บทที่ 474
บทที่ 474
เมื่อกลับมาที่จวนของตนเอง ก่อนที่ถังหยินจะได้นั่งลง ชิวเจิ้นกับจางจี้ก็พลันเข้ามาล้อมเขาไว้เพื่อขอให้เปลี่ยนใจ หากแต่เมื่อชายหนุ่มเห็นว่าทั้งสองเป็นเช่นนั้น เขาก็พลันแสร้งที่จะทำเป็นเมินมันเสีย
เห็นแบบนั้นชิวเจิ้นกับจางจี้ก็เข้าใจแล้วว่าถังหยินตั้งมั่นแล้วว่าจะออกเดินทางแน่นอน นี่จึงทำให้พวกเขาหมดหวังที่จะเปลี่ยนใจอีกฝ่ายแล้ว ทั้งสองมองหน้ากันแล้วถอนหายใจ
ถังหยินที่เห็นว่าพวกเขาเงียบปากกันก็ยิ้มออกมา “ข้ามีแผนแล้ว ครั้งนี้ข้าจะใช้การฝึกวิชาเป็นข้ออ้างแล้วเดินทางไปที่ชางจิงเป็นการส่วนตัว ตราบเท่าที่เรื่องนี้เป็นความลับก็ไม่มีใครรู้ว่าข้าหายไปไหน กว่าคนจะรู้ตัวข้าก็กลับมาที่เมืองหยานแล้วล่ะ พวกเจ้าคิดว่าไง ?”
ก่อนที่จะทันได้ตอบอะไร ซงหยวนก็พลันเดินเข้ามา “นายท่านคิดแผนได้สุดยอดยิ่ง เยี่ยมมาก !”
ชิวเจิ้นและจางจี้โกรธมากที่ได้ยินคำเยินยอที่เกินจริงแบบนี้
ถังหยินพูดขึ้น “แล้วก็ข้าจะไม่เอาคนไปกับข้าด้วย พวกเจ้าคิดว่าไง ? เอาแค่หลีเทียนกับเจี๋ยนฟานก็พอ”
ได้ยินแบบนี้ซงหยวนก็แทบจะเป็นบ้า ต่อให้ชายหนุ่มกล้าแค่ไหนแต่การไปกันแค่สองคนแบบนี้มันเกินไป เขารีบพูดทันที “นายท่าน อย่างน้อยก็พาหยวนยู่ไปด้วยเถอะ”
ถังหยินโบกมือ “ข้าเป็นห่วงเมืองหลวง ดังนั้นจึงอยากให้หยวนยู่อยู่ดูแลที่นี่”
นั่นมันก็ถูกตามที่เขาบอก หยวนยู่เป็นทั้งคนเก่งและหน้าตาดี เขาถือเป็นหน้าเป็นตาให้กับกองทัพแถมยังสามารถควบคุมสถานการณ์ได้ด้วย
จนถึงตอนนี้ชิวเจิ้นก็จึงถามขึ้น “แต่การพาแม่ทัพไปกันแค่สองคนมันจะพอหรือ ?”
“ข้าจะไปพบแค่หยินโรวเท่านั้น ไม่ได้จะไปออกรบสักหน่อย มันไม่จำเป็นต้องพาคนออกไปด้วยมากหรอก จะได้เป็นการปิดข่าวไปในตัวด้วย”
ชิวเจิ้นถอนหายใจก่อนจะพูด “งั้นข้าไปด้วย”
“ถ้าเจ้าไปด้วย แล้วใครจะคุมภาพรวมทั้งหมดกับกองทัพกัน ?”
ชิวเจิ้นพูดไม่ออกทันทีที่ได้ยิน เพราะจริงดั่งว่า ด้วยกองทัพเทียนหยวนหลายแสนนายต้องการคนควบคุม และเขาเป็นคนเดียวที่มีอำนาจนี้ !!
