ภาคที่ 4 ตอนที่ 43 ใครจะรู้ดีไปกว่าอาจารย์

มรรคาสู่สวรรค์

กู้ชิงเข้าไปในวัง รีบไปเข้าเฝ้าฮ่องเต้ก่อนที่จะทำการประชุมราชการ แต่ก็ทำได้เพียงแค่ถวายบังคมอยู่ในตำหนัก และสนทนากับฮ่องเต้เพียงไม่กี่ประโยค กระทั่งพระพักตร์ของฮ่องเต้ก็มองไม่ชัด

จากนั้นลู่กั๋วกงก็พาเขาไปยังตำหนักของพระสนม

พระสนมหูมองดูรอยยิ้มบนใบหน้ากู้ชิง พลางคิดถึงคำพูดเสียดสีที่อีกฝ่ายกล่าวในคืนนั้นเมื่อหลายปีก่อน สีหน้าดูไม่ค่อยเป็นธรรมชาติ ในใจรู้สึกว่ารอยยิ้มนี้ช่างน่ารังเกียจยิ่งนัก

กู้ชิงย่อมไม่รู้ว่านางกำลังคิดอะไรอยู่ เขายังคงยิ้มอยู่ จากนั้นกล่าวทักทายนางหลายประโยค

ในตอนที่ทั้งสองคนคุยกัน เด็กชายที่ผิวพรรณขาวผ่องดูน่ารักน่าชังคนหนึ่งถูกนางกำนัลอาวุโสจูงเข้ามา นั่นคือองค์ชายสองจิ่งเหยา

ในร่างกายของจิ่งเหยามีสายเลือดของฝ่าบาทเสินหวงไหลเวียนอยู่ แล้วก็มีสายเลือดของเผ่าพันธุ์ปีศาจจิ้งจอก เช่นนั้นเขาย่อมต้องเฉลียวฉลาดเป็นอย่างมาก

ตอนนี้เขาเพิ่งจะอายุสามขวบ แต่กลับช่างสังเกตกว่าผู้ใหญ่หลายๆ คน ที่ร้ายกาจมากกว่านั้นก็คือเหมือนเขาจะมีสัญชาตญาณในการรับรู้อารมณ์ของผู้อื่นด้วย

ในคืนหนึ่งเมื่อหลายวันก่อน เขารับรู้ได้ว่ามารดาที่ไม่เคยหวาดกลัวต่อสิ่งใดกลับมีความเคารพยำเกรงต่ออาจารย์เซียนแห่งชิงซานที่ชื่อจิ๋งจิ่วผู้นั้นมาก ดังนั้นเขาจึงแสดงท่าทีฉลาดเฉลียวน่ารักออกมา แต่เมื่อได้ยินว่าอาจารย์เซียนที่ชื่อกู้ชิงผู้นี้จะมาเป็นอาจารย์ของตน เขาจึงเกิดความรู้สึกต่อต้านเล็กน้อย อีกทั้งรับรู้ได้อย่างชัดเจนว่ามารดาไม่ค่อยชอบคนผู้นี้เท่าไร ท่าทีที่เขาแสดงออกมาจึงไม่เหมือนกัน

จิ่งเหยายืนอยู่ที่เดิม เบิ่งตาโตมองกู้ชิง ดูค่อนข้างอยากรู้อยากเห็น แต่กลับไม่มีทีท่าว่าจะทำการคารวะ

กู้ชิงมองเขาอย่างเงียบๆ ไม่มีทีท่าว่าจะคารวะเช่นกัน

นางกำนัลอาวุโสผู้นั้นมองดูภาพเหตุการณ์นี้ รู้สึกไม่ค่อยสบอารมณ์ ในใจครุ่นคิดว่าต่อให้เจ้าเป็นอาจารย์เซียนของชิงซาน และกำลังจะกลายเป็นอาจารย์ขององค์ชาย แต่เจ้าก็ต้องทำความเคารพองค์ชายก่อน

หรือแค่หลักการเทียนตี้จวินชินซือ[1]เจ้าก็ยังไม่เข้าใจ?

พระสนมหูงุนงงอยู่ครู่ก่อนจะเข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้น ในขณะที่เตรียมจะพูดอะไร ลู่กั๋วกงกลับใช้สายตาห้ามนางเอาไว้

เวลาเดินไปอย่างช้าๆ

พระอาทิตย์เคลื่อนตัวจากทางตะวันออกไปอยู่กึ่งกลางท้องฟ้า ดอกไม้ภายนอกตำหนักค่อยๆ ถูกแสงอาทิตย์แผดเผาจนดูไม่มีชีวิตชีวา

กู้ชิงยังคงยืนอยู่อย่างเงียบๆ เหมือนสายลมในฤดูใบไม้ผลิที่ไม่เร่งร้อน แล้วก็ไม่รู้สึกโกรธ

