จิ๋งจิ่วกล่าว “หากข้าพกเอาไม้วิญญาณอัศนีติดตัวมาด้วย แล้วเอามันมาทำเป็นเก้าอี้นอนสักสองตัวในเวลานี้ เช่นนั้นคงไม่เลว”
จักรพรรดิแห่งหมิงรู้ว่าเขาคาดเดาความคิดของตนเองได้แล้ว จึงถอนใจออกมาพลางกล่าว “ไม่ใช่แค่ไม่เลว เรียกได้ว่ามีความสุขเลยทีเดียว”
จิ๋งจิ่วกล่าว “วิธีที่ท่านคิดนี้มิเลวจริงๆ”
เขาย่อมมิได้หมายถึงวิธีที่จะไล่ยุง หากแต่หมายถึงวิธีที่จักรพรรดิแห่งหมิงคิดจะใช้หลบหนีไปจากที่นี่
หลังคนผู้นั้นเอาไม้วิญญาณอัศนีไป เขาก็ใช้วิชาย้ายดวงจิตของเผ่าหมิง หยิบยืมเอาร่างมารเผ่าหมิงผู้หนึ่งหนีออกมาจากคุกกระบี่
จักรพรรดิแห่งหมิงย่อมมีความรู้เรื่องวิธีการย้ายดวงจิตที่ลึกซึ้งยิ่งกว่า หากเขาได้ไม้วิญญาณอัศนีมา ไม่แน่เขาอาจจะยืมเอาร่างของนักโทษในชั้นที่สองเหล่านั้นหลบหนีออกไปจากที่นี่ก็ได้
ในตอนที่เขาจับคนผู้นั้นขังคุกกระบี่เอาไว้ จักรพรรดิแห่งหมิงก็ถูกขังอยู่ในคุกสะกดมารแล้ว เช่นนั้นเขาย่อมไม่ทราบถึงวิธีที่คนผู้นั้นใช้
จิ๋งจิ่วกล่าวถาม “คนที่ฉลาดและเยือกเย็นเหมือนอย่างท่าน เหตุใดจึงถูกเขาหลอกขึ้นมายังพื้นดินได้?”
จักรพรรดิแห่งหมิงทอดถอนใจว่า “ย่อมต้องเป็นเพราะเขาหลอกคนเก่ง แล้วก็เป็นเพราะข้าอยากขึ้นมาดูข้างบนจริง”
ไม่มีผู้บำเพ็ญพรตคนไหนไม่อยากบรรลุกลายเป็นเซียน ไม่มีคนของเผ่าหมิงคนไหนไม่อยากขึ้นมาดูโลกมนุษย์ ถึงแม้ทั้งสองอย่างจะมีความยากที่แตกต่างกันอย่างมากก็ตาม
ยอดฝีมือทั่วๆ ไปของเผ่าหมิงสามารถใช้วิธีการต่างๆ ในการขึ้นมาอาบแสงแดดบนโลกมนุษย์ได้ แต่ว่า…
จักรพรรดิแห่งหมิงกล่าวอย่างเฉยชา “ข้าไม่อาจขึ้นมาได้ หลังขึ้นครองบัลลังก์แล้วก็ยิ่งไม่มีทางขึ้นมาได้ ดังนั้นข้าจึงอยากฉวยโอกาสตอนที่ยังไม่ขึ้นครองบัลลังก์ขึ้นมาดูโลกมนุษย์เสียหน่อย”
จิ๋งจิ่วเข้าใจความหมายของเขา
ฝ่าบาทเสินหวงมิอาจไปยังที่ราบหิมะฉันใด จักรพรรดิแห่งหมิงก็มิอาจมายังโลกมนุษย์ฉันนั้น
เหล่าประชาชนและข้าราชบริพารจะต้องคัดค้านอย่างหัวชนฝา หรือไม่ก็ให้เจ้าตายไปเสียดีกว่าที่จะถูกศัตรูจับตัวไป แล้วสุดท้ายก็เอามาเหยียดหยามหรือข่มขู่พวกเรา
ฮ่องเต้จะสำคัญเพียงใด ก็ยังมิอาจสำคัญเท่าอาณาจักรทั้งอาณาจักร
จิ๋งจิ่วกล่าวถาม “ท่านน่าจะรู้ดีถึงอันตรายของการเดินทางครั้งนี้ เหตุใดสุดท้ายถึงยังถูกจับได้?”
