ตอนที่ 151 ใจสตรีอำมหิตที่สุด / ตอนที่ 152 ตาบอด

เล่ห์รักกลกาล [ส่วนที่ 2 ภาคครองใต้หล้า]

ตอนที่ 151 ใจสตรีอำมหิตที่สุด  

 

 

องค์ชายรองหน้าถมึงทึงกัดฟันแน่น “เจ้า…” 

 

 

เย่ซังอิ๋นลูบหน้าตน ยิ้มเอ่ยว่า “ดูท่าองค์ชายรองคงจำข้าได้แล้วกระมัง หากมิใช่เพราะปิ่นปักผมอันนั้น ชั่วชีวิตนี้ท่านคงจำข้าไม่ได้แล้วสินะ ก็จริง ท่านคงหลงคิดว่าข้าตายไปแล้วล่ะสิ” 

 

 

คำพูดนี้กลับกระเทือนถึงบาดแผลในใจขององค์ชายรองเป่ยเฉินอวี้พอดี 

 

 

หากมิใช่เพราะปิ่นอันนี้ เขาคิดไม่ออกจริงๆ ว่า นางแพศยาเบื้องหน้าตนนี้คือใคร 

 

 

เขาเอ่ยว่า “ตอนนั้นเจ้าไม่ตาย?” 

 

 

“ถูกแล้ว” เย่ซังอิ๋นหัวเราะเสียงเย็นชา “หากไม่ใช่เพราะไม่ตาย จะกลับมาล้างแค้นองค์ชายรองได้อย่างไร” 

 

 

องค์ชายรองเข้าใจในบัดดล เขาตวาดเสียงก้อง “เจ้าจงใจทำให้องค์ชายใหญ่ฆ่าคนเพื่อใส่ร้ายข้า เพราะต้องการแก้แค้นเรื่องในปีนั้นหรือ” 

 

 

“ใช่” เย่ซังอิ๋นตอบตามตรงไม่บิดพลิ้ว 

 

 

นางเป็นเพียงนักร้องหญิงธรรมดา ทั้งไม่ฉลาดมากพอ หากไม่ได้รับความช่วยเหลือจากองค์ชายสี่ ชั่วชีวิตนี้ไม่อาจทวงหนี้เลือดจากสัตว์เดียรัจฉานตรงหน้าตน แม้กระทั่งเข้าใกล้เขาก็คงยังเป็นไปไม่ได้เลย 

 

 

ดีที่องค์ชายสี่สอนวิธีการให้นาง อีกทั้งองค์ชายสี่ให้คนใช้แผนการเล็กๆ น้อยๆ ทำให้นักร้องหญิงในโรงเตี๊ยมประจำขององค์ชายใหญ่ป่วย นางถึงมีโอกาสเข้าโรงเตี๊ยมนี้ อีกทั้งยังค่อยๆ ได้รับความไว้วางใจจากผู้ดูแลโรงเตี๊ยมจึงยอมให้นางแสดงถวายองค์ชายใหญ่  

 

 

สุดท้ายทำสำเร็จมาถึงก้าวนี้  

 

 

นางยิ้มมองเป่ยเฉินอวี้ แววตาอำมหิต “ได้ยินว่าลูกชายที่เสด็จพ่อของท่านรักที่สุดก็คือองค์ชายใหญ่ หากให้เขารู้ว่าท่านทำร้ายองค์ชายใหญ่ คิดว่าเขาจะทำอย่างไร เรื่องนี้จะต้องทำให้เสด็จพ่อของท่านโมโหเสียมากกว่าไปฆ่าคนตายเสียอีก” 

 

 

ไม่ใช่นางไม่เคยคิดแก้แค้นเป่ยเฉินอวี้ตรงๆ โดยให้เขาสังหารคน อย่างไรก็ตามช่วงก่อนหน้านี้นางบังเอิญพบเป่ยเฉินอวี้บนถนน เขากลับจำนางไม่ได้เลยแม้แต่น้อย 