องค์ชายจิ่งเหยายังเป็นเพียงเด็กน้อยคนหนึ่ง เขายืนอยู่ได้ไม่นานก็รู้สึกใกล้จะยืนไม่ไหวแล้ว มิอาจรักษาสีหน้าที่ดูน่ารักเอาไว้ได้อีก

ใบหน้าเล็กๆ ของเขาแดงเรื่อขึ้นมาเล็กน้อย ร่างกายส่ายโงนเงนนิดหน่อย แต่กลับยังคงดื้อดึงไม่ยอมเอ่ยปากออกมา

นางกำนัลอาวุโสมองดูภาพเหตุการณ์ตรงหน้า ในใจรู้สึกเจ็บปวด ครุ่นคิดว่าเจ้าเป็นผู้ใหญ่ อีกทั้งยังเป็นถึงอาจารย์เซียน แต่กลับมารังแกเด็กเล็กๆ คนหนึ่ง

สายลมลอยเข้ามาทางหน้าต่าง ตกกระทบลงบนร่างกายขององค์ชายน้อย ขาทั้งสองข้างขององค์ชายน้อยอ่อนเปลี้ย เกือบจะทรุดลงไปนั่งกับพื้น

นางกำนัลอาวุโสผู้นั้นรีบเข้ามาพยุงเอาไว้ สีหน้าตกใจ ก่อนจะเหลียวหน้ากลับไปต่อว่ากู้ชิงอย่างโมโห “อาจารย์เซียนท่านนี้พอได้แล้วหรือเปล่า! รังแกเด็กเช่นนี้มีประโยชน์อะไร!”

เมื่อเห็นภาพเหตุการณ์นี้และได้ยินคำพูดนี้ พระสนมหูกลับรู้สึกโล่งใจขึ้นมา นางกล่าวตะคอกว่า “นังไพร่ปากมาก กล้าดีอย่างไรถึงเสียมารยาทต่อท่านอาจารย์เซียน ลากมันไปตบปาก!”

นางกำนัลเข้ามาหามนางกำนัลอาวุโสผู้นั้นออกไป ส่วนองค์ชายจิ่งเหยาก็ถูกพระสนมหูดึงไปกอดเอาไว้ในอ้อมอก

ทุกอย่างเกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว กู้ชิงไม่ทันได้แสดงท่าทีใดๆ

ต้องยอมรับเลยว่าการตอบสนองของพระสนมหูนั้นรวดเร็วยิ่งนัก ฉวยโอกาสใช้ความผิดของนางกำนัลอาวุโสเป็นบันไดให้ตัวเองกระโดดขึ้นไป ทั้งอ่อนช้อยและงดงาม

ลู่กั๋วกงมองนางด้วยสายตาชื่นชม ครุ่นคิดในใจว่าเด็กสาวที่ในอดีตไม่รู้เรื่องรู้ราวเลยคนนั้น ในที่สุดก็เติบโตขึ้นแล้ว

จิ่งเหยาซบอยู่ในอ้อมอกมารดา รู้สึกคับข้องใจเป็นยิ่งนัก ไม่ยอมเงยหน้าขึ้นมา

พระสนมหูเชยคางเขาขึ้นมา จ้องมองดวงตาเขาพลางกล่าวว่า “รู้ว่าตัวเองผิดหรือยัง?”

จิ่งเหยาไม่รู้ว่าตัวเองทำผิดตรงไหน แต่เมื่อดูจากสีหน้าของมารดาก็รู้ว่าตัวเองผิดไปแล้ว

เขายืนขึ้นมาอย่างลังเล หมุนตัวไปทางกู้ชิง ก่อนจะกล่าวคารวะด้วยน้ำเสียงเหมือนจะร่ำไห้ “คารวะ…ท่านอาจารย์”

กู้ชิงรับคำคารวะเอาไว้ จากนั้นคารวะกลับไป “ถวายบังคมองค์ชายพ่ะย่ะค่ะ”

……

……

ภายในห้องภาวนาไป๋ซานของอารามหลี่ว์ถังในวัดกั่วเฉิง อินซานกำลังอ่านคัมภีร์ธรรมะ ปรมาจารย์สำนักเสวียนอินก็กำลังอ่านเช่นกัน

หากเอาคนชั่วในประวัติศาสตร์พันปีของแผ่นดินเฉาเทียนมาจัดอันดับ พวกเขาจะต้องอยู่ในสิบอันดับแรกอย่างแน่นอน แต่การที่พวกเขากำลังอ่านคัมภีร์ธรรมะอยู่ข้างแสงเทียนและพระพุทธรูปโบราณนั้นมิใช่ว่าพวกเขากำลังไถ่บาปของตัวเองอยู่ ไม่ว่าจะเป็นธรรมะหรืออธรรม เมื่อเดินไปถึงจุดที่ไกลที่สุดก็มักจะมีจุดที่เชื่อมโยงถึงกันอยู่ มารจากพรรคมารอ่านคัมภีร์ธรรมะ ก็จะช่วยในการบำเพ็ญเพียรของตัวเองได้เช่นกัน