จักรพรรดิแห่งหมิงกล่าวว่า “เพราะสิ่งที่ข้าแพ้มิใช่แผนการ หากแต่เป็นพลัง”
เมื่อพูดจบประโยคนี้ จักรพรรดิแห่งหมิงก็นิ่งเงียบไป มิได้เล่าถึงเรื่องราวในตอนนั้นอีก
จิ๋งจิ่วเองก็นิ่งเงียบไปครู่ ก่อนกล่าวว่า “ท่านยังอยากจะไล่ยุงอยู่ไหม?”
จักรพรรดิแห่งหมิงกล่าว “แน่นอน”
จิ๋งจิ่วสอนวิชาลมฝนให้เขา
วิชาลมฝนเป็นสุดยอดวิชาของสำนักต้าเจ๋อ สำนักชิงซานและสำนักต้าเจ๋อเป็นมิตรที่ดีต่อกัน เช่นนั้นก็ย่อมต้องเคยได้สัมผัสกับวิชาของอีกฝ่ายบ้าง ถึงแม้จะไม่ใช่วิชาในระดับสูงสุด แต่มันก็เพียงพอที่จะใช้งานได้
จักรพรรดิแห่งหมิงนั้นเป็นยอดฝีมือระดับไหน ถึงแม้นระบบในการบำเพ็ญเพียรและเผ่าพันธุ์จะไม่เหมือนกัน แต่วิชาระดับพื้นๆ เช่นนี้ย่อมไม่อาจสร้างความลำบากให้แก่เขาได้
ผ่านไปไม่นาน เขาก็เรียนวิชาลมฝนนี้ได้ เมฆภายในหุบเขาสีเขียวก่อตัวหนาขึ้นมาทันที ลมแรงถาโถม คล้ายพายุฝนกำลังจะมาถึง
เมื่อรับรู้ได้ถึงกลิ่นอายของลมฝน ยุงที่อยู่ข้างกายจักรพรรดิแห่งหมิงก็เหมือนรู้สึกไม่ค่อยคุ้นชิน มันค่อยๆ บินหนีออกไป แต่ก็มิได้หนีไปไกลนัก หากแต่อยู่ห่างจากจักรพรรดิแห่งหมิงออกไปหลายจ้าง
จักรพรรดิแห่งหมิงมองดูเมฆสีดำที่อยู่ในท้องฟ้า ก่อนขมวดคิ้วพลางกล่าวว่า “อานุภาพเบาเกินไป ยิ่งไปกว่านั้นหากต้องทำให้มันคงอยู่อย่างนี้ไปเรื่อยๆ คงจะเหนื่อยเกินไป เช่นนั้นมันจะต่างอะไรกับการที่ข้าใช้เพลิงวิญญาณไล่ยุงล่ะ?”
จิ๋งจิ่วกล่าวว่า “ท่านสามารถนำเอาวิชานี้สลักลงไปในอักขระข่ายพลังได้”
จักรพรรดิแห่งหมิงเข้าใจความหมายของเขา จึงส่ายศีรษะพลางกล่าว “ที่นี่ตัดขาดจากฟ้าดิน หากต้องการให้อักขระข่ายพลังทำงานเป็นเวลานาน อานุภาพของข่ายพลังจะต้องลดลงอย่างมากแน่นอน”
จิ๋งจิ่วกล่าว “แค่มีลมฝนก็พอ”
จักรพรรดิแห่งหมิงมิได้กล่าวกระไรอีก หากแต่เอาวิชาลมฝนสลักลงไปในอักขระข่ายพลัง
ในชั่วพริบตาที่อักขระทำงาน ก้อนเมฆสีดำบนท้องฟ้าก็เริ่มหดตัวเล็กลงอย่างรวดเร็ว ลมเองก็เบาลงกว่าเดิมมาก ฝนที่ตกลงมาก็น้อยนิด
หลังจากนั้นเมื่ออักขระคงที่ เมฆฝนก็กลายเป็นกลุ่มก้อนเล็กๆ ลอยนิ่งๆ อยู่บนศีรษะจิ๋งจิ่วและจักพรรดิแห่งหมิง มีรัศมีเพียงแค่ไม่กี่จ้าง
ยุงเหล่านั้นเคยชินกับการเปลี่ยนแปลงของสภาพแวดล้อมแล้ว อีกทั้งเมฆฝนก้อนนี้ก็มีขนาดเล็กอย่างมาก พวกมันจึงทยอยบินกลับมา
จักรพรรดิแห่งหมิงมิได้กล่าวกระไร เขามองจิ๋งจิ่ว รอดูว่าจิ๋งจิ่วจะจัดการอย่างไรต่อไป เขามั่นใจว่าศิษย์ชิงซานผู้นี้มีความรอบคอบ เขาจะต้องมีแผนการอยู่อย่างแน่นอน
จิ๋งจิ่วหยิบเอากระดิ่งออกมาจากในแขนเสื้อที่ขาดรุ่ย สีหน้าลังเลเล็กน้อย
“ระดับชั้นไม่เลว”
กระทั่งจักรพรรดิแห่งหมิงก็ยังกล่าวชมเชย กระดิ่งนี้ย่อมมิใช่ธรรมดาแน่ มันคือของขวัญที่เซ่อเซ่อมอบให้จิ๋งจิ่ว
หากเซ่อเซ่อรู้ว่าจิ๋งจิ่วเอากระดิ่งที่นางตั้งใจเลือกให้มาใช้ทำเรื่องแบบนี้ นางจะต้องโกรธอย่างมากแน่นอน
หากเป็นแบบนั้นล่ะก็ เรื่องที่นางจะให้จิ๋งจิ่วทำในภายหลังจะต้องยุ่งยากขึ้นกว่าเดิมเป็นแน่
จิ๋งจิ่วเองก็คิดถึงเรื่องนี้ เขาถึงได้รู้สึกลังเล ถ้าเกิดนางต้องการให้ตัวเองไปสังหารเหล่าผู้อาวุโสของสำนักเสวียนหลิงจนหมดจะทำอย่างไร?