ซงหยวนกะพริบตา “ข้าได้คุยกับหลาย ๆ คนมาแล้ว ดังนั้นข้าจะไปกับนายท่านเอง”
ซงหยวนเคยติดต่อกับผู้คนมากมายและทราบเส้นทางอย่างดี เขาจะต้องช่วยนายท่านของตัวเองได้แน่ ๆ
ถังหยินวางแผนที่จะเดินทางไปกลับอย่างรวดเร็ว และการพาซงหยวนไปด้วยมันจะทำให้เขาเคลื่อนไหวได้ช้าลง ดังนั้นชายหนุ่มจึงส่ายหัว “ซงหยวน เจ้าอยู่ที่เมืองหยานเถอะแล้วช่วยชิวเจิ้นซะ ข้าจะไปกับหลีเทียนและเจี๋ยนฟานก็พอ”
แม้ว่าซงหยวนจะผิดหวังกับคำตอบนี้ แต่เขาก็ต้องทำใจยอมรับมัน
เมื่อตกลงกันได้ ถังหยินก็จึงส่งคนไปตามหาหลีเทียนกับเจี๋ยนฟานมา
เมื่อได้ยินข่าวนี้ หลีเทียนกับเจี๋ยนฟานต่างก็ตกใจและเต็มไปด้วยความตื่นเต้นที่จะได้ติดตามถังหยินไปยังนครหลวงของจักรวรรดิเฮาเตียน
ทั้งสองรีบตอบรับทันที
จากนั้นหลีเทียนก็ถาม “นายท่านจะออกเดินทางเมื่อไหร่ ?”
“ยิ่งเร็วยิ่งดี” ชายหนุ่มตอบกลับ
ชิวเจิ้นรีบพูดทันที “นายท่านจะรีบเกินไปหรือไม่ ?”
“ข้าต้องรีบจัดการทุกอย่างก่อนที่ซ่งเทียนจะพูดความจริงออกมา ไม่งั้นข้าก็จะกลายเป็นคนนอกน่ะสิ”
ชิวเจิ้นพยักหน้าให้ “ข้าจะทำตามที่ท่านบอกและติดต่อกับท่านอู่ให้จัดการเรื่องซ่งเทียนทันที”
“เยี่ยมมาก” ถังหยินยิ้มให้และเชื่อใจในตัวเพื่อนคนแรกของเขาคนนี้
ชิวเจิ้นไม่อาจห้ามถังหยินเรื่องนี้ได้ และได้แต่ทำตามที่อีกฝ่ายต้องการ ด้วยเขาเองก็ไม่กล้าที่จะห้ามไม่งั้นอาจเกิดเรื่องรุนแรงขึ้นได้
บางครั้งพวกเขาก็มักจะมีความเห็นที่ไม่ตรงกัน แต่ถังหยินก็ยังเชื่อใจชิวเจิ้นอยู่และรู้ว่าอีกฝ่ายมีขอบเขตของตัวเองเหมือนกัน “ชิวเจิ้น เจ้าต้องดูแลกองทัพให้ดีและห้ามให้เกิดเรื่องอะไรขึ้นเด็ดขาด”
“อย่ากังวลไปเลยนายท่าน” ชิวเจิ้นอาจจะเป็นคนหัวรั้นแต่เขาก็ไม่เคยปฏิเสธคำขอของถังหยินเลยสักครั้ง แม้ว่าจะมีกระทบกระทั่งกันบ้างแต่ก็ยังทำงานร่วมกันได้
คืนนั้นทหารยามที่เฝ้าวังและข้ารับใช้ของอู่หยูก็มาถึงที่จวนถังหยิน…
เพราะว่าพวกทหารวังเหล่านี้ขึ้นตรงกับถังหยิน และรู้ว่าดีว่าชายหนุ่มกับฮัวหลงนั้นมีความสัมพันธ์ที่ค่อนข้างไม่ธรรมดา ส่วนพวกข้ารับใช้เอง พวกเขาเหล่านี้ก็ล้วนแต่มาจากอู่เหมยที่สั่งให้พวกเขามาที่นี่ และเมื่อเห็นแบบนี้ ถังหยินจึงไม่รอช้า เขาเดินทางไปยังจวนตระกูลอู่ในทันที
ในใจถังหยิน ชายหนุ่มนั้นคิดว่าอู่เหมยคงเทียบฮัวหลงไม่ติดในครั้งนี้
