ภาคที่ 4 ตอนที่ 42 ฟังเสียงชาม เล่นกับแมว ประกาศอย่างเป็นทางการ

มรรคาสู่สวรรค์

ช่วงเวลาที่ประเดี๋ยวหนาวประเดี๋ยวร้อนผ่านไป เข้าสู่ช่วงกลางฤดูใบไม้ผลิ เหมาะแก่การพักผ่อนพอดี

ในช่วงเวลานี้ อย่าว่าแต่ในจวนของทางราชการหรือโรงเรียนเลย กระทั่งโรงมหรสพต่างๆ ก็เงียบเหงาลงไปกว่าเดิม

ไม่รู้เพราะเหตุใด ลู่กั๋วกงที่ขึ้นชื่อเรื่องไม่ค่อยสนใจงานราชการ จู่ๆ ถึงได้ขยันขันแข็งขึ้นมา แม้นเขาจะยังไม่ได้ทำอะไรเป็นชิ้นเป็นอัน เพียงแค่นั่งอยู่บนเก้าอี้จิบชา แต่การที่เขาไม่ได้ล่าป่วยมาเป็นเวลาหลายสิบวันติดต่อกัน เหล่าขุนนางในราชสำนักและลูกน้องในวัดไท่ฉางต่างก็รู้สึกตกใจและประหลาดใจเป็นอย่างมากแล้ว

ในเวลานี้เมื่อเห็นเขาเดินออกไปนอกจวนในเวลากลางวัน เหล่าเจ้าหน้าที่ของวัดไท่ฉางถึงได้รู้สึกว่าทุกอย่างได้กลับมาเป็นปกติแล้ว

ลู่กั๋วกงโบกมือให้เหล่าเจ้าหน้าที่ที่มารอส่งแยกย้ายกันไปทำงาน จากนั้นจึงมองดูจิ๋งซางที่ยืนอยู่นอกกลุ่มคน ครุ่นคิดเล็กน้อย สุดท้ายก็ไม่ได้ให้เขาเข้ามาพูดคุยด้วย

หลังขึ้นไปบนรถเขาก็หยิบเอาหินผลึกออกมาจากในลิ้นชักก้อนหนึ่ง จากนั้นถือมันเอาไว้ในมือเพื่อฟื้นฟูสมาธิให้กลับมา ขณะเดียวกันก็สงบสติอารมณ์แล้วกล่าวถามไปว่า “แน่ใจว่าแตกแล้ว?”

ในเวลานี้ผู้ดูแลของเรือนกั๋วกงยืนอยู่นอกรถ เช่นนั้นก็ย่อมมิใช่คนที่เขาถามคำถาม

คนที่ลู่กั๋วกงถามคือชายตาบอดคนหนึ่งที่นั่งอยู่ในรถ

ชายตาบอดผู้นั้นมีผมสีขาว แต่งกายเรียบง่าย อายุมากแล้ว แต่กลับยังกระฉับกระเฉง

ชายชราเป็นนายทหารคนสนิทของลู่กั๋วกงในตอนที่เขาอยู่ในกองทัพทางเหนือเมื่อในอดีต หลังได้รับบาดเจ็บก็ถูกกั๋วกงรับเข้ามาอยู่ในเรือน รับผิดชอบหน้าที่ที่น่าเบื่อแต่กลับสำคัญเป็นอย่างยิ่ง

“ข้าน้อยได้ยินชัดเจน ชามที่แตกคือชามลายครามขอรับ”

ลู่กั๋วกงย่อมไม่มีทางปล่อยให้มีคนอยู่ในห้องนั้นเป็นเวลานาน แต่เขาก็ต้องเตรียมพร้อมเอาไว้ตลอดเวลา ชายชราที่ตาบอดผู้นี้จึงกลายเป็นตัวเลือกที่ดีที่สุด

ภายในเรือนกั๋วกง หน้าที่เปลือกนอกของชายชราผู้นี้คือการเลี้ยงไก่ เขาพักอาศัยอยู่ใกล้เรือนด้านใน ใครจะไปรู้บ้างว่าหน้าที่จริงๆ ของเขาคือการฟังเสียงชามแตก

……

……

ลู่กั๋วกงเข้าไปยังเรือนตระกูลจิ๋งผ่านทางอุโมงค์ใต้ดิน เมื่อเงยหน้าขึ้นไปก็มองเห็นกู้ชิงที่อยู่ในสภาพเหน็ดเหนื่อย

เป็นถึงผู้ฝึกกระบี่ แต่กลับดูเหนื่อยล้าอิดโรย เห็นได้ชัดว่าเขารีบรุดมาที่นี่อย่างเร่งร้อน

ทว่าลู่กั๋วกงกลับกล่าวอย่างไม่ค่อยพอใจ “นี่มันกี่วันเข้าไปแล้ว?”