ด้านนอกห้องภาวนามีเสียงระฆังทำวัตรเช้าดังขึ้น อินซานวางม้วนคัมภีร์ที่อยู่ในมือลง ค่อยๆ เดินออกไปด้านนอกห้องภาวนา ผ่านทางเดินแคบๆ ที่อยู่ด้านล่างเงาต้นสน มุ่งหน้าออกไปยังด้านนอกวัด

บริเวณรอบๆ อารามหลี่ว์ถังเงียบสงบ หากเขาระวังนิดหน่อย ทั่วทั้งวัดก็ล้วนแต่เป็นสถานที่ปลอดภัย

เขามั่นใจว่าคลื่นลมที่เกิดขึ้นจากการที่ไส้ตะเกียงบิดงอในตอนที่เขาอธิบายคัมภีร์ให้หลิ่วสือซุ่ยฟังได้สงบนิ่งลงไปแล้ว ไม่มีใครรู้ว่าเขาและปรมาจารย์สำนักเสวียนอินยังอยู่ในวัดกั่วเฉิง

ด้านนอกป่าสนคือป่าเจดีย์ แสงสว่างค่อยๆ มืดลง กระทั่งทะลุผ่านโบสถ์ เดินผ่านทางเดินแคบๆ ออกมายังด้านนอกวัด แสงสว่างจึงกลับมาส่องแสงอีกครั้ง

ทุกที่ล้วนเต็มไปด้วยทิวทัศน์ในฤดูใบไม้ผลิ ยกเว้นก็แต่ในวัด เพื่อที่จะได้ไม่รบกวนการบำเพ็ญเพียรของเหล่าสมณะ

อินซานเดินผ่านทางขึ้นเขาที่คุ้นเคยเส้นนั้นออกมาจากประตูด้านข้างของลานด้านหน้า มาถึงบนหน้าผาแห่งหนึ่งที่อยู่เหนือสวนผัก ก่อนจะหยุดมองลงไปเบื้องล่าง

ทิวทัศน์ในเวลานี้ไม่เหมือนกับทิวทัศน์ในฤดูหนาวที่เต็มไปด้วยสีขาวและสีดำ สวนผักในช่วงฤดูใบไม้ผลินั้นเป็นสีเขียวเหมือนสวนต้นหอม มีทั้งแตงมีทั้งผักมีทั้งผลไม้ มองแล้วทำให้คนมีความสุข

เห็นได้ชัดว่าพื้นดินในสวนผักและสวนผลไม้ถูกนำมาใช้ปลูกซ้ำหลายครั้งแล้ว ส่วนพวกวัชพืชก็ถูกถอนจนเกลี้ยง ไม่มีหลงเหลือแม้แต่นิดเดียว

ถ้าเข้าไปมองดูในระยะใกล้ ก็จะแทบจะมองไม่เห็นหนอนที่เป็นศัตรูพืชอยู่บนใบผักหรือบนผลไม้เลย

“ใช้กระบี่บินบุกเบิกที่นาขึ้นมาใหม่นั้นน่าสนใจอยู่เหมือนกัน แต่ไม่คิดหรือว่าการใช้กระบี่บินไปถางหญ้ามันยุ่งยากเกินไป? แล้วการใช้กระบี่บินไปฆ่าหนอนนี่ก็ยิ่ง….”

อินซานมองดูรายละเอียดเหล่านั้นในสวนผัก ก่อนคิดอย่างทอดถอนใจ หลิ่วสือซุ่ยมีฝีมือในการปลูกผักทีเดียว ความจริงแล้วเหมาะที่จะไปดูแลสมุนไพรและผลไม้เซียนบนยอดเขาซื่อเยวี่ยอย่างมาก

ที่สำคัญกว่านั้นก็คือ จากรายละเอียดเหล่านี้ เขามั่นใจแล้วว่าหลิ่วสือซุ่ยได้ผ่านอุปสรรคด่านนั้นมาได้แล้ว การบำเพ็ญเพียรของเขาไม่มีอะไรเสียหาย ในทางกลับกัน มันกลับก้าวหน้าขึ้นด้วย

แสงอาทิตย์ยามเช้าค่อยๆ ร้อนแรงขึ้น มีเสียงเห่าของสุนัขดังมาแต่ไกล ภายในสวนผักมีเสียงเปิดประตู จากนั้นก็มีเสียงตักน้ำจากบ่อน้ำ ภายในห้องครัวมีควันลอยขึ้นมา

