เพลิงวิญญาณของเผ่าหมิงมีเก้าสภาวะ
นอกจากการค้นหาเพลิงที่เป็นสภาวะขั้นแรก โอบกอดเพลิงที่เป็นสภาวะขั้นสอง หลอมเพลิงที่เป็นสภาวะขั้นสามตามที่จักรพรรดิแห่งหมิงได้กล่าวไปก่อนหน้านี้ ต่อไปก็เป็นการเผาผลาญเพลิงที่เป็นสภาวะขั้นที่สี่
เมื่อมาถึงสภาวะขั้นที่ห้าก็จะเป็นเส้นแบ่งเขตที่สำคัญ คล้ายกับสภาวะขั้นมิประจักษ์ของชิงซาน เพราะในเวลานี้เพลิงวิญญาณจะสามารถนำมาใช่ต่อสู้ได้
แล้วก็นับตั้งแต่สภาวะขั้นที่ห้าไป คำว่าเพลิงจะถูกนำมาไว้ด้านหน้า
ขั้นที่ห้าเพลิงแยกจาก
ขั้นที่หกเพลิงเจียระไน
ขั้นที่เจ็ดเพลิงท่องทะยาน
ขั้นที่แปดเพลิงอำพราง
ขั้นที่เก้าเพลิงเดินทาง
……
……
“บัญชาเพลิงวิญญาณมิได้อยู่ในสภาวะทั้งเก้าขั้น แต่ก็มิได้อยู่เหนือสภาวะทั้งเก้าขั้น แล้วก็มิใช่สภาวะขั้นที่สิบ เพราะมันเป็นวิธีการฝึกที่แตกต่างไปอย่างสิ้นเชิง”
จักรพรรดิแห่งหมิงมองจิ๋งจิ่วพลางกล่าว “หลังผ่านสภาวะขั้นที่หกไปแล้ว เจ้าต้องเลือกว่าจะเดินตามการฝึกเพลิงวิญญาณแบบดั้งเดิม หรือว่าเดินไปบนทางแห่งการบัญชาเพลิงวิญญาณ”
จิ๋งจิ่วกล่าวว่า “วิธีดั้งเดิมคล้ายคลึงกับพวกเรา”
จักรพรรดิแห่งหมิงกล่าว “ถูกต้อง ยิ่งไปกว่านั้นยังง่ายกว่าด้วย ส่วนบัญชาเพลิงวิญญาณนั้นค่อนข้างยุ่งยาก เจ้าจำเป็นต้องอดทนต่อความเจ็บปวดอันรุนแรง ต้องฝ่าความเสี่ยงที่สูงยิ่ง ตัดขาดดวงจิตส่วนหนึ่งที่จดจำวิธีลับในการฝึกฝน ใช้วิธีการฝึกเพลิงเจียระไนประทับลงไปในเพลิงวิญญาณที่ออกไปจากร่างกาย ทำให้มันเติบโตขึ้นด้วยตัวเอง”
เมื่อฟังคำพูดเหล่านี้ก็สามารถรู้สึกได้ถึงความเสี่ยงและ….ความกล้าที่แอบซ่อนอยู่ภายใน
จิ๋งจิ่วพลันคิดถึงกุ่ยมู่หลิงในแม่น้ำจั๋วตัวนั้นขึ้นมา
ปีศาจที่เคยเหิมเกริมบุกขึ้นมายังแผ่นดินเฉาเทียน ส่วนใหญ่ล้วนแต่ถูกเผ่าหมิงควบคุมให้ขึ้นมาบนพื้นโลกผ่านทางน้ำวนยักษ์หรือไม่ก็ช่องทางอื่นของหุบเหวลึก
ภายในตานปีศาจของกุ่ยมู่หลิงตัวนั้นมีการประทับวิชาลับของสำนักเสวี่ยหมัวอยู่ ตอนนี้มาคิดดูแล้วน่าจะเป็นวิธีที่คล้ายคลึงกับบัญชาเพลิงวิญญาณ เพียงแต่มีระดับชั้นที่ต่ำกว่ามาก
“ในโลกด้านล่าง บัญชาเพลิงวิญญาณนั้นเป็นสิ่งที่เป็นความลับสุดยอด นอกจากจักรพรรดิแห่งหมิงแล้ว ห้ามมิให้ผู้ใดสัมผัส เพราะวิชานี้อาจจะนำมาซึ่งหายนะที่ยากจะจินตนาการได้…บนเพลิงวิญญาณมีดวงจิตจริงๆ แนบติดอยู่ การที่มันสามารถบำเพ็ญเพียรได้ด้วยตัวเองอาจจะทำให้มันเกิดสติปัญญาขึ้นมาได้ และสุดท้ายก็จะตัดขาดการเชื่อมต่อกับเจ้าของดวงจิต กลายเป็นสิ่งมีชีวิตใหม่ หรือก็คือเพลิงปีศาจ”
จักรพรรดิแห่งหมิงมองเขาพลางกล่าวว่า “ก็เหมือนกับกระบี่เล่มนั้นของพวกเจ้า”
จิ๋งจิ่วฟังอย่างตั้งใจ สีหน้าไม่แปรเปลี่ยนแม้แต่น้อย
จักรพรรดิแห่งหมิงกล่าวว่า “หากวิชาบัญชาเพลิงวิญญาณหลุดรอดออกไป เกรงว่าอาจจะมีเพลิงปีศาจหลายหมื่นดวงปรากฏขึ้นมา ทำลายโลกเบื้องล่าง เมื่อถึงเวลานั้นเกรงว่าเผ่าพันธุ์ข้าคงต้องล่มสลาย”
จิ๋งจิ่วกล่าว “เคยเกิดเรื่องแบบนี้ขึ้นไหม?”