เห็นได้ชัดว่าเขากำลังต่อว่ากู้ชิงว่ามาช้าเกินไป

กู้ชิงเองก็จนปัญญา เขาไม่เหมือนเจ้าล่าเยวี่ยกับจิ๋งจิ๋ว หากเขาอยากจะออกจากชิงซานก็จำเป็นต้องขออนุญาต จากนั้นก็รอทางสำนักอนุญาต

ถึงแม้ชิงซานจะไม่ค่อยเข้มงวดกับเรื่องแบบนี้ และเขาเองก็สามารถแอบออกมาจากสำนักเหมือนอย่างต้วนเหลียนเถียนแห่งยอดเขาซั่งเต๋อหรือกั้วหนานซานแห่งยอดเขาเหลี่ยงว่างได้ แต่เป้าหมายของการเดินทางครั้งนี้ของเขาคือเมืองเจาเกอ จิ๋งจิ่วได้มีการเกริ่นเป็นนัยๆ แล้วว่าการเดินทางครั้งนี้ เขาอาจจะต้องอยู่ในวังหลวง แล้วเช่นนี้เขาจะปิดบังคนอื่นๆ ได้อย่างไร?

ถึงยอดเขาเสินม่อจะโดดเดี่ยวแค่ไหน แต่เรื่องแบบนี้อย่างไรก็ต้องรายงานเสียหน่อย มิเช่นนั้นมันจะดูเป็นการไม่เคารพยอดเขาอื่นๆ เกินไป

แต่สิ่งที่คิดไม่ถึงก็คืออาจารย์ของยอดเขาอื่นๆ ที่ในอดีตไม่สนใจเรื่องแบบนี้ ครั้งนี้กลับพิจารณาอย่างจริงจังเป็นอย่างมาก พวกเขาถกเถียงกันอย่างดุเดือดว่าจะให้กู้ชิงไปยังเมืองเจาเกอหรือไม่ จนกระทั่งในคืนหนึ่งที่เจ้าล่าเยวี่ยออกมาจาการเก็บตัวเพื่อพักผ่อน เมื่อได้ยินเรื่องนี้เข้า นางจึงวานหยวนฉวี่จัดการให้หน่อย พอวันที่สองกู้ชิงจึงได้รับอนุญาตให้เดินทางออกจากสำนักได้

กว่าจะออกมาได้ก็ผ่านไปหลายวันแล้ว กระทั่งเขามาถึงเมืองเจาเกอ ที่นี่ก็มีฝนฤดูใบไม้ผลิตกลงมาหลายครั้งแล้ว

กู้ชิงอธิบายเหตุผล ก่อนจะถามลู่กั๋วกงถึงเป้าหมายที่แท้จริงในการเดินทางครั้งนี้ของตน

จิ๋งจิ่วเกริ่นเอาไว้เล็กน้อยในจดหมาย เขาคาดเดาได้บางส่วน เพียงแต่ยังไม่มั่นใจ

หลังได้ยินลู่กั๋วกงอธิบาย กู้ชิงครุ่นคิดอยู่ครู่ก่อนกล่าวถามว่า “คืนนี้เข้าวังได้ไหมขอรับ?”

เขารับรู้ได้ถึงความกังวลและความร้อนใจของลู่กั๋วกง

เวลานี้ดวงอาทิตย์คล้อยไปทางตะวันตกแล้ว กลีบดอกไห่ถังที่อยู่ในสวนร่วงโรย ถูกแสงอาทิตย์ยามเย็นส่องประกายจนดูคล้ายสะเก็ดไฟจำนวนนับไม่ถ้วน

ลู่กั๋วกงครุ่นคิดก่อนกล่าวว่า “เจ้าไปพักผ่อนก่อน คืนนี้ยังไม่รีบ”

เขาค่อนข้างเป็นกังวลจริงอย่างที่กู้ชิงคาดเดา เพราะการถกเถียงกันของสำนักชิงซาน แสดงให้เห็นว่าภายในสำนักชิงซานมีความเห็นไม่ตรงกันเกี่ยวกับเรื่องที่ยอดเขาเสินม่ออยากจะทำ

ถ้าสุดท้ายสำนักชิงซานเลือกที่จะไม่สนใจเรื่องนี้ เช่นนั้นแผนการของจิ๋งจิ่วจะสำเร็จได้อย่างไร?