แต่เรื่องในอนาคตนั้นค่อยว่ากัน คิดๆ ดูแล้วนางเองก็คงไม่มีทางรู้ว่ากระดิ่งนี้จะถูกตนเองทิ้งเอาไว้ในคุกสะกดมาร
กระดิ่งลอยออกไปจากฝ่ามือของเขา บินเข้าไปในก้อนเมฆที่มืดครึ้ม
ยุงเหล่านั้นบินกลับมายังข้างกายจักรพรรดิแห่งหมิงใหม่อีกครั้ง ส่งเสียงหึ่งๆ เบาๆ ที่น่าแปลกก็คือมันไม่ได้มีท่าทีว่าจะลงมาดูดเลือดเลย
ภายในเมฆครึ้มมีเสียงที่ดังกังวานเสียงหนึ่งดังขึ้นมา
สมแล้วที่เป็นกระดิ่งใจพิสุทธิ์ที่มีระดับชั้นสูงสุดของสำนักเสวียนหลิง เสียงกระดิ่งดังสะท้อนไปในหุบเขา หญ้าสีเขียวยืดสูงขึ้น กลีบดอกไม้ยิ่งดูอ่อนโยน
จิ๋งจิ่วและจักรพรรดิแห่งหมิงต่างรู้สึกจิตใจปลอดโปร่งขึ้นมาไม่น้อย
การเปลี่ยนแปลงที่น่าแปลกที่สุดนั้นอยู่ตรงจุดกำเนิดเสียง
เมฆครึ้มก้อนนั้นปั่นป่วนขึ้นมาตามการสั่นสะเทือนของกระดิ่ง ภายในมีสายฟ้าปรากฏขึ้นมาสายหนึ่ง
สายฟ้าสายนั้นมีขนาดเล็ก ขนาดประมาณนิ้วมือ ความยาวประมาณตะเกียบ
สายฟ้าสายนั้นอยู่ใกล้พื้นดินเกินไป มันจึงมิอาจส่งเสียงฟ้าร้องที่ดังกัมปนาทได้ มันทำได้แค่เพียงส่งเสียงแคร่กเบาๆ
คล้ายกับตะเกียบของใครบางคนถูกหัก ยิ่งไปกว่านั้นยังเป็นตะเกียบไม้ไผ่ที่มิได้แข็งแรงทนทาน
ก้อนเมฆที่ดูเหมือนฉัตร
สายฟ้าที่ดูคล้ายตะเกียบ
เสียงที่อยู่บนโต๊ะกินข้าว
ทุกอย่างล้วนดูน่ารัก เหมือนกับกระดิ่งที่เดี๋ยวผลุบเดี๋ยวโผล่อยู่ในก้อนเมฆอันนั้น
……
……
น่ารัก ย่อมไม่ได้มิอานุภาพที่รุนแรงอะไรมากนัก แต่ก็เพียงพอที่จะเอามาใช้ไล่ยุง
อย่างน้อยในจุดนี้จักรพรรดิแห่งหมิงก็มิได้พูดโกหก ยุงเหล่านั้นกลัวสายฟ้าจริงๆ พวกมันทยอยบินหนีไป เข้าไปหลบอยู่ในซอกหินและใต้ต้นหญ้าภายในหุบเขา ไม่กล้าปรากฏตัวออกมา
จิ๋งจิ่วมองไปทางจักรพรรดิแห่งหมิง
จักรพรรดิแห่งหมิงยิ้มเล็กน้อย มองดูผลลัพธ์อย่างพึงพอใจ จากนั้นรอยยิ้มหายไป ก่อนจะเริ่มกล่าวสอนวิชาขึ้นมาโดยไม่มีการเกริ่นอะไรล่วงหน้า
“เพลิงวิญญาณมิได้เกิดขึ้นมาเอง หากแต่เป็นสิ่งที่พวกข้าได้มาจากการลงไปฝึกในแม่น้ำหมิง ค้นหาเพลิงแห่งหมิงของตัวเอง ก็คล้ายกับที่ศิษย์ชิงซานของพวกเจ้าไปค้นหากระบี่ของตัวเอง”