เมื่อมาถึงจวนตระกูลอู่ พวกข้ารับใช้ที่อยู่หน้าประตูก็รีบเข้ามาก้มหัวให้กับถังหยินและพาเขาเข้าไปข้างใน และเพราะชายหนุ่มได้คบหาดูใจกับอู่เหมยแล้ว จึงทำให้เขามีสถานะที่ดีอยู่ในตระกูลอู่
ที่แห่งนี้มีสวนหย่อมเล็ก ๆ ให้พักผ่อนหย่อนใจอยู่ ซึ่งเมื่อถังหยินมาที่สวน เขาก็พลันเห็นอู่เหมยนั่งอยู่ด้านในศาลาเล็ก ๆ ท่ามกลางค่ำคืน ซึ่งภาพตรงหน้า มันก็ราวกับว่านางได้กลายเป็นเทพธิดาเหนือโลกผู้เฉยชาต่อทุกสรรสิ่ง ทำให้ถังหยินที่กำลังเดินเข้าหยุดมองนางอย่างเหม่อลอย
แสงจันทร์ที่ส่องผ่านลงมายังศาลาทำให้ความงามของอู่เหมยเพิ่มขึ้น นางดูส่องประกายยิ่งกว่าหมู่ดาวและเพชรพลอยใด ๆ ในโลกนี้เสียอีก
“ทำไมเขายังไม่มาอีกนะ ? นี่มัวแต่ทำอะไรอยู่กัน ?” อู่เหมยขบริมฝีปาก
ได้ยินแบบนั้นถังหยินก็พลันหัวเราะออกมาอย่างชอบใจ
อู่เหมยที่ได้ยินเสียงหัวเราะของถังหยินก็หันมาด้วยความตกใจ ใบหน้าของนางแดงก่ำ “เจ้ามาตั้งแต่เมื่อไหร่ ?”
“เมื่อครู่นี้เอง” จากนั้นถังหยินจึงเดินเข้ามาแล้วเห็นถาดอาหารที่มีผลไม้กับขนมวางอยู่
มองจากใกล้ ๆ แล้วอู่เหมยดูงดงามมาก โดยเฉพาะดวงตาที่น่าหลงใหล ที่ทำให้ถังหยินไม่สามารถละสายตาได้เลย และเมื่อเห็นท่าทีเช่นนี้ของชายหนุ่ม อู่เหมยก็พลันลุกขึ้นแล้วกระชับเสื้อให้มั่นคงอย่างเขินอาย
ถังหยินถอดผ้าคลุมเอามาโอบไหล่นางทันที “อย่าประมาทเชียว ถึงที่นี่จะไม่ใช่ที่เกาฉวน แต่มันก็หนาวมากตอนกลางคืน”
นางดึงผ้าเข้ามาและสัมผัสได้ถึงไออุ่นจากตัวถังหยินพร้อมกับกลิ่นหญ้าอ่อน ๆ ก่อนที่อู่เหมยจะพาถังหยินนั่งลงและเชิญเขาจิบชาด้วยกัน
เขาไม่รู้ว่าทำไมนางถึงเรียกตนมาดึกดื่นแบบนี้ ด้วยมันก็คงไม่ใช่การเชิญเพื่อมาจิบชาเป็นแน่แท้ ดังนั้นแล้วถังหยินจึงได้ถามออกไป “อู่เหมย ทำไมถึงมานั่งในที่นี้เวลานี้กัน ?”
“ก็ท่านพ่อกับอู่อิงไปสอบสวนซ่งเทียนทั้งวัน ข้าก็เลยเบื่อ”
ถังหยินถอนหายใจ “แล้วทำไมไม่ไปด้วยกันเล่า ?”
“คุกใต้ดินมันน่าขยะแขยงออก อีกอย่างข้าก็รู้สึกสะอิดสะเอียนเวลาเจอหน้าซ่งเทียนด้วย” อู่เหมยยักไหล่
พรูดด !!
เมื่อเห็นถังหยินพ่นน้ำชาออกมา นางก็พลันยื่นผ้าเช็ดหน้าให้ “ดื่มช้า ๆ หน่อยสิที่รัก”
“แค่ก !” ถังหยินแทบจะพ่นน้ำชาออกมาหมดปากแล้วไออยู่นานก่อนที่จะตั้งสติได้ “เจ้าเรียกข้าว่า… ?”