 

 

ลงมือที่ตัวเป่ยเฉินอวี้ ก็ไม่ใช่เป็นไปไม่ได้ 

 

 

แต่ว่า… 

 

 

เป่ยเฉินอวี้สังหารคนนอกกับเป่ยเฉินอวี้จงใจฆ่าลูกชายสุดที่รักของฮ่องเต้ ระหว่างสองเรื่องนี้อะไรทำให้ฮ่องเต้บันดาลโทสะได้รุนแรงกว่ากัน นางเข้าใจอย่างถ่องแท้ ดังนั้นหลังจากเป่ยเฉินเสียเยี่ยนเสนอเข้าช่วยเหลือ นางจึงรับปากอย่างไม่ลังเล 

 

 

สีหน้าของเป่ยเฉินอวี้เปลี่ยนไปไม่น่ามองทันที 

 

 

เขาชี้เย่ซังอิ๋นพลางตะโกนด่า “เจ้ามันนางงูพิษ! ที่อำมหิตที่สุดก็คือใจสตรี” 

 

 

เย่ซังอิ๋นฟังแล้ว คล้ายได้ฟังเรื่องตลกที่น่าขันที่สุด มองเป่ยเฉินอวี้ “นางงูพิษหรือ จิตใจสตรีอำมหิตที่สุดหรือ องค์ชายรอง คนที่อำมหิตที่สุดในโลกใบนี้ มีใครเทียบท่านได้ด้วยหรือ” 

 

 

เป่ยเฉินอวี้เห็นนางสติคลุ้มคลั่ง ในชั่วขณะนั้นเขากลับพูดอะไรไม่ออกแล้ว 

 

 

ส่วนเย่ซังอิ๋นรีบเอ่ยปากอย่างรวดเร็วว่า “ปีนั้นใครบอกว่าจะแต่งข้าเป็นพระชายาองค์ชายรองกัน ทั้งใครกันที่ให้สัญญามั่น ทั้งยังเอาปิ่นปักผมของดูต่างหน้าของเสด็จแม่ท่านมาล่อลวงร่างกายข้า หลังจากเบื่อหน่ายแล้วก็เปลี่ยนไปไม่รู้จักกันอีก” 

 

 

ทันทีที่องค์ชายรองได้ฟัง เขาหลบสายตา ทั้งรู้อยู่แก่ใจ หากสตรีนางนี้ไม่ยอมเปลี่ยนคำให้การ เกรงว่าเขาคงหนีเภทภัยใหญ่นี้ไม่พ้นแล้ว ดังนั้นเขาจึงไม่ด่าว่านางอีก หวังว่าจะปลอบประโลมอารมณ์ของนางลง ให้นางเปลี่ยนคำให้การ ดังนั้นจึงเอ่ยปากว่า “ถึงเบื่อหน่ายแล้ว แต่ปีนั้นข้าก็รักเจ้าจากใจจริง มิเช่นนั้น ข้าไม่มีทางมอบปิ่นปักผมของเสด็จแม่ให้เจ้า” 

 

 

คำพูดนี้กลับเป็นคำพูดจากใจจริงขององค์ชายรอง 

 

 

เมื่อเอ่ยถึงตรงนี้ เขากลับเอ่ยว่า “ต่อให้ไม่รักแล้ว ข้าเป็นฝ่ายผิดต่อเจ้า แต่เจ้าก็ไม่จำเป็นต้องทำร้ายข้าถึงขั้นนี้นี่” 

 

 

เย่ซังอิ๋นพลันหัวเราะเสียงเย็นเยียบ “ข้าทำร้ายท่านหรือ ฮ่าฮ่า ปีนั้นท่านกลัวข้าจะขัดขวางอนาคต หลังจากฆ่าพ่อแม่ข้าแล้วก็บีบให้ข้าดื่มยาทำลายครรภ์ ทำร้ายเด็กในท้องข้า ซ้ำยังวางเพลิงคิดเผาข้าให้ตาย ตอนนี้ยังมีหน้ามาบอกว่าข้าทำร้ายท่านอีกหรือ” 

