจึงพยักหน้าพร้อมกับตอบไปว่า “ในเมื่อแกพูดเองว่าเป็นเรื่องที่ถูกต้องเหมาะสม ฉันก็จะรับบ้านหลังนั้นของหัวหน้าเถียนไว้ก็แล้วกัน!”

หลิงหยุนคิดในใจว่า ‘แต่มันไม่ง่ายขนาดนั้นหรอก!’

เขาหัวเราะพร้อมกับมองหน้าหลัวจ้ง “ในฐานะที่แกเองก็มีตำแหน่งสูงส่งเป็นที่เคารพของผู้คน ก็ช่วยเป็นพยานให้กับฉันก็แล้วกัน..”

หลัวจ้งฝืนยิ้ม แต่หัวใจของเขาเต็มไปด้วยความขมขื่น และได้แต่คิดในใจว่าเด็กคนนี้ต้องเป็นปีศาจอย่างแน่นอน

หลิงหยุนตะโกนบอกถังเมิ่งให้จัดการหากระดาษและปากกามา แต่ยังไม่ทันที่ถังเมิ่งจะได้ทำอะไร หลงหวู่ก็เดินถือปากกากับกระดาษเข้ามายื่นให้เขาพร้อมกับหัวเราะคิกคัก

หลงหวู่ยัดกระดาษและปากกาใส่มือหลิงหยุนพร้อมกับยิ้มกว้างให้และพูดว่า “ฉันให้!”

หลิงหยุนหันไปตอบอย่างยิ้มแย้มแจ่มใส “ใช่สิ.. ผมลืมไปสนิทเลยว่าคุณเป็นนักกฏหมาย ถ้างั้นก็ช่วยเขียนให้ผมหน่อย..”

หลิงหยุนไม่ได้หวั่นเกรงว่าเถียนป๋อเตาจะกลับคำ แต่เขาเพียงแค่ต้องการยึดบ้านของเถียนป๋อเตาต่อหน้าหลัวจ้งเท่านั้น!

หลิงหยุนยิ้มกว้างพร้อมกับตอบว่า “ด้วยความยินดี!”

แต่ขณะที่หลงหวู่กำลังจะลงมือเขียน เธอก็ได้ยินหลิงหยุนพูดกับเถียนป๋อเตาว่า

“หัวหน้าเถียน..บ้านหลังนี้คุณยกให้เพื่อชดใช้หนี้ที่ทำการทุบบ้านของผมทิ้งใช่ไม๊?”

เถียนป๋อเตาเช็ดเหงื่อบนใบหน้าและรีบพยักหน้าตอบ “ใช่.. ใช่..”

แต่หลิงหยุนกลับหันไปตอบว่า “แต่ว่า.. มูลค่าของบ้านทั้งสามหลัง ยังไม่เพียงพอที่จะจ่ายค่าชดเชยให้กับบ้านของผม..”

“ห๊ะ?! อะไรนะ หมายความว่ายังไงกัน?”

เถียนป๋อเตาถึงกับงุนงง! แม้แต่ถังเมิ่ง ตู้กู่โม่ และทุกคนที่อยู่ในเหตุการณ์ ก็ถึงกับอึ้งไปเช่นกัน!

เพราะความจริงแล้ว บ้านของหลิงหยุนมีพื้นที่เพียงเล็กๆ และหลิงหยุนเองก็ได้ทุบบ้านของเถียนป๋อเตาไปแล้วถึงสองหลัง และตอนนี้ก็ได้บ้านของเขาไปอีกหนึ่งหลัง นั่นยังไม่เพียงพออีกหรือ?!

“นี่มัน.. ดูเหมือนหลิงหยุนจะทำเกินไปมาก?”

“นั่นสิ.. ต่อให้หัวหน้าเถียนเป็นฝ่ายผิด แต่หลิงหยุนก็ทุบบ้านของเขาไปแล้วตั้งสองหลัง.. แต่ตอนนี้กลับมาบอกว่าไม่เพียงพอ..”

“เด็กคนนี้.. จะค้ากำไรเกินควรแล้ว”

“ทำแบบนี้ไม่เป็นผลดีกับเขาเลย..”

……………

ขณะที่ผู้คนกำลังวิพากษ์วิจารณ์ และตำหนิความไร้เหตุผลของหลิงหยุนอยู่นั้น ทุกคล้วนเห็นตรงกันว่าครั้งนี้หลิงหยุนทำเกินไปจริงๆ

สีหน้าของเถียนป๋อเตาบิดเบี้ยวอย่างน่าเกลียด เขากัดฟันพร้อมกับพูดขึ้นว่า “หลิงหยุน.. นี่เธอ..”

แม้ว่าเถียนป๋อเตาจะไม่กล้าพูดออกมาว่าหลิงหยุนทำเกินไป แต่สีหน้าของเขาก็บ่งบอกได้อย่างชัดเจนว่า เขาไม่สามารถยอมรับได้

ใบหน้าของซูหลิงเฟยก็เริ่มมีร่องรอยของความไม่พอใจปรากฏขึ้น เธอจึงถามหลิงหยุนขึ้นมาว่า

“หลิงหยุน.. ฉันคิดว่าบ้านของคุณยังไงก็มีมูลค่าไม่มากกว่าบ้านหลังนั้น?”