จักรพรรดิแห่งหมิงกล่าวว่า “โชคดีที่ไม่เคยเหตุการณ์เช่นนี้มาก่อน แต่ก็ไม่มีใครกล้าเสี่ยงที่จะลองทำ ดังนั้นวิชานี้จึงอยู่ในมือของตัวจักรพรรดิแห่งหมิงมาโดยตลอด”
จิ๋งจิ่วกล่าว “โปรดวางใจ นอกจากตัวผู้สืบทอดที่ท่านกำหนดเอาไว้แล้ว ข้าไม่มีทางบอกผู้ใด”
จักรพรรดิแห่งหมิงมองดูเขาอย่างเงียบๆ เวลาผ่านไปครู่ใหญ่ เขาทนรอประโยคต่อไปไม่ไหว หลุดหัวร่อออกมา
“เรื่องที่สำคัญเช่นนี้ เจ้าคิดว่าแค่คำพูดประโยคเดียวจะทำให้ข้าเชื่อเจ้าได้หรือ?”
“ไม่อย่างนั้น?”
จักรพรรดิแห่งหมิงถอนใจพลางกล่าว “สาบานแล้วกัน”
จิ๋งจิ่วกล่าว “คำสาบานทำลายได้”
ขอเพียงสภาวะสูงส่งมากพอ ไม่ว่าจะเป็นการพันธนาการหรือว่าการควบคุมดวงจิตก็ล้วนแต่ไร้ประโยชน์
การแก้ปัญหาจะราบรื่นหรือไม่ มันก็ขึ้นอยู่กับความคมของกระบี่
จักรพรรดิแห่งหมิงครุ่นคิด ก่อนกล่าวว่า “อย่างนั้นก็เริ่มกันเถอะ”
เริ่มกันเช่นนี้จริงๆ
จักรพรรดิแห่งหมิงเริ่มอธิบายวิชาบัญชาเพลิงวิญญาณ
จิ๋งจิ่วฟังอย่างเงียบๆ
เมื่อฟังทุกสิ่งทุกอย่างจบ เขาก็หลับตาครุ่นคิดถึงสิ่งที่ได้ฟังมาอย่างเงียบๆ
หลังผ่านไปครึ่งวัน เขาก็ลืมตาตื่นขึ้นมา มีความเข้าใจต่อวิชาบัญชาเพลิงวิญญาณทั้งหมด
จุดที่ยากลำบากที่สุดในการฝึกวิชานี้มีอยู่สองจุด
จุดแรกคือการตัดดวงจิต ในจุดนี้มีความยากอย่างมาก จำเป็นต้องฝึกวิชาลับอีกวิชาหนึ่ง ต่อให้สำเร็จ แต่ในระหว่างที่ฝึกก็ต้องเจ็บปวดอย่างมากเช่นกัน เจ็บปวดเสียยิ่งกว่าถูกเพลิงวิญญาณเผาร่างกายเสียอีก
ความยากจุดที่สองก็คือหลังจากที่ดวงจิตออกจากร่างไปแล้ว และทำการบำเพ็ญเพียรด้วยตัวเองจนสติปัญญาค่อยๆ เกิดขึ้นมา จะทำอย่างไรจึงจะควบคุมให้มันเชื่อมต่อกับเจ้าของดวงจิตได้ตลอด ขั้นตอนนี้มีความอันตรายและใช้เวลายาวนาน เหมือนกับคนธรรมดาที่ค่อยๆ เดินไปบนโซ่เหล็กเส้นหนึ่งที่ยาวหลายสิบลี้เหนือพื้นดินหลายพันจ้าง
แต่จิ๋งจิ่วไม่จำเป็นต้องครุ่นคิดถึงสองปัญหานี้ เพราะสำหรับเขาแล้ว ปัญหาสองข้อนี้ล้วนแต่ไม่มีอยู่
ยังคงเป็นคำพูดประโยคนั้น ไม่ว่าจะเป็นชีวิตก่อนหน้าหรือว่าชีวิตนี้ โชคของเขาก็ล้วนแต่ดีอย่างมาก