 

 

 

 

 

ตอนที่ 152 ตาบอด  

 

 

เมื่อเย่ซังอิ๋นเอ่ยเช่นนี้ ในชั่วพริบตาสีหน้าองค์ชายรองเปลี่ยนไปหลายครั้ง สุดท้ายก็ก้มหน้าลงด้วยความสำนึกผิดอยู่บ้าง 

 

 

ตอนนั้นเขาเป็นฝ่ายผิดต่อสตรีนางนี้ก่อนจริงๆ 

 

 

ชั่วชีวิตขององค์ชายรอง ทำเรื่องผิดต่อศีลธรรมไม่น้อย แต่ว่าเรื่องที่ผิดศีลธรรมมากที่สุดก็คือเรื่องนี้ ปีนั้นตอนที่ออกไปท่องเที่ยวพบหญิงสาวนางนี้ เขาหวั่นไหวไปชั่ววูบ ต้องการได้นางมาให้ได้ 

 

 

แต่ว่าแม้เย่ซังอิ๋นเป็นลูกสาวพ่อค้าเท่านั้น แต่กลับมีความทะเยอทะยาน แสดงออกอย่างชัดเจนว่ายอมแต่งเป็นเมียเอกของข้ารับใช้ต่ำต้อยก็ไม่ยอมแต่งไปเป็นเมียน้อยในตระกูลใหญ่  

 

 

เพื่อได้ตัวนาง เขาได้แต่ยอมสัญญาว่า ภายหน้าจะแต่งนางเป็นพระชายาองค์ชายรอง 

 

 

หลังจากทั้งสองมีความสัมพันธ์กันไปแล้ว 

 

 

อีกทั้งในตอนนั้นเขาก็จริงใจอย่างแท้จริง เอาปิ่นปักผมที่เสด็จแม่รักที่สุดมอบให้นางเป็นของหมั้นหมายแทนใจ แต่ว่าเพียงแค่เวลาสองเดือนผ่านไป เขาก็เบื่อแล้ว 

 

 

เขาเองยังคิดไม่ถึงเลยว่าความรักของเขาจะมาไวแล้วก็ผ่านไปไวถึงขั้นนี้ 

 

 

ขณะที่เขาเตรียมตัวจากมาเพื่อกลับเมืองหลวง กลับสู่เส้นทางชีวิตที่สมควรจะเป็น แต่งงานกับหญิงที่เสด็จพ่อจัดการให้ แต่ว่าสตรีนางนี้กลับไม่ยอม ยืนยันจะกลับมากับเขาด้วย 

 

 

หากให้เสด็จพ่อรู้ว่าตัวเขาเกลือกกลั้วกับลูกสาวพ่อค้า อีกทั้งยังมีความคิดแต่งนางเป็นพระชายา เสด็จพ่อต้องพิโรธแน่ หากคิดจะสืบทอดบัลลังก์ เช่นนั้นก็เป็นเพียงความฝันลมๆ แล้งๆ แล้ว 

 

 

ในยามที่รักนาง เขากลับเคยคิดจริงๆ ว่าเพื่อนางแล้วจะไม่ต้องการอะไรอีก ต่อให้ต้องขัดแย้งกับเสด็จพ่อก็จะแต่งนางเป็นภรรยาร่วมผูกผมให้จงได้ แต่เมื่อไม่รักนางแล้ว คำสัญญาชั่วชีวิตทั้งหมดล้วนมลายหายไปสิ้น 

 

 

ดังนั้นเขาจึงได้แต่วางแผนเพื่อสลัดนางทิ้งแล้ว 

 

 

แต่หญิงนางนี้กลับ… 

 

 

เมื่อคิดถึงตรงนี้ เขาเอ่ยปากว่า “ปีนั้นข้าหาได้คิดลงมือกับเจ้า แต่เจ้าเองที่ไม่ยอมเลิกรา เอาลูกในท้องมาข่มขู่ข้า บอกว่าจะไปเมืองหลวงฟ้องเสด็จพ่อ ทำให้เสด็จพ่อรู้ว่าข้าล่อลวงทอดทิ้งหญิงชาวบ้าน!” 