“การเอาเพลิงแห่งหมิงใส่เข้าไปในร่างกายก็เป็นส่วนหนึ่งของการฝึกในแม่น้ำหมิงเช่นกัน พวกเราเรียกมันว่าการโอบกอดเปลวเพลิง”
จักรพรรดิแห่งหมิงกล่าวว่า “หลังจากนั้นก็เป็นขั้นตอนที่สำคัญที่สุด นั่นคือจะทำอย่างไรให้เพลิงแห่งหมิงหลอมรวมเข้าไปในลมปราณ แล้วกลายเป็นเพลิงวิญญาณ”
ระหว่างแผ่นดินเฉาเทียนและเผ่าหมิงนั้นมีทางที่เชื่อมต่ออยู่ เช่นนั้นการติดต่อสื่อสารกันย่อมเป็นเรื่องที่มิอาจหลีกเลี่ยงได้
ในช่วงเวลาสองพันปีที่ผ่านมาไม่มีสงครามใหญ่อะไรเกิดขึ้น ความแค้นระหว่างทั้งสองฝ่ายค่อยๆ คลี่คลาย การติดต่อกันอย่างจำเป็นและบังเอิญต่างๆ นาๆ จึงค่อยๆ เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ
ประวัติความเป็นมาและวิธีการฝึกเพลิงวิญญาณก็มิใช่ความลับของเผ่าหมิงอีกต่อไป โดยเฉพาะสำหรับคนอย่างจิ๋งจิ่วด้วยแล้ว
แต่เขาก็ยังฟังอย่างตั้งใจ มิได้พูดแทรกอีกฝ่ายเลยแม้แต่น้อย
จักรพรรดิแห่งหมิงกล่าวว่า “ในเมื่อเจ้ามิได้ต้องการฝึกเพลิงวิญญาณ เช่นนั้นเรื่องเหล่านี้ก็มิได้มีความหมายอะไรกับเจ้า ข้าเล่าให้ฟังนิดหน่อยก็แล้วกัน”
จิ๋งจิ่วกล่าว “ช่วยเล่าให้ละเอียดด้วย”
ในอดีตศิษย์พี่เคยเล่าเรื่องวิธีการฝึกของเผ่าหมิงให้เขาฟัง แต่สุดท้ายมันก็ไม่อาจเทียบกับการที่จักรพรรดิแห่งหมิงมาอธิบายให้ฟังด้วยตัวเองได้ โอกาสแบบนี้มีไม่บ่อยนัก
ในเมื่อจักรพรรดิแห่งหมิงรับปากว่าจะสอนเขาแล้ว อีกฝ่ายย่อมไม่รังเกียจที่จะอธิบายเรื่องสภาวะของเพลิงวิญญาณและวิธีการฝึกอย่างละเอียดให้จิ๋งจิ่วฟัง
จิ๋งจิ่วฟังอย่างตั้งใจ
สรรพสิ่งนับหมื่นนับพันบนโลก เขาสนใจเพียงอย่างเดียว
เขาดูเหมือนเกียจคร้าน แต่ความจริงเขากลับมีความจริงจังในเรื่องการบำเพ็ญเพียรอย่าวมาก
เสียงกระดิ่งอันใสกระจ่างดังขึ้นเป็นระยะ ดังสะท้อนไปมาอยู่ในหุบเขาเขียวขจีพร้อมกับเสียงของจักรพรรดิแห่งหมิง
หญ้ายิ่งเขียว ดอกไม้สีม่วงยิ่งม่วง สายลมยิ่งอ่อนโยน
ช่วงเวลาที่ดีงามเช่นนี้
จะไม่บำเพ็ญเพียรได้อย่างไร