“ที่รักไง !” อู่เหมยเอียงตัวเข้าหาถังหยินแล้ววาดนิ้วลงบนหน้าอกของเขา “ถ้าเราแต่งงานกัน ข้าก็ต้องเรียกเจ้าแบบนั้น ก็เลยซ้อมเอาไว้ก่อน”
ถังหยินไม่รู้ว่าจะตอบยังไงดี ก่อนที่จะหัวเราะแห้ง ๆ ออกมาพร้อมกับรอยยิ้มสุดแสนซื่อบื้อ
เมื่อกลับมาที่จวนของตนเอง ก่อนที่ถังหยินจะได้นั่งลง ชิวเจิ้นกับจางจี้ก็พลันเข้ามาล้อมเขาไว้เพื่อขอให้เปลี่ยนใจ หากแต่เมื่อชายหนุ่มเห็นว่าทั้งสองเป็นเช่นนั้น เขาก็พลันแสร้งที่จะทำเป็นเมินมันเสีย
เห็นแบบนั้นชิวเจิ้นกับจางจี้ก็เข้าใจแล้วว่าถังหยินตั้งมั่นแล้วว่าจะออกเดินทางแน่นอน นี่จึงทำให้พวกเขาหมดหวังที่จะเปลี่ยนใจอีกฝ่ายแล้ว ทั้งสองมองหน้ากันแล้วถอนหายใจ
ถังหยินที่เห็นว่าพวกเขาเงียบปากกันก็ยิ้มออกมา “ข้ามีแผนแล้ว ครั้งนี้ข้าจะใช้การฝึกวิชาเป็นข้ออ้างแล้วเดินทางไปที่ชางจิงเป็นการส่วนตัว ตราบเท่าที่เรื่องนี้เป็นความลับก็ไม่มีใครรู้ว่าข้าหายไปไหน กว่าคนจะรู้ตัวข้าก็กลับมาที่เมืองหยานแล้วล่ะ พวกเจ้าคิดว่าไง ?”
ก่อนที่จะทันได้ตอบอะไร ซงหยวนก็พลันเดินเข้ามา “นายท่านคิดแผนได้สุดยอดยิ่ง เยี่ยมมาก !”
ชิวเจิ้นและจางจี้โกรธมากที่ได้ยินคำเยินยอที่เกินจริงแบบนี้
ถังหยินพูดขึ้น “แล้วก็ข้าจะไม่เอาคนไปกับข้าด้วย พวกเจ้าคิดว่าไง ? เอาแค่หลีเทียนกับเจี๋ยนฟานก็พอ”
ได้ยินแบบนี้ซงหยวนก็แทบจะเป็นบ้า ต่อให้ชายหนุ่มกล้าแค่ไหนแต่การไปกันแค่สองคนแบบนี้มันเกินไป เขารีบพูดทันที “นายท่าน อย่างน้อยก็พาหยวนยู่ไปด้วยเถอะ”
ถังหยินโบกมือ “ข้าเป็นห่วงเมืองหลวง ดังนั้นจึงอยากให้หยวนยู่อยู่ดูแลที่นี่”
นั่นมันก็ถูกตามที่เขาบอก หยวนยู่เป็นทั้งคนเก่งและหน้าตาดี เขาถือเป็นหน้าเป็นตาให้กับกองทัพแถมยังสามารถควบคุมสถานการณ์ได้ด้วย
จนถึงตอนนี้ชิวเจิ้นก็จึงถามขึ้น “แต่การพาแม่ทัพไปกันแค่สองคนมันจะพอหรือ ?”
“ข้าจะไปพบแค่หยินโรวเท่านั้น ไม่ได้จะไปออกรบสักหน่อย มันไม่จำเป็นต้องพาคนออกไปด้วยมากหรอก จะได้เป็นการปิดข่าวไปในตัวด้วย”
ชิวเจิ้นถอนหายใจก่อนจะพูด “งั้นข้าไปด้วย”
“ถ้าเจ้าไปด้วย แล้วใครจะคุมภาพรวมทั้งหมดกับกองทัพกัน ?”
ชิวเจิ้นพูดไม่ออกทันทีที่ได้ยิน เพราะจริงดั่งว่า ด้วยกองทัพเทียนหยวนหลายแสนนายต้องการคนควบคุม และเขาเป็นคนเดียวที่มีอำนาจนี้ !!