ส่วนเรื่องที่ว่าในเวลานี้จิ๋งจิ่วกำลังทำอะไรอยู่ในคุกสะกดมาร มีอันตรายอะไรหรือไม่ ลู่กั๋วกงกระทั่งคิดก็ไม่กล้าคิด

ในวันที่สองหลังจากจิ๋งจิ่วเข้าไปในคุกสะกดมาร ลู่กั๋วกงได้หาวิธีตรวจสอบจนแน่ใจว่าเขาได้หนีออกไปจากห้องขังแล้ว เช่นนั้นตอนนี้เขาอยู่ที่ไหน?

……

……

แสงดาวลอดผ่านเข้ามาทางหน้าต่าง

กู้ชิงขัดสมาธิอยู่บนพื้น หลับตาทำสมาธิ แต่ในใจประเดี๋ยวก็คิดถึงความปลอดภัยของอาจารย์ ประเดี๋ยวก็คิดถึงเรื่องที่จะเข้าไปในวังวันพรุ่งนี้ ใจแห่งเต๋ายากจะสงบ

เขาลุกขึ้นยืน เดินมาหน้าโต๊ะ มองดูกระดานหมากล้อมที่เลื่องชื่อกระดานนั้น แต่กลับพบว่าตัวเองดูอย่างไรก็ไม่เข้าใจ จึงได้แต่เดินมาริมหน้าต่าง มองดูท้องฟ้ายามค่ำคืน

ภายในท้องฟ้ายามค่ำคืนมีเสียงแมวร้องดังขึ้นมา ไม่รู้ว่าดังมาจากไหน

เสียงแมวร้องมิได้ดังนัก แล้วก็มิได้ฟังดูแย่ น่าจะมิใช่กำลังติดสัด

แมวขาวตัวหนึ่งปรากฏอยู่บนขอบหน้าต่างราวกับผีตัวหนึ่ง

กู้ชิงตกใจเล็กน้อย ก่อนจะรีบทำการคารวะ “คารวะท่านไป๋กุ่ย”

อาต้ามิได้ติดตามจิ๋งจิ่วไป เรื่องนี้ค่อนข้างเหนือความคาดหมายของเขา แล้วก็ทำให้เขายิ่งรู้สึกกังวลใจ

แมวขาวเงยหน้าขึ้นมามองเขาอย่างเย็นชาและหยิ่งผยอง เหมือนกำลังจะบอกว่ามีตนเองเฝ้าอยู่ จะกลัวอะไร?

มันไหนเลยจะรู้ว่ากู้ชิงไม่รู้ว่าจิ๋งจิ่วไปทำอะไร แล้วก็เป็นเพราะว่าครั้งนี้จิ๋งจิ่วพามันออกเดินทางมาด้วย เขาถึงได้รู้สึกไม่ค่อยสบายใจ

กู้ชิงมองดูแมวขาวเดินจากไป

อยู่ด้วยกันบนยอดเขาเสินม่อมาเป็นเวลานาน เขาย่อมมิได้หวาดกลัวแมวขาวตัวนี้เหมือนอย่างในตอนแรก แต่มารยาทที่ยังควรมีก็มีอยู่ครบ

แมวขาวหายไปยังสวนด้านหลังเรือนตระกูลจิ๋ง เขาเตรียมหมุนตัวกลับ แต่กลับพบหลานของอาจารย์ผู้นั้นแอบย่องมายังด้านล่างกำแพงเรือน จึงอดสงสัยขึ้นมาไม่ได้