“อีกอย่างคุณเองก็ทุบบ้านของเขาทิ้งไปถึงสองหลังแล้ว และยังได้บ้านหลังนี้เป็นค่าชดเชยอีก แล้วคุณยังจะทำอย่างนี้อีกเพื่ออะไร?”

ซูหลิงเฟยสมกับเป็นนักข่าว ไม่เพียงยิงคำถามใส่หลิงหยุน แต่ไมโครโฟนในมือของเธอก็ยื่นจ่อที่ปากหลิงหยุนทันทีเช่นกัน

หลิงหยุนมองซูหลิงเฟยตั้งแต่หัวจรดเท้าอยู่ครู่หนึ่ง ซูหลิงเฟยสัมผัสได้ว่าสายตาของหลิงหยุนนั้นแหลมคม และยิ่งทำให้เธอรู้สึกไม่ชอบหลิงหยุนมากขึ้น แต่ก็เพียงแค่ขมวดคิ้วและทำเสียงฮึดฮัดไม่พอใจเพียงเบาๆ

หลิงหยุนยิ้มพร้อมกับตอบไปด้วยน้ำเสียงราบเรียบ “ถูกต้อง.. ตัวบ้านของผมมีมูลค่าน้อยกว่าบ้านทั้งสามหลังของเถียนป๋อเตาอยู่แล้ว..”

เสียงของหลิงหยุนผ่านเข้าไมโครโฟนในมือของซูหลิงเฟย และทุกคนต่างก็ได้ยินกันอย่างชัดเจน ทุกคนต่างก็งุนงง และตั้งหน้าตั้งตารอฟังคำอธิบายต่อไปของหลิงหยุน

หลิงหยุนพูดต่อด้วยน้ำเสียงที่เย็นชาว่า “แล้วสิ่งของที่อยู่ในบ้านผมล่ะ? ตอนนี้อยู่ที่ใหน? ก่อนที่จะทำการทุบบ้านของผม มีใครเก็บของที่อยู่ภายในบ้านไว้ให้ผมไม๊? หัวหน้าเถียน.. กู่เหลียนซัน.. ถ้าเก็บไว้ ก็ช่วยนำมาคืนผมด้วย?”

เถียนป๋อเตากับกู่เหลียนซันถึงกับอึ้งและพูดอะไรไม่ออก อีกอย่างภายในบ้านก็พังเสียหายก่อนที่พวกเขาจะทำการทุบเสียอีก ส่วนสิ่งของที่อยู่ในบ้านนั้น ใครบ้างจะเสียเวลาไปเก็บให้?

นี่หลิงหยุนกำลังจะบอกว่ายาและอุปกรณ์การแพทย์ที่อยู่ด้านใน มีมูลลค่ามากกว่าตัวบ้านอย่างนั้นหรือ?”

ซูหลิงเฟยไม่รีรอ เธอยิงคำถามต่อทันที “หลิงหยุน.. จากคำพูดของคุณ คุณกำลังจะบอกว่ามูลค่าของเฟอร์นิเจอร์กับของที่อยู่ในบ้านนั้น มีมูลค่ามากกว่าบ้านของเถียนป๋อเตางั้นหรือคะ? แต่ดูจากการตกแต่งบ้านของเถียนป๋อเตา มูลค่าของเฟอร์นิเจอร์ที่ใช้ตกแต่ง ดูเหมือนจะมีมูลค่าสูงกว่าบ้านของคุณ?”

หลิงหยุนมองซูหลิงเฟยด้วยสายตาเหยียดหยันพร้อมกับตอบไปว่า “ผมว่าถ้าคุณตาไม่ถึง ก็อย่าออกความเห็นจะดีกว่า?”

ซูหลิงหเฟยเป็นถึงบุคคลสาธารณะ ในสายงานนักข่าวเธอก็นับว่าเป็นดาวเด่นดวงหนึ่ง เมื่อได้ยินคำพูดของหลิงหยุนเธอจึงโกรธจนตัวสั่น

“หลิงหยุน.. ต่อให้สิ่งที่คุณทำตอนแรกเป็นสิ่งที่ถูกต้อง แต่ตอนนี้คุณกำลังทำเกินไป และคุณต้องได้รับบทเรียน?!”

หลิงหยุนไม่สนใจที่จะตอบคำถามของซูหลิงเฟย เขาจึงถามกลับว่า “ทำไมคุณถึงคิดว่าครอบครัวผมไม่มีสิ่งของล้ำค่า?”

“ใบบ้านของผมซ่อนไข่มุกราตรีเม็ดใหญ่ไว้สิบกว่าเม็ด แม่ของผมเคยพูดไว้ว่า ไข่มุกราตรีเหล่านี้เป็นสมบัติล้ำค่าที่ไม่อาจประเมินค่าเป็นเงินได้ แม่ตั้งใจเก็บไว้ให้ภรรยาของผมในอนาคต และเก็บไว้เป็นของรับหมั้นให้กับน้องสาวผม แต่ตอนนี้กลับถูกทุบทิ้งป่นปี้หมด คุณบอกว่ามาว่าจะชดใช้ยังไง?”