ซงหยวนกะพริบตา “ข้าได้คุยกับหลาย ๆ คนมาแล้ว ดังนั้นข้าจะไปกับนายท่านเอง”
ซงหยวนเคยติดต่อกับผู้คนมากมายและทราบเส้นทางอย่างดี เขาจะต้องช่วยนายท่านของตัวเองได้แน่ ๆ
ถังหยินวางแผนที่จะเดินทางไปกลับอย่างรวดเร็ว และการพาซงหยวนไปด้วยมันจะทำให้เขาเคลื่อนไหวได้ช้าลง ดังนั้นชายหนุ่มจึงส่ายหัว “ซงหยวน เจ้าอยู่ที่เมืองหยานเถอะแล้วช่วยชิวเจิ้นซะ ข้าจะไปกับหลีเทียนและเจี๋ยนฟานก็พอ”
แม้ว่าซงหยวนจะผิดหวังกับคำตอบนี้ แต่เขาก็ต้องทำใจยอมรับมัน
เมื่อตกลงกันได้ ถังหยินก็จึงส่งคนไปตามหาหลีเทียนกับเจี๋ยนฟานมา
เมื่อได้ยินข่าวนี้ หลีเทียนกับเจี๋ยนฟานต่างก็ตกใจและเต็มไปด้วยความตื่นเต้นที่จะได้ติดตามถังหยินไปยังนครหลวงของจักรวรรดิเฮาเตียน
ทั้งสองรีบตอบรับทันที
จากนั้นหลีเทียนก็ถาม “นายท่านจะออกเดินทางเมื่อไหร่ ?”
“ยิ่งเร็วยิ่งดี” ชายหนุ่มตอบกลับ
ชิวเจิ้นรีบพูดทันที “นายท่านจะรีบเกินไปหรือไม่ ?”
“ข้าต้องรีบจัดการทุกอย่างก่อนที่ซ่งเทียนจะพูดความจริงออกมา ไม่งั้นข้าก็จะกลายเป็นคนนอกน่ะสิ”
ชิวเจิ้นพยักหน้าให้ “ข้าจะทำตามที่ท่านบอกและติดต่อกับท่านอู่ให้จัดการเรื่องซ่งเทียนทันที”
“เยี่ยมมาก” ถังหยินยิ้มให้และเชื่อใจในตัวเพื่อนคนแรกของเขาคนนี้
ชิวเจิ้นไม่อาจห้ามถังหยินเรื่องนี้ได้ และได้แต่ทำตามที่อีกฝ่ายต้องการ ด้วยเขาเองก็ไม่กล้าที่จะห้ามไม่งั้นอาจเกิดเรื่องรุนแรงขึ้นได้
บางครั้งพวกเขาก็มักจะมีความเห็นที่ไม่ตรงกัน แต่ถังหยินก็ยังเชื่อใจชิวเจิ้นอยู่และรู้ว่าอีกฝ่ายมีขอบเขตของตัวเองเหมือนกัน “ชิวเจิ้น เจ้าต้องดูแลกองทัพให้ดีและห้ามให้เกิดเรื่องอะไรขึ้นเด็ดขาด”
“อย่ากังวลไปเลยนายท่าน” ชิวเจิ้นอาจจะเป็นคนหัวรั้นแต่เขาก็ไม่เคยปฏิเสธคำขอของถังหยินเลยสักครั้ง แม้ว่าจะมีกระทบกระทั่งกันบ้างแต่ก็ยังทำงานร่วมกันได้
คืนนั้นทหารยามที่เฝ้าวังและข้ารับใช้ของอู่หยูก็มาถึงที่จวนถังหยิน…
เพราะว่าพวกทหารวังเหล่านี้ขึ้นตรงกับถังหยิน และรู้ว่าดีว่าชายหนุ่มกับฮัวหลงนั้นมีความสัมพันธ์ที่ค่อนข้างไม่ธรรมดา ส่วนพวกข้ารับใช้เอง พวกเขาเหล่านี้ก็ล้วนแต่มาจากอู่เหมยที่สั่งให้พวกเขามาที่นี่ และเมื่อเห็นแบบนี้ ถังหยินจึงไม่รอช้า เขาเดินทางไปยังจวนตระกูลอู่ในทันที
ในใจถังหยิน ชายหนุ่มนั้นคิดว่าอู่เหมยคงเทียบฮัวหลงไม่ติดในครั้งนี้
เมื่อมาถึงจวนตระกูลอู่ พวกข้ารับใช้ที่อยู่หน้าประตูก็รีบเข้ามาก้มหัวให้กับถังหยินและพาเขาเข้าไปข้างใน และเพราะชายหนุ่มได้คบหาดูใจกับอู่เหมยแล้ว จึงทำให้เขามีสถานะที่ดีอยู่ในตระกูลอู่