เด็กชายผู้นั้นชื่อจิ๋งหลี

บางทีกระทั่งตัวจิ๋งจิ่วก็ยังไม่รู้ด้วยซ้ำว่าหลานผู้นั้นชื่ออะไร แต่กู้ชิงรู้ เพราะเขาต้องช่วยอาจารย์จัดการทุกเรื่องให้เรียบร้อย ไม่เว้นแม้กระทั่งญาติในโลกปุถุชน

เขาครุ่นคิด ก่อนจะเดินตามไป

เมื่อมาถึงสวนด้านหลังเรือนและมองเห็นภาพตรงหน้า เขาก็รู้สึกตกใจเล็กน้อย

จิ๋งหลีกำลังหาอะไรบางอย่างอยู่ในสวน พลางส่งเสียงเรียกเบาๆ ว่า “มีมี มีมี เจ้าอยู่ที่ไหน?”

แมวขาวตัวหนึ่งค่อยๆ เดินออกมาจากกองฟาง มองดูเขาด้วยสีหน้ารังเกียจ

แมวขาวตัวนี้ย่อมต้องเป็นแมวขาวตัวนั้น

จิ๋งหลีมองเห็นมันปรากฏตัว จึงกระโดดขึ้นมาอย่างดีใจพลางกล่าวว่า “ข้านึกว่าเจ้าไปแล้วเสียอีก”

แมวขาวส่งเสียงร้องเมี้ยวแบบขอไปที เพื่อบอกว่าตอนนี้ข้ายังไม่ไปไหนหรอก

จิ๋งหลีเดินเข้าไป ก่อนจะยื่นมือไปลูบหัวแมวขาวอย่างระมัดระวัง พลางกล่าวว่า “พวกเรามาเล่นกันเถอะ..”

เมื่อได้ยินประโยคนี้ ดวงตาของแมวขาวพลันเปล่งประกาย มันยื่นอุ้งเท้าขวาไปเขี่ยไพ่กระดูก[1] ชุดหนึ่งออกมาจากกองฟาง เอามากองไว้ตรงหน้าจิ๋งหลี

ทันใดนั้นมันพลันคิดถึงอะไรบางอย่างขึ้นมา จึงหมุนตัวมองไปทางมุมมืดมุมหนึ่งของสวนด้านหลัง สายตาเฉียบคมราวกระบี่

กู้ชิงตกใจ จากนั้นพลันได้สติขึ้นมา จึงรีบมองไปบนท้องฟ้าเพื่อบอกว่าตนเองมองไม่เห็นอะไรทั้งนั้น จากนั้นสงบสติอารมณ์แล้วเดินจากไปอย่างเงียบๆ

……

……

เช้าวันที่สอง กู้ชิงตามลู่กั๋วกงเข้าไปในวัง

เจตนาของจิ๋งจิ่วชัดเจน พวกเขาย่อมไม่ต้องปิดบังคนอื่น ถึงขนาดจงใจไปปรากฏตัวต่อหน้าเหล่าขุนนางก่อนที่จะทำการประชุม

ขุนนางและกั๋วกงทุกคนต่างเห็นลู่กั๋วกงและกู้ชิง

ข่าวอาจารย์เซียนจากชิงซานเข้ามาในวังแพร่กระจายไปทั่วทั้งเมืองเจาเกออย่างรวดเร็ว

จากนั้นก็มีข่าวใหม่แพร่กระจายออกมาว่าอาจารย์เซียนผู้นั้นจะมาเป็นอาจารย์ให้องค์ชายคนที่สอง

สถานะและประวัติความเป็นมาของกู้ชิงถูกสืบจนกระจ่างชัดอย่างรวดเร็ว

บางคนรู้สึกว่าไม่เหมาะสม เพราะกู้ชิงเป็นแค่ศิษย์รุ่นที่สามของชิงซาน คล้ายยังไม่อาวุโสพอที่จะมาเป็นอาจารย์ให้องค์ชาย แต่บางคนกลับรู้สึกเหมาะเป็นอย่างมาก เพราะถึงอย่างไรเขาก็เป็นผู้สืบทอดในสายสืบทอดของนักพรตจิ่งหยาง แต่ก็มีหลายคนที่กังวลใจว่าสำนักชิงซานที่ไม่เคยสนใจเรื่องราวในราชวงศ์…กำลังคิดทำอะไร?

……………………………………………………………………………………

[1]ไพ่กระดูก คือไพ่โดมิโน่ เนื่องจากในสมัยโบราณทำมาจากกระดูก