แต่ว่าสิ่งที่เขาต้องการฝึกมิใช่เพลิงวิญญาณ หากแต่เป็นผีกระบี่ ทั้งสองอย่างคล้ายกัน แต่สุดท้ายก็ไม่เหมือนกัน
จิ๋งจิ่วต้องการหยิบยืมวิชาบัญชาเพลิงวิญญาณมาเป็นแนวทางในการสร้างวิธีฝึกผีกระบี่ของตน เช่นนั้นเขาย่อมต้องทำการทดสอบหลายครั้งหลายคราว ทำการปรับปรุงจากผลลัพธ์ที่ออกมา สุดท้ายหาวิถีที่เป็นของตัวเองให้เจอ
สิ่งสำคัญในการหยิบยืมวิชาอื่นมาเป็นแนวทางก็คือการเข้าใจอย่างถ่องแท้ ซึ่งในการบำเพ็ญเพียรของเผ่าหมิงนั้นมีอยู่หลายส่วนที่เป็นสิ่งแปลกใหม่สำหรับเขา เป็นสิ่งที่เขาไม่เคยได้สัมผัสมาก่อน
จักรพรรดิแห่งหมิงอยู่ตรงหน้า เขาย่อมต้องไม่เกรงใจ เมื่อมีตรงไหนที่ไม่เข้าใจหรือไม่แน่ใจ เขาก็จะถามคำถามออกไป
ในเมื่อจักรพรรดิแห่งหมิงรับปากที่จะสอนแล้ว เขาก็ย่อมไม่มีทางที่จะปิดบัง ทยอยตอบคำถามจิ๋งจิ่วทีละข้อ
เมื่อการถามตอบดำเนินไปเรื่อยๆ จักรพรรดิแห่งหมิงก็ค่อยๆ มั่นใจแล้วว่าแนวคิดของจิ๋งจิ่วนั้นสามารถทำได้จริง ในขณะที่ตกตะลึงก็แอบรู้สึกตื่นเต้นขึ้นมาด้วย
สร้างวิถีเส้นใหม่ สำหรับผู้บำเพ็ญพรตทุกคนแล้ว นี่คือความเย้ายวนที่ไม่อาจต้านทานได้ ไม่เว้นแม้กระทั่งเขา
ในช่วงเวลาหกร้อยปีที่ถูกขังอยู่ในคุกสะกดมาร สิ่งที่ทุกข์ทรมานที่สุดนั้นมิใช่ความอ้างว้างโดดเดี่ยว หากแต่เป็นเบื่อหน่ายจากการที่ไม่มีอะไรทำ
จักรพรรดิแห่งหมิงตอบคำถามจริงจังขึ้นเรื่อยๆ ตอบอย่างระมัดระวังขึ้นเรื่อยๆ จนสุดท้ายเขาถึงขนาดเริ่มให้คำแนะนำของตัวเองแก่จิ๋งจิ่ว ตรงจุดไหนควรจะทำอย่างไร
จิ๋งจิ่วได้ฟังคำแนะนำของเขาก็รู้สึกว่าเขามีดวงตาที่เฉียบคม จึงนำเอาความคิดของตนอีกหลายอย่างมาให้เขาวิจารณ์
หลังจักรพรรดิแห่งหมิงฟังอย่างตั้งใจก็ให้ความเห็นของตนไปอีกครั้ง จิ๋งจิ่วรู้สึกว่าบางอย่างถูกต้อง แต่บางอันกลับไม่ค่อยเหมาะสม จึงส่ายศีรษะไม่กล่าวกระไร จักรพรรดิแห่งหมิงวิเคราะห์ความคิดของตนอย่างละเอียด จิ๋งจิ่วชี้แนะช่องโหว่ของเขา หลังจักรพรรดิแห่งหมิงครุ่นคิดอย่างเงียบๆ อยู่ครู่ก็ทำการปรับเปลี่ยนความคิดของตัวเองก่อนหน้านี้เล็กน้อย จิ๋งจิ่วครุ่นคิดอยู่ครู่ ก็บอกความคิดของตนเองออกไป….