อินซานหมุนตัวเดินจากไป อาศัยเงามืดของหน้าผากลับไปถึงหน้าวัด เดินเข้าประตูด้านข้างไปยังลานด้านหน้า ผ่านทางเดินแคบๆ ทะลุผ่านโบสถ์เข้าไปในป่าเจดีย์ที่เงียบสงัด สุดท้ายในตอนที่กลับมายืนอยู่หน้าห้องภาวนาไป๋ซาน นอกจากใบสนที่ติดอยู่ตามปกเสื้อแล้ว ในมือเขายังมีม้วนคัมภีร์อยู่ม้วนหนึ่งด้วย ไม่รู้ว่าเขาไปเอามันมาจากไหนและเมื่อไร

เขาไม่ได้เดินเข้าไปด้านใน หากแต่ยืนอยู่ตรงลานด้านหน้า เปิดม้วนคัมภีร์เล่มนั้น

แสงอาทิตย์ยามเช้าชโลมท้องฟ้าจนเป็นสีแดง ตกกระทบลงมาบนม้วนคัมภีร์ ดูคล้ายโลหิต

ในม้วนคัมภีร์นี้คือข้อมูลที่เขียนขึ้นมาด้วยรหัสลับ เขียนถึงเรื่องใหญ่ที่เกิดขึ้นในโลกภายนอกในช่วงนี้

ข้อมูลเหล่านี้เป็นรายงานที่ปู้เหล่าหลินส่งมาให้เขา ถึงแม้จะไม่ครบถ้วนและรวดเร็วเหมือนอย่างเจวี่ยนเหลียนเหริน แต่กลับมีความแม่นยำที่มากกว่า

อินซานมิได้สนใจเรื่องที่กู้ชิงกลายเป็นอาจารย์ของจิ่งเหยา เรื่องเหล่านี้เป็นเรื่องเล็ก สิ่งที่เขาสนใจก็คือจิ๋งจิ่วไปที่ไหน

เขารู้แต่แรกแล้วว่าจิ๋งจิ่วออกมาจากชิงซาน แต่จนกระทั่งถึงตอนนี้ปู้เหล่าหลินเพิ่งจะสืบได้ว่าจิ๋งจิ่วเดินทางไปยังเมืองเจาเกอ

จิ๋งจิ่วไปเมืองเจาเกอทำอะไร? เรื่องการสืบทอดราชบัลลังก์หรือ?

อินซานยืนอยู่ในแสงแดดยามเช้าครุ่นคิดอย่างเงียบๆ ทันใดนั้นพลันคิดถึงความเป็นไปได้อย่างหนึ่งขึ้นมา สายตาเปลี่ยนไปเล็กน้อย

จิ๋งจิ่วไปแก้ปัญหาแล้ว

อินซานไม่เคยคิดมาก่อนว่าจิ๋งจิ่วจะเจอปัญหาในการบำเพ็ญเพียรเช่นเดียวกับหลิ่วสือซุ่ย

เขามีความมั่นใจในการบำเพ็ญเพียรของจิ๋งจิ่วอย่างมาก ก็เหมือนกับเมื่อก่อน ถึงแม้ตอนนี้เขาจะมีคำตอบอีกอย่างหนึ่งแล้วก็ตาม

จนกระทั่งถึงตอนนี้ อินซานถึงได้รู้ว่าตัวเองพลาดอะไรไป

จากมิประจักษ์เข้าสู่คเนจร จิ๋งจิ๋วจะต้องเจอปัญหานั้นอย่างแน่นอน

จิ๋งจิ่วจำเป็นต้องคิดอยู่เป็นเวลานานนานถึงจะสามารถคิดวิธีในการแก้ไขปัญหานี้ได้

อินซานไม่ต้อง เพราะเขาคุ้นเคยมากกว่า ยิ่งไปกว่านั้นเขาคิดมาหลายปีแล้ว

“ที่แท้เจ้าอยู่ที่วัดไท่ฉาง”

จากนั้นไม่รู้ว่าอินซานคิดถึงอะไร พลันหัวเราะขึ้นมา

เสียงหัวเราะอย่างมีความสุขของเขาดังสะท้อนไปในลานด้านหน้าอันเงียบสงบ

วิหคสองสามตัวตกใจบินหนีขึ้นไป

………………………………………………….

[1]เทียนตี้จวินชินซือ คือ หลักความกตัญญูห้าอย่างของคนจีน ได้แค่ เทียน (天) คือฟ้า, ตี้(地) คือดิน, จวิน(君) คือ ราชาหรือเจ้านาย, ชิน (亲) คือพ่อแม่ญาติพี่น้อง, ซือ(师) คืออาจารย์ ซึ่งตามลำดับนี้จะเห็นได้ว่าราชานั้นมีความสำคัญมากกว่าอาจารย์