 

 

เสด็จพ่อไม่มีทางเอาชีวิตเขาเพราะเรื่องเล็กๆ อย่างมากก็แค่ให้เขารับนางเป็นอนุ แต่เรื่องนี้หากลุกลามไปถึงหน้าพระพักตร์ ทำเอาคนทั้งเมืองหลวงรู้เข้า เขาก็ไม่มีโอกาสขึ้นครองบัลลังก์เป็นฮ่องเต้แล้ว 

 

 

และจะกลายเป็นมลทิน! 

 

 

คิดแล้ว เขาอดเอ่ยปากไม่ได้ “หากปีนั้นเจ้ายอมเป็นอนุ จะเกิดเรื่องมากมายเช่นนั้นที่ไหนกัน!” 

 

 

เย่ซังอิ๋นเอ่ยเสียงนิ่ง “ตัวท่านเองสัญญาจะแต่งข้าเป็นภรรยาเอก สุดท้ายกลับโทษข้าไม่ยอมเลิกรา! ข้าไม่ยอมเป็นอนุ ทั้งยังข่มขู่ท่าน ท่านจึงฆ่าล้างตระกูลข้า ทั้งยังทำให้ลูกในท้องข้าตาย วันนี้! ข้าจะทำให้ท่านตาย! ทุกอย่างบนโลกใบนี้ล้วนเป็นเหตุเป็นผลกัน ไม่มีความแค้นที่ไร้ซึ่งต้นสายปลายเหตุ ความผิดที่ก่อไว้ เมื่อถึงเวลาก็ต้องได้รับกลับไป!” 

 

 

เย่ซังอิ๋นยอมรับ นางที่เป็นผู้พ่ายแพ้ในด้านความรัก ตอนนั้นพ่ายแพ้อย่างไม่งดงามเท่าไรนัก 

 

 

เพราะนางถูกผู้ชายคนนี้ล่อลวงร่างกาย ทั้งยังขโมยหัวใจ นางรู้สึกไม่ยินยอม! ไม่ยินยอมที่เขาคิดจะบอกว่าไม่รักก็ไม่รักแล้ว ไม่ยินยอมที่เขากลับเมืองหลวง คิดจะสลัดนางทิ้งไปแต่งงานกับหญิงอื่น ดังนั้นนางถึงหาเรื่องเขา อย่างไรก็เป็นเพราะนางยังเหลือความรักอยู่ 

 

 

นางหวังว่าเขาจะกลับตัวกลับใจ 

 

 

คิดไม่ถึงว่าผลลัพธ์ที่ฝืนบังคับจะแลกด้วยการบ้านแตกสาแหรกขาด กับคนที่ไร้มนุษยธรรมไม่อาจใช้ไม้แข็งกับพวกเขาได้ เพียงแต่ยามที่นางรับรู้หลักการนี้ก็สายเกินกาลแล้ว  

 

 

อีกทั้งก่อนหน้า ตอนพบชายผู้นี้บนถนน เขาถึงกับใช้สายตาตะลึงงันในความงามมองนางคราหนึ่ง ที่เหลือก็คือความไม่คุ้นเคยเป็นอื่น นี่ก็ทำให้เย่ซังอิ๋นรับรู้ว่าปีนั้นตัวนางสายตามืดบอด เขาถึงกับจำรูปโฉมของนางไม่ได้เสียแล้วด้วยซ้ำ