การสนทนาดำเนินไปแบบนี้เรื่อยๆ เพียงแต่เมื่อการสนทนายิ่งลึกซึ้งขึ้น คำพูดของทั้งสองคนก็ยิ่งน้อยลง ส่วนใหญ่แล้วมักจะจมอยู่ในความคิดอย่างเงียบๆ
บางครั้งจิ๋งจิ่วจะมองไปทางจักรพรรดิแห่งหมิงที่อยู่ตรงหน้า คล้ายกำลังคิดอะไรอยู่
เขาบำเพ็ญเพียรอย่างเงียบๆ อยู่ในชิงซานมาเป็นเวลานาน น้อยครั้งนักที่จะมีการแลกเปลี่ยนความรู้กับผู้บำเพ็ญพรตคนอื่น แต่เขาก็เคยสนทนาธรรมกับฉานจึบนยอดเขาเสินม่อเป็นเวลาร้อยวัน แล้วก็เคยชมหนอนตัวไหมกับเหลียนซานเยวี่ยเป็นเวลาสิบคืน ส่วนในการสนทนากับศิษย์พี่เมื่อสมัยยังหนุ่ม ส่วนใหญ่มักจะเป็นศิษย์พี่ที่สั่งสอนอยู่เพียงฝ่ายเดียว วันนี้ดูแล้ว จักรพรรดิแห่งหมิงนั้นมิได้ด้อยไปกว่าทั้งสามคนเลย ในบางด้านเรียกได้ว่าเหนือกว่าเสียด้วยซ้ำ
บางครั้ง จักรพรรดิแห่งหมิงจะมองไปทางจิ๋งจิ่วที่อยู่ตรงหน้า สายตาเย็นยะเยือกเล็กน้อย
ศิษย์ชิงซานผู้นี้อายุยังน้อย เหตุใดกลับมีความรู้และสติปัญญาที่ลึกซึ้งถึงเพียงนี้ เหมือนจะเหนือกว่านักพรตไท่ผิงเมื่อในอดีตด้วยซ้ำ นี่คือหลักเหตุผลที่สีเขียวนั้นเกิดมาจากสีน้ำเงิน[1]หรือ? หากมนุษย์บนโลกล้วนเป็นคนแบบนี้ เช่นนั้นเผ่าหมิงยังจะมีหวังอะไรอีก?
ก้อนเมฆที่เหมือนขนมไหมฟ้าลอยอยู่ด้านบน หยาดฝนเล็กๆ เหมือนหยดน้ำที่หยดลงมาจากกิ่งหลิวที่ยกตัวขึ้นมาจากผิวน้ำ
กระดิ่งที่อยู่ในเมฆส่งเสียงดังเป็นระยะ ทำให้เกิดสายฟ้าที่ดูน่ารัก
จิ๋งจิ่วและจักรพรรดิแห่งหมิงนั่งอยู่ด้านล่าง นิ่งเงียบไม่กล่าวกระไร
แต่ภายในเมฆกลับคล้ายมีเงาสองร่างกำลังถกเถียงกันอย่างดุเดือด
เกิดเป็นสายฟ้าฟาดออกมาครั้งแล้วครั้งเล่าในประวัติศาสตร์ของโลกแห่งการบำเพ็ญพรต
……
……
ความจริงฤดูใบไม้ผลิไม่เหมาะแก่การเรียนหนังสือบำเพ็ญเพียร
ยกเว้นคนแปลกประหลาดอย่างจิ๋งจิ่ว
เพราะฤดูใบไม้ผลิงดงาม เหมาะแก่การนอนอย่างมาก
ความรู้สึกอยากนอนในฤดูใบไม้ผลิเป็นสิ่งที่หลายๆ คนไม่อาจต้านทานได้
ลู่กั๋วกงนั่งอยู่ในวัดไท่ฉาง รู้สึกง่วงนอนเป็นอย่างมาก ถ้วยชาที่ถืออยู่ในมือเกือบจะตกลงมาอยู่หลายครั้ง
ทันใดนั้นพลันมีเจ้าหน้าที่เข้ามารายงาน บอกว่าผู้ดูแลที่เรือนกั๋วกงมาแจ้งว่าที่เรือนเกิดเรื่องด่วนขึ้น
ลู่กั๋วกงยังคงปิดตา กล่าวถามว่า “เรื่องด่วนอะไร?”
เจ้าหน้าที่คนนั้นลังเลเล็กน้อย เขายังคงรายงานด้วยท่าทีเหมือนเดิมว่า “ผู้ดูแลบอกว่า…ชามแตกแล้วขอรับ”
ลู่กั๋วกงลืมตาตื่นขึ้นมาทันที
…………………………………………………………
[1] สีเขียวนั้นเกิดมาจากสีน้ำเงิน หมายถึง ศิษย์เหนือกว่าผู้เป็นอาจารย์