ที่แห่งนี้มีสวนหย่อมเล็ก ๆ ให้พักผ่อนหย่อนใจอยู่ ซึ่งเมื่อถังหยินมาที่สวน เขาก็พลันเห็นอู่เหมยนั่งอยู่ด้านในศาลาเล็ก ๆ ท่ามกลางค่ำคืน ซึ่งภาพตรงหน้า มันก็ราวกับว่านางได้กลายเป็นเทพธิดาเหนือโลกผู้เฉยชาต่อทุกสรรสิ่ง ทำให้ถังหยินที่กำลังเดินเข้าหยุดมองนางอย่างเหม่อลอย
แสงจันทร์ที่ส่องผ่านลงมายังศาลาทำให้ความงามของอู่เหมยเพิ่มขึ้น นางดูส่องประกายยิ่งกว่าหมู่ดาวและเพชรพลอยใด ๆ ในโลกนี้เสียอีก
“ทำไมเขายังไม่มาอีกนะ ? นี่มัวแต่ทำอะไรอยู่กัน ?” อู่เหมยขบริมฝีปาก
ได้ยินแบบนั้นถังหยินก็พลันหัวเราะออกมาอย่างชอบใจ
อู่เหมยที่ได้ยินเสียงหัวเราะของถังหยินก็หันมาด้วยความตกใจ ใบหน้าของนางแดงก่ำ “เจ้ามาตั้งแต่เมื่อไหร่ ?”
“เมื่อครู่นี้เอง” จากนั้นถังหยินจึงเดินเข้ามาแล้วเห็นถาดอาหารที่มีผลไม้กับขนมวางอยู่
มองจากใกล้ ๆ แล้วอู่เหมยดูงดงามมาก โดยเฉพาะดวงตาที่น่าหลงใหล ที่ทำให้ถังหยินไม่สามารถละสายตาได้เลย และเมื่อเห็นท่าทีเช่นนี้ของชายหนุ่ม อู่เหมยก็พลันลุกขึ้นแล้วกระชับเสื้อให้มั่นคงอย่างเขินอาย
ถังหยินถอดผ้าคลุมเอามาโอบไหล่นางทันที “อย่าประมาทเชียว ถึงที่นี่จะไม่ใช่ที่เกาฉวน แต่มันก็หนาวมากตอนกลางคืน”
นางดึงผ้าเข้ามาและสัมผัสได้ถึงไออุ่นจากตัวถังหยินพร้อมกับกลิ่นหญ้าอ่อน ๆ ก่อนที่อู่เหมยจะพาถังหยินนั่งลงและเชิญเขาจิบชาด้วยกัน
เขาไม่รู้ว่าทำไมนางถึงเรียกตนมาดึกดื่นแบบนี้ ด้วยมันก็คงไม่ใช่การเชิญเพื่อมาจิบชาเป็นแน่แท้ ดังนั้นแล้วถังหยินจึงได้ถามออกไป “อู่เหมย ทำไมถึงมานั่งในที่นี้เวลานี้กัน ?”
“ก็ท่านพ่อกับอู่อิงไปสอบสวนซ่งเทียนทั้งวัน ข้าก็เลยเบื่อ”
ถังหยินถอนหายใจ “แล้วทำไมไม่ไปด้วยกันเล่า ?”
“คุกใต้ดินมันน่าขยะแขยงออก อีกอย่างข้าก็รู้สึกสะอิดสะเอียนเวลาเจอหน้าซ่งเทียนด้วย” อู่เหมยยักไหล่
พรูดด !!
เมื่อเห็นถังหยินพ่นน้ำชาออกมา นางก็พลันยื่นผ้าเช็ดหน้าให้ “ดื่มช้า ๆ หน่อยสิที่รัก”
“แค่ก !” ถังหยินแทบจะพ่นน้ำชาออกมาหมดปากแล้วไออยู่นานก่อนที่จะตั้งสติได้ “เจ้าเรียกข้าว่า… ?”
“ที่รักไง !” อู่เหมยเอียงตัวเข้าหาถังหยินแล้ววาดนิ้วลงบนหน้าอกของเขา “ถ้าเราแต่งงานกัน ข้าก็ต้องเรียกเจ้าแบบนั้น ก็เลยซ้อมเอาไว้ก่อน”
ถังหยินไม่รู้ว่าจะตอบยังไงดี ก่อนที่จะหัวเราะแห้ง ๆ ออกมาพร้อมกับรอยยิ้มสุดแสนซื่อบื้อ